เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล - 227
เข้าสู่ระบบ “ฝ่ามือยูไล [Sign in Buddha’s palm]
เป็นธรรมดาที่ซูฉินจะไม่รู้ว่าการที่เขาสังหารคนสองสามคนโดยไม่ตั้งใจนั้นจะทําให้เกิดความพรั่นพรึงในต่างดินแดน กระทั่งลามไปถึงการปลุกบรรพชนที่หลับใหลในส่วนลึกของนิกายใหญ่
หรือแม้ซูฉินจะรู้ ก็คงทําได้เพียงยิ้มอย่างไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก
ด้วยเคล็ดวิชาทั้งหมดที่เขามีในปัจจุบัน เว้นแต่จะเป็นเซียนเทพปฐพี ต่อให้เป็นตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่เก้าก็ไม่มีหวั่น
นอกจากนี้บรรพชนที่หลับใหลภายในนิกายใหญ่ต่างดินแดนก็ไม่มีอะไรมากไปกว่ากลุ่มหนอนน่าสงสารที่พลังชีวิต และเลือดเนื้อลดลงจนใกล้จะถึงจุดสิ้นสุดของชีวิตแล้ว พวกมันไม่อยู่ในสายตาของซูฉินด้วยซ้ํา
หลังจากที่ซูฉินทะลวงขั้นสําเร็จ เขาก็ยืนยันจนแน่ชัดแล้ว ว่าเกาะหยิงโจวไม่สามารถลงชื่อเข้าใช้ได้อีกต่อไป ดังนั้นจึงรีบเดินทางกลับเมืองฉางอันพร้อมกับน้ําพุจิตวิญญาณที่บรรจุอยู่ในกล่องหยก
สําหรับเกาะหยิงโจว ตาน้ําพุจิตวิญญาณได้หายไปแล้ว จิตใจแห่งฟ้าดินบนเกาะหยิงโจวย่อมจะค่อยๆลดลงอย่างช้าๆ แต่อย่างไรก็ตาม กระแสปราณฉีในปัจจุบันกําลังฟื้นคืนกลับมา แม้ว่าเกาะหยิงโจวจะเสื่อมโทรมลง แต่ตราบใดที่เวลาผ่านไปอีกหลายสิบปี เกาะแห่งนี้ก็จะหวนคืนสู่ชื่อ “เกาะเซียน” ได้ในที่สุด
เหตุที่จ้าวทะเลบูรพาเลือกที่จะตั้งตาน้ําพุจิตวิญญาณไว้บนเกาะหยิงโจวก็เพราะว่า แม้จะไม่มีน้ําพุจิตวิญญาณ เกาะหยิงโจวก็ถือได้ว่าเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ สามารถรวบรวมพลังงานธรรมชาติและจิตใจแห่งฟ้าดินได้
ก่อนที่จะออกเดินทาง ซูฉินได้สร้างค่ายกลฟ้าดินปกคลุมนอกเกาะหยิงโจวเพิ่มเป็นพิเศษด้วยค่ายกลขนาดใหญ่สองสามรูปแบบที่เขาเชี่ยวชาญ รอบเกาะหยิงโจวตอนนี้กล่าวได้ว่าค่อนข้างจะไร้จุดอ่อน
อย่างน้อยๆ ถ้าเป็นหมิงโยวและคนอื่นๆ ต่อให้แข็งแกร่งแค่ไหนก็ไม่สามารถทําลายค่ายกลได้โดยง่ายอีกแล้ว
“ได้เวลากลับแล้ว”
ซูฉินออกจากเกาะหยิงโจว มองไปยังทะเลสีฟ้าคราม มุ่งหน้าตรงไปยังเมืองฉางอัน
ส่วนชิงชิวเฉียนเฉียนและนักพรตเฒ่าก็ติดตามไปอย่างรวดเร็ว
แม้ว่านักพรตเฒ่าจะใช้แก่นแท้แห่งพลังส่วนใหญ่ในการถือกล่องหยก แต่เขาก็ยังเป็นตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่สี่ การเหาะเหินเดินอากาศจึงทําได้ราวกับความสามารถขั้นพื้นฐาน ประกอบกับซูฉินจงใจชะลอความเร็วลง ทําให้เขาพอจะติดตามไปได้ แม้จะยากลําบากสักเล็กน้อย
หนึ่งวันต่อมา
ต่างก็มาถึงหน้าเมืองฉางอัน
เมืองฉางอันยังคงเหมือนเดิม ทว่า ตั้งแต่ครั้งที่อาณาจักรถังยึดครองทวีปได้ กําแพงเมืองฉางอันก็ได้รับการขยายตัวออกไปหลายต่อหลายครั้ง ต้องออกแบบใหม่เป็นพิเศษ เพื่อรองรับผู้ที่เดินทางเข้ามาจากทั่วทุกมุมโลก
หลังจากที่ซูฉินสู่เมืองฉางอันโดยไม่ได้รบกวนผู้ใด เขาก็กลับไปที่วังหลวงและหยุดอยู่ที่พระราชวังตะวันออก
“ค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่ในที่แห่งนี้”
นักพรตเฒ่ายังคงถือกล่องหยกไว้ในมือทั้งสองข้าง ใบหน้าของเขาตกตะลึง
ค่ายกลฟ้าดินครอบคลุมไปทั่วทั้งพระราชวังตะวันออก แม้ว่าจะเทียบกับค่ายกลฟ้าดินจํานวนมากที่จัดตั้งบนเกาะหยิงโจวโดยจ้าวทะเลบูรพาไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ค่ายกลฟ้าดินนับสิบๆรูปแบบถูกผสมผสานเข้ากันได้อย่างลงตัว มีความกลมกลืนอย่างยิ่ง ซึ่งเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายไปไกลโข
ซูฉินเพิกเฉยต่อความตกใจของนักพรตเฒ่า ทันทีที่มาถึงเมืองฉางอัน ซูฉินก็ใช้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์กวาดไปทั่วเมืองฉางอัน
แม้ซูฉินจะเป็นคนสร้างทางเดินไว้ให้กับคนในตระกูลซูและคนอื่นๆ แต่สุดท้ายแล้ว เมื่อมาเห็นด้วยตาตัวเองเช่นนี้ ก็รู้สึกว่าไม่จําเป็นต้องกังวลอะไรนัก
“มีจอมยุทธเพิ่มมากขึ้นไม่น้อย…” ซูฉินแตะปลายคาง ใบหน้าครุ่นคิด
ในช่วงไม่กี่เดือนที่เขาจากไป จํานวนผู้ฝึกยุทธในเมืองฉางอันเพิ่มขึ้นอย่างน้อยก็ครึ่งเท่าตัว และมียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งกว่าหลายร้อยคน ยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดอีกนับสิบ
เพียงแต่ว่ายอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดทั้งหมดล้วนอยู่ในช่วงแปรสภาพพลังหนึ่งถึงสองครั้งเท่านั้น ส่วนยอดปรมาจารย์ขั้นสมบูรณ์ที่แปรสภาพพลังครบสามครั้งยังไม่มีปรากฏ ไม่ต้องพูดถึงตํานานยุทธเลย ไม่มีเช่นเดียวกัน
ไม่ว่ากระแสปราณฉีจะฟื้นคืนกลับมามากเท่าไหร่ ขนาดหมื่นปีที่แล้ว ตํานานยุทธก็ยังมีราวๆหนึ่งในแสน หนึ่งในล้านคน ไม่ใช่ว่าเดินไปที่ไหนก็เจอตํานานยุทธเสียเมื่อไหร่
“กระแสพลังนั้นชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ…” ซูฉินสายศีรษะเล็กน้อย
หากเป็นเมื่อสองสามปีก่อน กระแสปราณฉีนั้นคลุมเครือเป็นอย่างยิ่ง มีเพียงซูฉินซึ่งเป็นตํานานยุทธระดับสูงเท่านั้นที่รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของพลังฟ้าดินได้รางๆ
และในเวลานี้ เกรงว่าแม้แต่คนธรรมดาในเมืองฉางอันยังรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
ตัวอย่างเช่น ขาและเท้าเดินได้กระฉับกระเฉงว่องไวขึ้น ความเจ็บป่วยทุเลาลงอย่างกะทันหัน หรือจอมยุทธที่เห็นได้นานๆครั้ง บัดนี้สามารถพบเห็นได้ทั่วทุกที่
กระแสปราณีที่ฟื้นคืนนั้นไม่ได้มุ่งเป้าไปที่ผู้ฝึกยุทธ แต่เป็นสิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ สัตว์อสูรหรือแม้แต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ด้วย
“ท่านพ่อเข้าสู่ขอบเขตสามระดับบนแล้ว?”
จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของซูฉินกวาดไปทั่วพระราชวังตะวันออก แม้ว่าพระราชวังตะวันออกจะถูกรายล้อมไปด้วย ค่ายกลฟ้าดินมากมาย ตํานานยุทธคนอื่นไม่สามารถใช้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ตรวจสอบได้เลย แต่ซุฉินในฐานะที่เป็นเจ้าของค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่เหล่านี้ ย่อมไม่ถูกนับรวมเข้าไปด้วย
ดังนั้นซูฉินจึงค้นพบได้ทันทีว่า ซูซื่อหมินได้เข้าสู่ระดับชั้นที่สามแล้ว
แน่นอนว่าซูฉินรู้ดีว่าการที่ซูชื่อหมินพัฒนาได้อย่างรวดเร็วนั้นเกิดจากการสั่งสมประสบการณ์มาหลายทศวรรษ ผนวกกับแนวทางการฝึกฝนที่ซูฉินได้ให้เอาไว้ ยังผลให้เกิดการพัฒนาที่เร็วเช่นนี้
“วังหลวงไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก”
ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย
ก่อนที่จะออกจากวังและมุ่งหน้าไปยังทะเลบูรพา เขาได้แจ้งจักรพรรดิถังและคนอื่นๆ ให้ทราบเรื่องไว้ก่อนแล้ว
เมื่อซูฉินกําลังนึกถึงเรื่องนั้น
“ลุงสาม”
เสียงใสแจ๋วของหลีหว่านก็ดังขึ้นมา
“หว่านเอ๋อไม่ได้พบลุงสามมานานมากแล้ว…” หลีหว่านวิ่งเข้ามาหาซูฉินอย่างรวดเร็ว พร้อมกับกล่าวคําออกมาเล็กน้อย
“อย่างไรก็ตาม ช่วงที่ลุงสามไม่อยู่ หว่านเอ๋อก็ไม่ได้หย่อนยาน พยายามฝึกดาบอย่างหนัก…” หลี่หว่านกะพริบตา
“ดี ไม่มีหย่อนยานเลยนี่ในช่วงเวลานี้”
ซูฉินเหลือบมองหลีหว่านและรู้ว่าสิ่งที่หลีหว่านพูดนั้นถูกต้อง ในตอนนี้กําลังภายในทั้งหมดภายในร่างของหลีหว่านกลายเป็นพลังงานดาบ และบางส่วนก็เริ่มควบแน่นเป็นหัวใจดาบไปแล้ว
เมื่อหัวใจแห่งดาบสามารถสร้างขึ้นมาได้สําเร็จ แปลว่าทางเดินในเส้นทางแห่งดาบนั้นกําลังจะเต็มไปด้วยศักยภาพอันไร้ขีดจํากัด
การที่หลีหว่านสามารถก้าวเข้าสู่ขั้นตอนนี้ได้ ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องอื่น อย่างน้อยก็แปลว่านางทําความเข้าใจเจตจํานงดาบที่ซูฉินทิ้งเอาไว้บนแผ่นไม้ได้อย่างดี
“ดูท่าจะสามารถเพิ่มเจตจํานงดาบเข้าไปได้อีก”
ซูฉินคิดในใจอย่างเงียบๆ
“นี่คือ?”
“ร่างหัวใจแห่งดาบ?”
ช่วงเวลาที่นักพรตเฒ่าเห็นหลีหว่าน รูม่านตาของเขาก็หดแคบลงในทันที
แม้ว่าเขาจะเป็นตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่สี่ เมื่อสายตาของเขาจับจ้องไปที่หลีหว่าน มันก็ยังรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาเบาๆ ราวกับกําลังมองไปที่คมดาบ
“ถ้าคนของพรรคหมื่นดาบรู้ว่ามีคนที่มีร่างหัวใจแห่งดาบอยู่ที่นี่ ข้าเกรงว่าพวกเขาจะรีบเข้ามาฉกตัวไปอย่างเอาเป็นเอาตาย……”
ความคิดของนักพรตเฒ่าก็ผุดขึ้นมาในใจอย่างรวดเร็ว
“อย่างไรก็ตาม ด้วยการปรากฏตัวของผู้อาวุโส แม้ว่าพรรคหมื่นดาบจะยกกันมาทั้งนิกาย เกรงว่าคงทําได้เพียงคว้าน้ําเหลวกลับไปเท่านั้น…”
นักพรตเฒ่าเหลือบมองไปที่ซูฉินอีกครั้ง ร่องรอยความเกรงกลัวปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา
เขารู้ว่าซูฉินควบแน่นอาณาเขตได้แล้ว และเป็นตํานานยุทธที่มีพลังชีวิตที่แข็งแกร่ง อายุยืนยาว แม้ว่าพรรคหมื่นดาบจะเป็นนิกายใหญ่ เขาก็ทําได้เพียงถอยหนีเท่านั้นเมื่ออยู่ต่อหน้าซูฉิน
แม้ว่าพรรคหมื่นดาบปลุกบรรพชนที่หลับใหลขึ้นมา ก็ทําอะไรไม่ได้อยู่ดีเมื่อต้องเผชิญหน้ากับซูฉิน
สุดท้ายแล้วบรรพชนที่แข็งแกร่งที่สุดในพรรคหมี่นดาบก็มีพลังชีวิตเหลือเพียงแค่เล็กน้อย ด้วยความสามารถในการลงมือที่มีอยู่อย่างจํากัดควบคู่กับพลังงานและเลือดเนื้อที่ลดลง ความแข็งแกร่งที่ใช้ออกได้ก็มีเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น มันจะไปสู้ซูฉินได้อย่างไร?
แค่ไม่ถูกซูฉินกวาดล้างไปจนเหี้ยนก็โชคดีมากแล้ว
ขณะที่นักพรตเฒ่ากําลังคิดอะไรอยู่นั้น จู่ๆก็มีเสียงแปลกใจดังขึ้น “ท่านผู้อาวุโส ทําไมท่านเองก็มาที่นี่ด้วยเล่า?”
เมื่อเหยียนไห่ทราบว่าซูฉินกลับมาแล้ว เขาก็เข้ามาหาซูฉินด้วยความดีใจ แต่สุดท้ายแล้วเขาก็เห็นนักพรตเฒ่าที่ยืนก้มหัวอยู่ด้านหลังซูฉิน
“ศิษย์หลานเหยียนไห่….”
นักพรตเฒ่าก็ตกตะลึงเช่นกัน เขาไม่คิดว่าวันหนึ่งเขาจะได้พบเข้ากับศิษย์หลานในสถานการณ์เช่นนี้”
“นายท่าน เขาคืออาจารย์อาในสํานักเอกะวิถีขอรับ เหยียนไห่อธิบายแก่ซูฉิน
“นายท่าน…”
นักพรตเฒ่าเงยหน้าขึ้นมอง สํานักเอกะวิถีเป็นนิกายใหญ่ในต่างแดนที่มีเซียนเทพปฐพีกําเนิดขึ้นมามากกว่าหนึ่งคน หากเรื่องราวที่ศิษย์ในนิกายเรียกคนอื่นว่านายท่านนี้กระจายออก แน่นอนว่ายุทธภพในต่างแดนจะต้องตื่นตะลึงอย่างแน่นอน
แต่เมื่อนักพรตเฒ่านึกถึงความแข็งแกร่งของซูฉิน จู่ๆก็คิดว่ามันสมเหตุสมผล
ก่อนหน้านี้ตอนที่เขารู้ว่าศิษย์ของนิกายเฮยหยวนและตําหนักเทพเจ้าหิมะถูกสังหารโดยซูฉิน นักพรตเฒ่าก็ยังสงสัยอยู่ว่าทําไมศิษย์สํานักของเขาถึงไม่ตาย?
พอมาตอนนี้ ดูเหมือนว่าเหยียนไห่จะมีวิสัยทัศน์ รู้ว่าความแข็งแกร่งของซูฉินนั้นยากจะหยั่งถึงและสามารถก้มหัวยอมรับซูฉินเป็นนายท่านเพื่อหลีกเลี่ยงความตายได้ทันเวลา
เรื่องการที่เหยียนไห่ยอมรับซูฉินเป็นเจ้านายนั้น นักพรตเฒ่าก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไร
ด้วยความแข็งแกร่งของซูฉิน ไม่ใช่แค่เหยียนไห่ ต่อให้เป็นตัวเขาเองที่ต้องก้มหัวยอมรับ นักพรตเฒ่าก็จะทําโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
หลังจากที่เหยียนให้เห็นซูฉิน เขาก็เดินเข้ามายืนข้างๆนักพรตเฒ่าแล้วกล่าวถามอย่างสงสัย “อาจารย์อา ท่านก็โดนนายท่านจับตัว…เอ่อ ติดตามนายท่านมาด้วยหรือ?”
ทันทีที่กล่าวคําออกไป เหยียนไห่ก็รู้ว่าเขาพูดอะไรผิดไป และรีบเปลี่ยนเรื่องทันที “ท่านอาจารย์อา ท่านถืออะไรเอาไว้อยู่นั้น……….”
เหยียนให้มองไปที่กล่องหยกในมือของนักพรตเฒ่า
กล่องหยกถูกปิดสนิท เหยียนให้ไม่รู้ว่ามีสิ่งใดอยู่ข้างใน แต่จากใบหน้าของนักพรตเฒ่านั้น พบว่ามันน่าจะหนักเอาการอยู่
“อย่าเข้ามาใกล้เชียว สิ่งนี้เป็นของของท่านผู้อาวุโส” นักพรตเฒ่าจ้องมองที่เหยียนให้ด้วยสายตาดุๆ
“ได้ๆ”
หนังศีรษะของเหยียนไร่ชาวาบ รีบไปยืนอยู่ข้างๆอย่างเชื่อฟังทันที
กล่องหยกใบนี้บรรจุตาน้ําพุจิตวิญญาณเอาไว้ แม้ตอนนี้จะเหือดแห้งไปแล้ว แต่ก็ยังนับเป็นสมบัติล้ําค่า ไม่รู้ว่ามีนิกายใหญ่มากมายแค่ไหนที่ต้องการน้ําพุจิตวิญญาณนี้
“ลุงสาม ใครคือพี่สาวคนนี้ นางสวยงามยิ่งนัก…” หลีหว่านมองไปที่ชิงชิวเฉียนเฉียนและถามด้วยเสียงต่ํา
ชิงชิวเฉียนเฉียนเป็นเผ่าพันธุ์จิ้งจอกตระกูลชิงชิว และเผ่าจิ้งจอกเมื่ออยู่ในร่างมนุษย์ย่อมมีเสน่ห์โดยธรรมชาติ
แม้ว่าเสน่ห์เย้ายวนนี้ ในสายตาของซูฉินนั้นจะไม่มีอะไรควรค่าแก่การพูดถึงเลย เป็นเพียงหนังหุ้มกระดูก
แต่คนอื่นไม่ได้คิดเช่นนั้น โดยเฉพาะหลีหว่าน นางกําลังควบแน่นหัวใจดาบและการรับสัมผัสของนางก็อ่อนไหวต่อโลกภายนอกอย่างยิ่ง อาจจะเทียบได้กับยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งบางคนเลยด้วยซ้ํา แน่นอนว่าย่อมพบคุณลักษณะพิเศษของชิงชิวเฉียนเฉียนได้ไม่ยาก
“นาง…”
ซูฉินปรายตาไปมอง
“ข้าเป็นเพียงข้ารับใช้ของนายท่าน” ชิงชิวเฉียนเฉียนตอบกลับในทันที
“ข้ารับใช้
” หลีหว่านดูเหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ
และในตอนนั้นเอง
จักรพรรดิถังก็รีบออกมาจากห้องบรรทม
” จักรพรรดิถังดีใจมาก
“พี่สาม ท่านกลับมาแล้วจริงๆ เมื่อได้พบซูฉิน
“พี่สาม มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นแล้ว”
จักรพรรดิถังรีบเดินมาหาซูฉินและกล่าวคําอย่างเคร่งขรึม
“เรื่องใหญ่?”
ซูฉินเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ท่าทีของเขาค่อนข้างประหลาดใจ
การที่จักรพรรดิถังถึงกับพูดออกมาว่า “เรื่องใหญ่” ด้วยตัวเองเช่นนี้ ย่อมเกี่ยวพันถึงกิจการภายในอาณาจักรถังทั้งหมดอย่างแน่นอน และตอนที่ซูฉินกลับมาที่วังหลวง เขาก็ได้ใช้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ตรวจสอบดูแล้ว และไม่ได้พบเหตุการณ์สําคัญใดเกิดขึ้น
“เรื่องอะไร?”
ซูฉินถามออกไปตรงๆ
“ข้าได้ข่าวมา”
จักรพรรดิถังสูดลมหายใจและกล่าวคําอย่างเคร่งเครียด “วิหารการสงครามได้กําเนิดขึ้นแล้ว”
“วิหารการสงคราม?”
ซูฉินยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ
นักพรตเฒ่าที่ถือกล่องหยกด้วยสองมือก็อุทานออกมา ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตกใจ ราวกับคําสามคําอย่าง “วิหารการสงคราม” เป็นคําต้องมนต์