เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล - 63 กระแสแห่งอายุวัฒนะ เจ้าอาวาสอยากจะพบท่าน
Sign in Buddha’s palm 63 กระแสแห่งอายุวัฒนะ, เจ้าอาวาสอยากจะพบท่าน
หวึ่ง!!!
หนังสัตว์ที่ขาดรุ่งริ่งเปล่งประกายแสงออกมาจางๆ
ในขณะที่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของซูฉินหลั่งไหลเข้าไป แสงบนหนังสัตว์ก็จางลงเรื่อยๆ และหลังจากกดลงไป แผ่นหนังสัตว์ก็แตกเป็นผุยผงกระจายไปในอากาศ
ในขณะนี้
ซูฉินลืมตาขึ้นมาอย่างปลอดโปร่งโล่งสบาย
“เป็นเช่นนี้นี่เอง”
ซูฉินพึมพำ
การคาดเดาของซูฉินถูกต้อง หนังสัตว์ชิ้นนี้บันทึกข้อมูลบางอย่างเอาไว้ คนปกติไม่สามารถเห็นเนื้อหาภายในได้ มีเพียงยอดปรมาจารย์ที่ควบแน่นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ได้แล้ว หรือไม่ก็ระดับตำนานยุทธเท่านั้นที่สามารถ ‘อ่าน‘ ข้อมูลที่บันทึกอยู่ภายในได้
“ไม่น่าแปลกใจที่ไม่มีระดับ ‘อรหันต์‘ เหลืออยู่ในยุทธภพเลย นี่มันเกี่ยวกับกระแสแห่งพลังชีวิตจากเมื่อแปดร้อยปีก่อนนี่เอง…”
ซูฉินขบคิด
ตามข้อมูลที่ ‘บันทึกไว้‘ ในหนังสัตว์แผ่นนั้น เมื่อแปดร้อยปีก่อนพลังฟ้าดินเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ จอมยุทธระดับตำนานยุทธหลายคนในยุคนั้นรู้สึกได้ถึงพลังแห่งชีวิตที่ยืนยาววิ่งทะลุผ่านน่านฟ้าแล้วหายลับไปยังดินแดนอื่น
พลังชีวิตอันยืนยาวนั้นทำให้เหล่าตำนานยุทธในยุคนั้นถึงกับคลั่ง
เป็นเรื่องที่ทุกคนรู้ดีว่าถึงแม้จะเข้าถึงขอบเขตตำนานยุทธแล้วก็ตาม อายุขัยก็จะถูกยืดไปถึงห้าร้อยปีเท่านั้น
ช่วงชีวิตห้าร้อยปีดูเหมือนจะยาวนานมาก แต่แท้ที่จริงสำหรับจอมยุทธระดับตำนานยุทธนั้น เพียงแค่ปิดด่านฝึกตนครั้งหนึ่งหมายความว่าเวลาก็ผ่านเลยไปหลายสิบปีแล้ว
แต่เมื่อแปดร้อยปีที่แล้วกลับมีกระแสแห่งพลังชีวิตอันยืนยาวพุ่งฝ่าอากาศไป ซึ่งมันคงจะช่วยเพิ่มอายุขัยให้กับเหล่าตำนานยุทธได้
ดังนั้น
พวกเขาจึงไล่ตามข้ามน้ำข้ามทะเลไปและทิ้ง ‘ข้อมูล‘ ไว้ อย่างเช่นบนหนังสัตว์ที่ซูฉินไปพบเข้า ต่อแต่นี้ตำนานยุทธรุ่นต่อๆ ไปก็ไม่จำเป็นต้องอุดอู้อยู่ในทวีปนี้นานจนเกินไป เพียงเดินตามทางที่พวกเขาปูไว้แล้วก็พอ
และแน่นอน
ข้อมูลเหล่านี้จะวนเวียนอยู่กับสำนักพรรคที่ครั้งหนึ่งมีระดับตำนานยุทธกำเนิดเกิดขึ้น
แม้ว่าวัดเส้าหลินเองจะมีระดับ ‘อรหันต์‘ อยู่เหมือนกัน แต่อรหันต์องค์ล่าสุดก็คืออรหันต์ถัวเมื่อเก้าร้อยปีก่อน
อรหันต์ถัว มรณภาพไปก่อนวัยอันควรเนื่องจากต้องปราบมารพุทธะ และเขาก็ไม่ได้มีชีวิตอยู่จนรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเมื่อแปดร้อยปีก่อน
ดังนั้นในวัดเส้าหลินจึงไม่ได้สืบทอดความลับนี้ต่อมา
“ข้าพลาดเองแหละ…”
ซูฉินดูเคร่งขรึม
เดิมทีเขาเคยคิดว่าจะไม่ต้องสนใจเรื่องการเปิดเผยตัวตนเท่าไหร่แล้วเสียอีก ในเมื่อไม่มีตัวตนระดับ ‘อรหันต์‘ อยู่ แต่ดูเหมือนว่าแม้ตอนนี้จะไม่มีอยู่ภายในทวีป แต่นอกทวีป นอกมหาสมุทรอันไม่มีที่สิ้นสุด อาจจะยังมีจอมยุทธระดับตำนานยุทธอยู่
สำหรับเหล่าตำนานยุทธ เป็นดั่งเซียนที่อิ่มทิพย์ เพียงดูดกลืนพลังฉีก็ไม่จำเป็นต้องบริโภคอาหารจากภายนอกใดๆ เข้าไป
นอกจากนี้ตำนานยุทธยังสามารถขี่ลมและควบคุมลมคุมอากาศได้ และการข้ามน้ำข้ามทะเลก็กลายเป็นเรื่องง่ายดายราวกับการกินดื่ม
“กระแสแห่งอายุวัฒนะ?”
ซูฉินขมวดคิ้ว
แม้ว่าหนังสัตว์แผ่นนั้นจะบันทึกการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่เมื่อแปดร้อยปีก่อนเอาไว้ แต่เรื่องเกี่ยวกับกระแสพลังชีวิตอันยืนยาวนั้นราวกับเป็นเรื่องต้องห้าม เพียงกล่าวถึงแค่ไม่กี่คำแล้วก็ไม่ได้อธิบายต่อ
“อย่างไรก็ตามถ้ามีตำนานยุทธคนอื่นอีกล่ะ?”
ซูฉินคิดถึงเรื่องราวพวกนั้นแล้วก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
อย่างน้อยตำนานยุทธเหล่านั้นก็อยู่ไกลออกไปในโพ้นทะเล ต่างดินแดน คงไม่ได้เป็นภัยคุกคามต่อซูฉิน
“พวกเจ้าทุกคนไล่ตามกระแสแห่งอายุวัฒนะไปเนี่ยนะ”
ซูฉินส่ายหัวเล็กน้อย
ตำนานยุทธคนอื่นๆ อาจมีความกระตือรือร้นที่จะยืดอายุขัยของพวกเขาด้วยกระแสแห่งอายุวัฒนะ
แต่ซูฉินนั้นต่างออกไป
นับตั้งแต่เข้าสู่ระดับ ‘อรหันต์‘ ซูฉินก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าอายุขัยของเขาเพิ่มขึ้นจากสี่ร้อยปี ไปเป็นแปดร้อยปี
ซูฉินนั้นมีอายุเพียงสามสิบปีเท่านั้น แม้ว่าเขาจะไม่ทำอะไรอีกต่อไปในอนาคต แต่ความแข็งแกร่งของเขาก็จะหยุดอยู่ที่จุดนี้ แล้วถ้าเขาไม่สามารถลงชื่อเข้าใช้แล้วรับของอะไรที่เกี่ยวข้องกับการยืดอายุขัยออกมาได้ เขาก็ยังสามารถใช้ชีวิตอย่างสบายใจไร้กังวลไปได้อีกตั้งเจ็ดร้อยเจ็ดสิบปี
“ทำไมช่วงชีวิตของข้าถึงได้ยาวนานกว่าตำนานยุทธทั่วๆ ไป ถึงสามร้อยปี?”
ซูฉินรู้สึกงงงวยอยู่เล็กน้อย
โดยปกติไม่ว่าจะเป็นอรหันต์หรือตำนานยุทธต่างก็มีอายุขัยอยู่ที่ห้าร้อยปีกันทั้งนั้น
แต่อายุขัยของซูฉินมีมากถึงแปดร้อยปี
“เป็นเพราะข้าขัดเกลากายเนื้อด้วยพลังหยินและพลังหยางใช่หรือไม่นะ?”
ทันใดนั้นซูฉินก็ลองคิดๆ ดู
หลังจากการลงชื่อเข้าอย่างต่อเนื่องมายาวนาน ซูฉินก็พอจะเข้าใจได้อย่างคร่าวๆ ว่ายอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งที่ต้องการจะแปรสภาพร่างกายของตน พวกเขาไม่ได้ใช้วิธีขัดเกลาร่างกายด้วยหยินและหยาง
แต่กลับขึ้นอยู่กับร่างกายของพวกเขาเอง
ตัวอย่างเช่น ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งที่มีร่างกายโน้มเอียงไปทางธาตุหยาง ก็จะดำเนินไปตามเส้นทางแห่ง ‘หยาง‘ เพื่อแปรสภาพร่างกายของพวกเขา
ยอดปรมาจารย์ที่มีร่างกายเอนเอียงไปทางธาตุหยิน ก็จะแปรสภาพร่างกายของพวกเขาด้วยเส้นทางแห่ง ‘หยิน‘
คนเช่นซูฉินที่ขัดเกลาร่างกายด้วยหยินและหยางผสานกันไม่เคยปรากฏมาก่อน
“ต้องยกความดีความชอบให้ดวงตาแห่งสัจจะใช่หรือไม่เนี่ย?”
ซูฉินหรี่ตาลง
เป็นดวงตาแห่งสัจจะนี่เองที่เตือนให้เขาเฝ้ามองหาวิชากำลังภายนอกที่เป็นธาตุหยินมาฝึกร่วมกับวิชากายาวัชระคงกระพันเพื่อดับพลังอันร้อนแรง
ในขณะที่ซูฉินกำลังนั่งคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็พลันรู้สึกตัวแล้วมองไปยังทิศทางหนึ่ง
“พวกเขามาแล้ว…”
ด้วยระดับการรับรู้ในปัจจุบัน แม้จะไม่ได้ใช้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เขาก็ล่วงรู้ทุกอย่างในบริเวณโดยรอบได้
ในตอนนี้ซูฉินสัมผัสได้ว่าเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนักกำลังรีบร้อนมาที่ลานจิปาถะ
สำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ซูฉินไม่ได้รู้สึกสงสัยอะไร
ตอนที่เขากลับมาที่ลานจิปาถะ เขาไม่ได้ปิดบังตัวตนแต่อย่างใด ศิษย์หลายคนในลานจิปาถะก็ย่อมมีคนเห็นเขาเดินผ่านไปอยู่บ้าง
…
ในเวลาเดียวกัน
เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักทั้งหลายกำลังเดินทางมาที่ลานจิปาถะด้วยความวิตกกังวล
“เจ้าแน่ใจหรือว่าคนผู้นั้นกลับมาที่ลานจิปาถะ”
เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินมองไปที่เณรน้อยที่กำลังทำหน้าที่นำทางด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“เจ้าอาวาส”
“ข้าได้เห็นหลวงลุงเจินกวนมาก็หลายครั้ง ข้าไม่มีทางจำผิดแน่นอน”
เณรน้อยที่เป็นผู้นำทางตบอกตนให้คำมั่น
แม้ว่าเขาไม่รู้ว่าทำไมเจ้าอาวาสถึงตามหาซูฉิน แต่ดูจากการแสดงออกของพวกเขาแล้ว มันน่าจะเป็นการลงโทษซูฉินหรืออะไรสักอย่าง
สามเณรมั่นอกมั่นใจในเรื่องนี้จึงหาญกล้านำทางให้
“อื๋อ?”
หัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์ที่อยู่ด้านข้างพลันหน้าแข็งค้าง
ไม่รู้ตั้งกี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้วที่พวกเขาเรียกขานซูฉินว่า ‘ผู้อาวุโส‘ แต่ตัวตนอย่างเณรน้อยรุ่น ‘เฉียน‘ ที่เพิ่งเข้ามาอยู่ในวัดกลับเรียกซูฉินว่า ‘หลวงลุง‘
นี่ไม่ได้หมายความว่าตัวตนของพวกเขาสู้ไม่ได้แม้แต่เณรเหล่านี้เลยหรือไง
“ต่อไปนี้ห้ามเรียกว่าหลวงลุงอีกเป็นอันขาด!”
หัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์จ้องเขม็งไปที่เณรน้อยและเกือบจะทำให้เขาร้องไห้
ไม่นานนัก
คณะสงฆ์กลุ่มนี้เดินเข้าไปในลานจิปาถะและยืนอยู่ด้านหน้าห้องของซูฉินอย่างระมัดระวัง
“เจ้าออกไปก่อน”
หัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์มองไปที่เณรน้อยผู้นำทาง แล้วสะบัดมือให้ออกไป
“ขอรับ”
เณรน้อยวิ่งออกไปอย่างเศร้าสร้อย
หลังจากเณรรูปดังกล่าวออกไป
พื้นที่ตรงนั้นก็ตกอยู่ในความเงียบโดยทันที
เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนักต่างมองหน้ากันไปมา สีหน้าตึงเครียด มิรู้ว่าควรพูดอะไรออกไปดีหรือไม่
ประตูที่อยู่ตรงหน้าบานนี้ความจริงก็บอบบางราวกับแผ่นกระดาษสำหรับพวกเขา
อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้
ประตูนี้ประดุจน้ำตกอันกว้างใหญ่
สูงชะลูดเสียดฟ้า
หากไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ที่อยู่ภายใน แม้เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและคนอื่นๆ จะมีความกล้าหาญมากมายเพียงใดก็ไม่กล้าที่จะผลีผลามเปิดประตู
เมื่อเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนักกำลังลังเลใจว่าจะขานเรียกดีหรือไม่
เสียงสงบเย็นก็ดังขึ้นในหูของทุกคนอย่างไม่รีบเร่ง
“พวกเจ้าทุกคนเข้ามาเถิด”