เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล - 98 ชะตาคงจะถึงฆาตในไม่ช้า
Sign in Buddha’s palm 98 ชะตาคงจะถึงฆาตในไม่ช้า
“จะเกียจคร้านไม่ได้ จะมาพอใจกับเรื่องแบบนี้ไม่ได้”
“ยังมีอีกหลายส่วนในวังที่ข้ายังไม่ได้ลงชื่อเข้าใช้”
ซูฉินคิดในใจอย่างเงียบๆ พยายามระงับความคิดในใจตน
แม้ด้วยความแข็งแกร่งของเขาจะใช้เวลาเพียงไม่นานในการสำรวจพระราชวัง แต่โอกาสในการลงชื่อเข้าใช้มีเพียงวันละครั้งเท่านั้น
ต้องการลงชื่อเข้าใช้ครั้งหนึ่ง ก็ออกไปหนึ่งที
“คำนวณจากเวลาแล้วนั้น”
“คงจะต้องใช้เวลาประมาณครึ่งปีในการลงชื่อเข้าใช้จนครบทุกที่ในวังหลวงกระมัง?”
ซูฉินคิดคำนวณในใจ
…
ในวันนั้นเอง
ซูเยว่หยุนได้ขอให้ซูฉินรับประทานอาหารค่ำร่วมกับนางและองค์ชายหลี่เชิง
ซูฉินไม่ได้ปฏิเสธแต่อย่างใด อย่างไรเสียโอกาสในการลงชื่อเข้าใช้ของเขาในครั้งนี้ก็ถูกใช้หมดไปแล้ว ตอนนี้เขาไม่มีธุระอะไรให้ต้องไปทำ
ไม่นานนัก
ซูฉินมาถึงที่ห้องโถงเฉิงเอิน
ห้องโถงเฉิงเอินเป็นสถานที่ประทับส่วนพระองค์ขององค์ชายหลี่เชิงในพระราชวังตะวันออก
องค์ชายหลี่เชิงและซูเยว่หยุนได้รอคอยอยู่นานแล้วก่อนที่ซูฉินจะมาถึง
“พี่เขย มาเร็วเข้า”
องค์รัชทายาทหลี่เชิงกวักมือเรียกซูฉิน เขาปฏิบัติตนกับซูฉินโดยที่ไม่ได้มีสง่าราศีเหมือนกับองค์รัชทายาท แต่เป็นกันเองเหมือนญาติแท้ๆ
“พี่สาม ช่วงที่อยู่ในวังนี้เป็นเยี่ยงไรบ้าง?”
หลังจากที่ซูฉินนั่งลง ซูเยว่หยุนก็ถามด้วยความเป็นกังวล
แม้ว่าทุกอย่างภายในวังจะยอดเยี่ยม แต่มันหดหู่และเย็นชาจนเกินไปเป็นเหตุให้สองพี่น้องอย่างซูเฉิงฮ่าวและซูเฉิงยู่คิดว่าการเข้าร่วมกองทัพเป็นสิ่งที่ดีกว่า
สำหรับคนที่ชอบความสดชื่นมีชีวิตชีวานั้น การทำงานในวังก็ไม่ต่างกับการอยู่ในคุก
นั่นเป็นเหตุผลให้ซูเยว่หยุนถามคำถามนี้ขึ้นมา
“เป็นเยี่ยงไรบ้างงั้นรึ?”
ซูฉินนึกไปถึง [หยดน้ำจิตวิญญาณธรรมชาติ] [เคล็ดวิชาลับยืดอายุ] [กายาหยกขาว] [ทักษะดึงดูดดารา] และสมบัติชิ้นอื่นๆ อย่างรวดเร็ว ในที่สุดก็พยักหน้าและพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “มันดีเยี่ยม!”
“ถ้าพี่เขยสามคุ้นชินกับมันก็ดียิ่งแล้ว”
องค์รัชทายาทหลี่เชิงพยักหน้าเล็กน้อยและกล่าวออกด้วยรอยยิ้ม “ก่อนหน้านี้ข้ายังคุยกับหยุนเหนียงอยู่เลยว่าพี่สามจะสามารถปรับตัวเข้ากับวังหลวงได้หรือไม่…”
ระหว่างที่องค์รัชทายาทหลี่เชิงพูดอยู่นั้นเขาก็ตบศีรษะตนแล้วรีบพูดขึ้นว่า “พี่เขยสาม เร็วเถอะ อาหารวันนี้ถูกจัดเตรียมอย่างพิถีพิถันโดยห้องเครื่องขององค์จักรพรรดิ ปกติแล้วจะไม่สามารถหาทานได้”
องค์รัชทายาทหลี่เชิงแนะนำในทันที
แต่ซูฉินก็ไม่ได้สนใจเรื่องนี้เท่าไหร่นัก
นับตั้งแต่บรรลุระดับ‘อรหันต์‘ เขาก็เข้าสู่สถานะเดียวกับเทพเซียนที่อิ่มทิพย์สูบกินพลังฉีแทนอาหารและไม่จำเป็นต้องเติมเต็มพลังงานชีวิตด้วยการดื่มกินอาหารเข้าไป
แต่ไม่จำเป็นต้องกินก็ไม่ได้หมายความว่าซูฉินจะกินไม่ได้
ขณะนั้นเอง
ข้าราชบริพารหญิงรีบเดินเข้ามา
“ฝ่าบาท องค์จักรพรรดิเสด็จมาถึงแล้ว”
คำที่กล่าวออกมา
ท่าทีขององค์รัชทายาทหลี่เชิงได้เปลี่ยนไปเล็กน้อย
“ท่านพ่อมาที่นี่งั้นหรือ?”
องค์รัชทายาทหลี่เชิงกำลังจะลุกขึ้นไปรับเสด็จ
ก็พบว่าองค์จักรพรรดิถังเดินเข้ามาแล้วและโบกมือพร้อมกล่าวว่า “ไม่จำเป็นต้องมากพิธี ข้าเพียงมาเยี่ยมดูเท่านั้น”
“ตามประสงค์”
องค์รัชทายาทหลี่เชิงรีบสละที่นั่งของตนเองให้กับจักรพรรดิถังแล้วเปลี่ยนไปนั่งด้านข้างแทน
“ชายหนุ่มผู้นี้เป็นใครกันรึ?”
องค์จักรพรรดิถังหันไปมองซูฉิน
องค์รัชทายาทหลี่เชิงรีบตอบทันที “ฝ่าบาท ท่านนี้คือพี่ชายสามของน้องหยุน เขาเพิ่งมาถึงฉางอันไม่นานมานี้ เหตุนี้ฝ่าบาทจึงไม่เคยเห็นเขามาก่อน”
“อืม เป็นตระกูลซูนี่เอง…”
จักรพรรดิถังพยักหน้าและไม่ได้ถามอะไรมาก
อย่างไรก็ตามเมื่อซูฉินมองไปที่องค์จักรพรรดิ คิ้วของก็ย่นเข้าหากันเล็กน้อย
เพราะซูฉินรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าร่างกายของจักรพรรดิถังใช้งานมาจนถึงขีดสุดแล้ว ถ้าว่ากันตามเหตุผลแม้จะเป็นยอดฝีมือในระดับชั้นที่สามก็สมควรจะตายไปแล้ว
“ใช่เป็นเพราะเขาหรือไม่?”
ซูฉินกวาดสายตามองไปยังขันทีชุดม่วงที่ยืนก้มหน้าอยู่ข้างองค์จักรพรรดิ
ด้วยสายตาของซูฉิน ไม่แปลกที่จะพบว่าขันทีผู้นี้เป็นถึงยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุด
เขาเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดที่มีการแปรสภาพทั้งร่างกายและจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์
“น่าเสียดาย…”
ซูเฉินเพียงเหลือบมองไปที่ขันทีชุดม่วงชั่วครู่ จากนั้นก็ไม่ได้มองอีกไปมากกว่านั้น
แม้ขันทีชุดม่วงจะแปรสภาพร่างกายและจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของตนเรียบร้อยแล้ว แต่เขาก็ไม่สามารถบรรลุการแปรสภาพจนสมบูรณ์ไปตลอดชีวิต เป็นเพราะร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ของเขา
หากกล่าวถึงจอมมารและนักพรตจางที่พอจะมีความเป็นไปได้เล็กน้อยที่จะเข้าสู่ขั้นสมบูรณ์ของระดับชั้นที่หนึ่ง แต่กับขันทีชุดม่วงผู้นี้ไม่ได้มีความหวังอันนั้นเหลืออยู่เลย
“เคล็ดวิชาลับยืดอายุ?”
ซูฉินเบิกเนตรดวงตาแห่งสัจจะแล้วจึงเข้าใจในทันทีว่าทำไมองค์จักรพรรดิถังจึงยังทรงมีชีวิตอยู่แม้ว่าร่างกายแทบจะว่างเปล่าไปแล้วก็ตาม
ร่างขององค์จักรพรรดิถังน่าจะหมดสิ้นอายุขัยไปแล้ว แต่ถูกขันทีชุดม่วงยื้อชีวิตเอาไว้พร้อมกับใช้เคล็ดวิชาลับในการยืดอายุขัยอย่างต่อเนื่อง
กล่าวอีกนัยหนึ่ง สิ่งที่องค์จักรพรรดิถังใช้อยู่ตอนนี้มิใช่พลังชีวิตของตนเอง แต่เป็นพลังชีวิตของขันทีชุดม่วง
ยิ่งจักรพรรดิถังมีอายุยาวนานขึ้นเท่าไหร่ พลังชีวิตของขันทีชุดม่วงก็ยิ่งเหลือน้อยลงเท่านั้น
เมื่อตระหนักถึงเรื่องนี้ ซูฉินก็มองไปที่ขันทีชุดม่วง
แม้ว่าจะเป็นญาติสนิท แต่ก็มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถแลกชีวิตของตนเองให้คนอื่นได้ ไม่ต้องพูดถึงความแข็งแกร่งของขันทีชุดม่วงเลย ไม่มีใครสามารถบังคับให้เขาใช้เคล็ดวิชาลับนี้ได้
“แต่มันก็ไร้ความหมาย…”
ซูฉินส่ายหัวเล็กน้อย
เคล็ดวิชาลับยืดอายุขัยเป็นวิชาที่ซับซ้อนมาก การสูญเสียพลังให้กับสื่อกลางก็มหาศาล การที่จักรพรรดิถังมีชีวิตอยู่นานขึ้นหนึ่งปี พลังชีวิตของขันทีชุดม่วงจะเสียไปสามถึงห้าปี
นอกจากนี้
ซูฉินยังสามารถเห็นอีกว่า แม้ขันทีชุดม่วงจะเต็มใจใช้พลังชีวิตของตนเองเพื่อช่วยองค์จักรพรรดิถังยืดอายุขัย
แต่ขณะนี้องค์จักรพรรดิถังก็คงไม่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อได้อีกนานเท่าไหร่
เมื่อซูฉินกำลังคิดเรื่องนี้
องค์จักรพรรดิก็ได้นั่งลงแล้ว
“อา ใช่แล้ว ไวน์ชนิดนี้เป็นของหาได้ยากยิ่ง”
ดวงตาของจักรพรรดิถังสว่างขึ้นทันใดและยกแก้วขึ้นกำลังจะจิบ
“ฝ่าบาท ได้โปรดดูแลสุขภาพร่างกายด้วย…” องค์รัชทายาทหลี่เชิงกระวนกระวายใจและรีบปรามในทันที
“ดูแลร่างกาย?”
“ร่างกายข้าแย่เช่นนั้นหรือ?”
จักรพรรดิถังวางแก้วลง ขมวดคิ้วแล้วมองไปยังซูฉินที่นั่งนิ่งเงียบ “เจ้าเป็นพี่ชายสามของหยุนเอ๋อ บอกข้าทีซิว่าร่างกายของข้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
ซูฉินเงยหน้าขึ้นมององค์จักรพรรดิถังแล้วก็พยักหน้า สักพักก็ส่ายหัว
“เอ๋?”
“หมายความว่าเช่นไร?”
จักรพรรดิถังถามด้วยความสนใจ
“ท่านอยากรู้จริงๆ หรือ?” ซูฉินกล่าวขึ้นอย่างลวกๆ
“แน่นอน”
จักรพรรดิถังพยักหน้า
ซูฉินเงียบไปชั่วขณะและกล่าวขึ้นว่า “ชะตากำลังจะสิ้นสุดในไม่ช้า”
ด้วยคำที่กล่าวออกมา
ห้องโถงเฉิงเอินก็ตกอยู่ในความเงียบงัน
แม้จะเป็นองค์รัชทายาทหลี่เชิงแต่ดวงตาของเขาเองก็เบิกกว้างและมองไปทางซูฉินด้วยความไม่อยากเชื่อ
เขาไม่คาดคิดว่าซูฉินจะกล้าพูดเช่นนี้ต่อหน้าองค์จักรพรรดิ
“ฝ่าบาท เขาไม่ได้ตั้งใจ…”
องค์รัชทายาทหลี่เชิงกำลังจะเตรียมขอพระราชทานอภัยแทนซูฉิน
ในตอนนั้นเอง
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”
จักรพรรดิถังก็หัวเราะขึ้นมา
“น่าสนใจ”
“ช่างน่าสนใจจริงๆ…”
ร่องรอยเย้ยหยันปรากฏขึ้นบนใบหน้าของจักรพรรดิถัง “ไม่คาดคิดเลยว่าเรื่องที่ขนาดข้าราชบริพาร เหล่าทหารนายกอง และขุนนางยังไม่กล้าพูด แต่คนหนุ่มเช่นนี้กลับกล้าพูดออกมา…”
จักรพรรดิถังหัวเราะสักพักและไอออกมาสองสามครั้ง อารมณ์ของเขาก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลง
“มานี่สิ”
จักรพรรดิถังลดเสียงลง
“พะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
ขันทีผู้น้อยเดินไปยืนอย่างเคารพนบนอบที่ด้านข้างขององค์จักรพรรดิ
“ในเมื่อกล้าที่จะพูด ก็ต้องได้รับรางวัล!”
จักรพรรดิมองดูซูฉินอย่างลึกซึ้ง ลุกขึ้น และเดินออกจากห้องโถงเฉิงเอิน
“ตามพระบัญชา”
ขันทีชั้นผู้น้อยโค้งคำนับเล็กน้อยก่อนออกจากห้องโถงไปและกลับมาหลังจากหายไปไม่นานพร้อมกับพูดขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า “ตามพระบัญชาขององค์จักรพรรดิ เจ้าได้รับรางวัลเป็นทองคำหนึ่งร้อยแท่ง และจี้หยกพระราชทานหนึ่งชิ้น”
องค์รัชทายาทและซูเยว่หยุนมองหน้ากัน ได้แต่นิ่งเงียบ ไม่มีการตอบสนองใดอยู่เป็นเวลานาน