เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล - 260.2 (ll) ฝนในฤดูใบไม้ผลิ
“เจ้าอาวาส”
หัวหน้าลานโพธิ์เดินไปหาเจ้าอาวาสอุ่ยเหวินอย่างรวดเร็ว และพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นว่า “ศิษย์ที่หมดสติไปอยู่ในสภาวะที่แปลกมาก ดูเหมือนว่าจะเกิดอาการธาตุไฟเข้าแทรกเสียแล้ว”
คำที่กล่าวออกมา
ท่าทีของเจ้าอาวาสอุ่ยเหวินก็เปลี่ยนไป
เจ้าอาวาสขี่ยเหวินจะไม่เข้าใจความหมายของสิ่งนี้ได้อย่างไร กว่าหลายสิบปีที่แล้ว เพราะกระหายที่จะประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว เขาเกือบจะสร้างปัญหาเข้าแล้ว หากไม่ใช่ว่าซูฉินได้ยื่นมือเข้าช่วยไว้ได้ทันเวลา เกรงว่าจะไม่มีเจ้าอาวาสฮ่ยเหวินอีกต่อไป
“มีปัญหาแล้ว”
เจ้าอาวาสฮียเหวินเข้าใจถ่องแท้ถึงอันตรายที่ซ่อนอยู่ แม้ว่าพวกเขาจะสามารถรอดชีวิตได้โดยบังเอิญจริงๆ พวกเขาก็จะกลายเป็นบุคคลไร้ค่าไปในทันที
ในขณะที่เจ้าอาวาสขี่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักกำลังจินตนาการภาพเลวร้าย ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อดี
ซูฉินก็ก้าวออกไปโดยไม่รีบร้อน
ศิษย์วัดเส้าหลินเหล่านี้ถือเป็นชนรุ่นหลังของซูฉิน และเป็นธรรมดาที่ฉันจะไม่ปล่อยให้ตกตาย
จิตของซูฉินเคลื่อนไหว หยดน้ำจิตวิญญาณกำเนิดพฤกษาหนึ่งหยดก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าซูฉิน
หยดน้ำจิตวิญญาณกำเนิดพฤกษานี้ได้มาจากการลงชื่อเข้าใช้ในช่วงยี่สิบสามสิบปีที่ผ่านมาพวกมันเหลืออีกไม่กี่ชั่งเท่านั้น ภายในเต็มไปด้วยพลังอันมากล้น
“กระจายออกไป!”
ซูฉินเบาเบาๆ
ทันใดนั้นจิตวิญญาณกำเนิดพฤกษาที่อยู่เบื้องหน้าเขาก็กลายเป็นหมอกหนาฟังเต็มไปหมดค่อยๆ ลอยขึ้นไปรวมกับหมู่เมฆฟูวว
เห็นหมอกและก้อนเมฆเริ่มบรรจบกัน และแล้วฝนก็เริ่มลงเม็ด เป็นฝนโปรยปรายลงมาดั่งฝนในฤดูใบไม้ผลิ
ทุกที่ที่สายฝนฤดูใบไม้ผลินี้พัดพาไป ทุกสิ่งก็ดูเหมือนจะฟื้นคืนและเต็มไปด้วยพลัง ศิษย์วัดเส้าหลินหลายคนที่หมดสติไป ก็รู้สึกได้ถึงกระแสความอบอุ่นไหลเวียนอยู่ในกายยามเมื่อหยาดฝนนับร้อยๆ หยดโปรยลงมาตามแขนขา
“ข้า ข้าไม่ได้เป็นอะไรหรอกหรือ?”
ศิษย์วัดเส้าหลินที่เพิ่งกราบเข้ามาเป็นศิษย์ ไม่ได้เป็นแม้แต่ผู้ฝึกยุทธด้วยซ้ำ ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาด้วยอาการมึนงง เขามองไปที่มือของตนเองและรู้สึกว่ามันอยู่ในสภาพที่ดีขึ้นกว่าแต่ก่อน ทั้งยังรู้สึกได้ถึงกำลังภายในเส้นเล็กๆ ที่อยู่ภายในร่างกาย
ไม่ใช่เพียงแค่ศิษย์วัดเส้าหลินคนนี้เท่านั้น แต่ศิษย์ที่ถูกปกคลุมไปด้วยเม็ดฝนฤดูใบไม้ผลิต่างก็ฟื้นจากอาการหมดสติ ไม่เพียงแต่กำจัดอาการธาตุไฟเข้าแทรก แต่ยิ่งเพิ่มพูนระดับการฝึกฝนของพวกเขาอีกด้วย
เจ้าอาวาสขี่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักมองดูทุกสิ่งนี้ด้วยความประหลาดใจราวกับเห็นปาฏิหารย์ ต้องเข้าใจว่าอาการธาตุไฟเข้าแทรกนั้นซับซ้อนมาก ทุกคนล้วนมีอาการที่ต่างกัน หากต้องการช่วยก็ต้องดูเป็นรายๆ ไป วิเคราะห์สาเหตุ และจะรักษาได้หรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับโชค
แต่ตอนนี้?
เพียงฝนโปรยปรายที่ร่วงหล่นลงมา เป็นดั่งของขวัญจากฟ้า ศิษย์ของวัดเส้าหลินที่มีอาการธาตุไฟเข้าแทรกกลับยืนขึ้นมาได้อีกครั้ง สิ่งที่เกิดขึ้นราวกับอยู่ในตำนานเรื่องเล่าสักเรื่องหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น
“ขอบคุณผู้ทรงสมณศักดิ์อย่างยิ่ง”
เจ้าอาวาสคารวะให้กับซูฉินอีกครั้ง
จนถึงตอนนี้เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าเป็นฝีมือของซูฉิน?
“ขอบคุณผู้ทรงสมณศักดิ์อย่างยิ่ง” ศิษย์วัดเส้าหลินที่ตื่นจากอาการหมดสติจำนวนมากต่างคารวะให้กับซูฉินด้วยความสำนึกอย่างสูง
ซูฉินไม่ได้เปิดปากกล่าวคำ ไม่มีคำพูดใดออกไป
หยดน้ำจิตวิญญาณกำเนิดพฤกษาหนึ่งหยดมีพลังมากพอที่จะทำให้ตำนานยุทธอิจฉาตาร้อนและการช่วยเหลือศิษย์วัดเส้าหลินในครั้งนี้ก็ง่ายดายพอๆ กับการกินดื่ม
ในเวลาเดียวกัน
ห่างจากวัดเส้าหลินหลายพัน
ร่างของบรรพชนเก้าปรากฏขึ้นอย่างเงียบงัน ปลายเท้าของเขาแตะลงบนพื้นเบาๆ ระยะทางหลายสิบลี้ย่นระยะมาได้ภายในขั้นตอนเดียว เมื่อก้าวเท้าวิ่งมาข้างหน้า เขาก็อยู่ห่างจากวัดเส้าหลินมาหลายพันล้ำเสียแล้ว
“เป็นไปได้ไหมว่าผู้ทรงสมณศักดิ์แห่งวัดเส้าหลินจะเปลี่ยนจิตวิญญาณแรกกำเนิดได้แล้ว? ไม่เช่นนั้นจะน่ากลัวเช่นนี้ได้อย่างไร?”
จนถึงตอนนี้บรรพชนเก้าก็ยังไม่มีเวลาคิดเกี่ยวกับการต่อสู้ของเขากับซูฉินมากเท่าไหร่
“แต่ข้าไม่รับรู้ถึงกลิ่นอายของจิตวิญญาณแรกกำเนิด…” บรรพชนเก้าส่ายศีรษะ ใจเต็มไปด้วยความสงสัย
เมื่อตำนานยุทธขั้นสูงสุดที่เปลี่ยนจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ให้กลายเป็นจิตวิญญาณแรกกำเนิดได้แล้วนั้น รัศมีของจิตวิญญาณแรกกำเนิดจะถูกเปิดเผยออกมาเพื่อระงับทุกสิ่ง แต่บรรพชนเก้าไม่ได้รู้สึกถึงรัศมีของจิตวิญญาณแรกกำเนิดเลยตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้
“ยังไม่ได้เปลี่ยนเป็นจิตวิญญาณแรกกำเนิดอย่างนั้นหรือ?”
บรรพชนเก้าขมวดคิ้วและครุ่นคิดอย่างหนัก และในท้ายที่สุดก็สรุปได้เพียงเท่านี้
“โดยไม่ต้องพึ่งจิตวิญญาณแรกกำเนิดแต่กลับทิ้งรอยหมัดไว้บนสมบัติพุทธคุณได้ ร่างกายของผู้ทรงสมณศักดิ์รูปนั้นน่ากลัวเพียงใดกัน?”
บรรพชนเก้าดูประหลาดใจ
ในอดีตมียอดอรหันต์มากมายที่กำเนิดจากวิหารหมื่นพุทธ โดยเฉพาะในช่วงสุดท้ายของยุคเฟื่องฟูกระแสปราณี ก็ยิ่งมีกำลังมาก
ทว่าตั้งแต่สมัยโบราณ บรรพชนเก้าไม่เคยได้ยินว่ามีอรหันต์ขั้นสูงสุดคนใดที่สามารถใช้พลังของกายเนื้อสร้างร่องรอยไว้บนสมบัติพุทธคุณของยอดอรหันต์ได้
นี่ยังตั้งอยู่บนข้อสันนิษฐานด้วยเกณฑ์ของวิหารหมื่นพุทธที่ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการขัดเกลาร่างกาย มิฉะนั้นหากเป็นนิกายใหญ่แห่งอื่นๆ กายเนื้อจะยิ่งอ่อนแอลงไปอีก
“อย่างไรก็ตาม เคล็ดท่าเท้าหลบหนีศักดิ์สิทธิ์ของวิหารหมื่นพุทธนั้นดีที่สุดในยุคสมัยนี้แล้วแม้แต่ในช่วงสุดท้ายของยุคกระแสปราณฉีเฟื่องฟูก็ยังนับว่ามีชื่อเสียงขจรขจาย”
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของบรรพชนเก้า
เคล็ดท่าเท้าหลบหนีศักดิ์สิทธิ์เป็นเคล็ดวิชาที่บรรพชนเก้าใช้ในการหลบหนีออกจากวัดเส้าหลิน ภายในเวลาอันสั้นมันก็สามารถหลบหนีมาได้ถึงหลายพันลี้ เป็นการทลายขีดจำกัดอย่างแท้จริง
ว่ากันว่าเคล็ดท่าเท้าหลบหนีศักดิ์สิทธิ์เป็นเคล็ดวิชาของยอดอรหันต์แห่งวิหารหมื่นพุทธ ซึ่งพัฒนามาจากทิพยอำนาจสายพุทธ แม้ว่าจะด้อยกว่าทิพยอำนาจมาก แต่ก็เป็นเคล็ดวิชาท่าเท้าที่หาได้ยากยิ่ง
“น่าเสียดายที่สิ่งที่ต้องสูญเสียไปจากการใช้เคล็ดท่าเท้าหลบหนีศักดิ์สิทธิ์นั้นแพงจนเกินไป”
บรรพชนเก้าถอนหายใจแผ่วเบา ในเวลาเพียงชั่วครู่เดียวแก่นแท้ภายในกายก็แทบจะสูญเสียไปจนหมด
เหตุผลที่บรรพชนเก้าหยุดอยู่ที่นี่ก็เพื่อสังเกตว่าซูฉินติดตามมาหรือไม่ และอีกเหตุผลก็เพื่อใช้โอกาสนี้กู้คืนแก่นแท้แห่งพลังที่สูญเสียไปกลับคืนมา
“ดูเหมือนว่าผู้ทรงสมณศักดิ์วัดเส้าหลินจะไม่ไล่ตามมา” บรรพชนเก้ารอสักครู่ แต่หลังจากที่ไม่พบไอพลังของซูฉิน เขาก็โล่งใจเล็กน้อย
ถ้าซูฉินไม่ยอมแพ้ในการติดตาม บรรพชนเก้าคงไม่กล้ากลับไปที่วิหารหมื่นพุทธเป็นแน่
ไม่แน่ใจว่าบรรพชนหกและบรรพชนเจ็ดมาถึงแล้วหรือยัง หากฉันรู้ที่ตั้งของวิหารหมื่น พุทธมันจะยิ่งแย่ไปกว่านี้
จากนั้น
บรรพชนเก้าไม่กล้าที่จะอยู่ในอาณาจักรถังเป็นเวลานาน จึงรีบกลับไปยังส่วนลึกของทะเลทรายตะวันตก
แต่ในช่วงระหว่างทางนี้ บรรพชนเก้าก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้สิ่งสิ้นเปลืองกำลังอย่างท่าเท้าหลบหนีศักดิ์สิทธิ์ หลังจากที่ยืนยันได้ว่าซูฉินไม่ได้ตามมา บรรพชนเก้าก็ผ่อนคลายขึ้นมากและกลับไปยังวิหารหมื่นพุทธอย่างช้าๆ
หลังจากผ่านไปครึ่งวัน
บรรพชนเก้าก็มาถึงทะเลทรายตะวันตก
เขามองไปที่วิหารหมื่นพุทธในส่วนลึกของทะเลทรายตะวันตก ความสุขสาดประกายออกมาทางสีหน้า
“บรรพชนหกและบรรพชนเจ็ดมาถึงแล้ว?” บรรพชนเก้ากระซิบกับตนเอง แล้วก้าวเท้าไปยังวิหารหมื่นพุทธ
[1] ฝนในฤดูใบไม้ผลิ การที่ฝนตกในฤดูใบไม้ผลิแปลว่าหลังจากนั้นอากาศที่หนาวเหน็บจะค่อยๆ อุ่นขึ้น จึงน่าจะเปรียบเป็นของขวัญจากฟ้าที่มีให้แก่ผู้คนทั้งหลาย หรือไม่ก็เป็นน้ำฝนที่อุดมไปด้วยพลังชีวิต ความมีชีวิตชีวาต่างๆ