เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย - ตอนที่ 12 วางอำนาจในหมู่บ้าน
ตอนที่ 12 วางอำนาจในหมู่บ้าน
ทุกคนเงยหน้าขึ้นมอง นั่นมันเจ้าสาวอัปลักษณ์ผู้นั้นมิใช่หรือ?
เดิมทีครอบครัวนี้จู่ ๆ ก็โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ หัวหน้าหมู่บ้านรับเงินมา จากนั้นก็ให้พวกเขาย้ายมาอยู่ที่บ้านพัง ๆ หลังนี้ วันที่จี้จือฮวนเพิ่งมาถึงยังสวมชุดแต่งงานอยู่เลย ทั้งยังมีรอยเขียวคล้ำฟกช้ำบนใบหน้ากับแผลที่มีหนองไหล ทำให้ผู้คนที่พบเห็นแทบจะอาเจียนออกมา
ดังนั้นชาวบ้านส่วนใหญ่จึงจำนางได้ดี แต่ตอนนี้เมื่อเห็นนางอีกครั้ง พวกเขาก็รู้สึกเหมือนกับมีบางอย่างที่ไม่เหมือนเดิม
แต่พวกเขาไม่คิดว่าสตรีผู้นี้จะเป็นคนดีอะไร เพราะจี้จือฮวนเคยรังแกพวกเด็ก ๆ อยู่บ่อยครั้ง พวกเขาต่างก็เห็นกันกับตา
ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรกับจางชุ่ยเฟิง แต่ที่พวกเขามาในครั้งนี้ก็เพราะถูกจางชุ่ยเฟิงบังคับมาเท่านั้น จึงถือโอกาสมาดูสุนัขกัดกันเสียเลย
แต่ทันทีที่อาอินเห็นนาง เด็กน้อยก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก นางรู้สึกว่าแม่เลี้ยงของนางในตอนนี้ คงจะไม่ปล่อยให้พวกนางถูกรังแกอยู่ฝ่ายเดียวอีกต่อไปแล้ว
หลังจากจี้จือฮวนวางเผยจี้ฉือลง ดวงตาของอาอินก็เป็นประกายขึ้นมาทันที นางรีบวิ่งไปที่ข้างกายของเผยจี้ฉือพลางกล่าวถามอย่างเร็วรี่ว่า “พี่ใหญ่ ท่านเป็นอะไรไปเจ้าคะ?”
เหตุใดถึงกลับมาพร้อมแม่เลี้ยงได้?
แต่เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาคุยกัน เมื่อจางชุ่ยเฟิงหัวเราะเสียงเย็นขึ้นมา “โอ้โห มากันครบเชียวนะ เช่นนั้นก็ดี!”
นางเพิ่งจะวางท่า แต่จี้จือฮวนกลับเดินเข้ามาและตบหน้านางไปสองที จากนั้นก็ใช้เท้าเตะจางชุ่ยเฟิงผู้นี้กระเด็นไปถึงที่หน้าประตูรั้ว
จากนั้นจี้จือฮวนก็คว้าเคียวขึ้นมา และเดินไปทางจางชุ่ยเฟิง
จางชุ่ยเฟิงคิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าจี้จือฮวนจะกล้าถึงเพียงนี้ต่อหน้าผู้คนมากมาย
จางชุ่ยเฟิงเพิ่งจะยกมือขึ้นมา จี้จือฮวนก็เดินมาถึงแล้ว นางไม่พูดไม่จาใด ๆ แม้แต่คำเดียว จากนั้นก็ตบจางชุ่ยเฟิงอีกครั้งทันที บรรดาชาวบ้านที่มามุงดูอยู่ในเวลานี้ต่างก็ถอยหลังไปตาม ๆ กัน
เสียงด่าทอของจางชุ่ยเฟิงค่อย ๆ แปรเปลี่ยนกลายเป็นเสียงร้องโหยหวน
“นางเพศยา…โอ๊ยย!”
“ข้าจะไปฟ้องหัวหน้าหมู่บ้าน โอ๊ยย!”
“หยุดตีได้แล้ว”
“นางจะฆ่าคนแล้ว โอ๊ยย! ข้าผิดไปแล้ว”
“โอ๊ยยย! ท่านจอมยุทธ์หญิงหยุดตีได้แล้ว”
จี้จือฮวนตบจางชุ่ยเฟิงจนหน้าบวมเป็นหัวหมูด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง เคียวในมือของนางฟันลงไปข้าง ๆ ใบหูของจางชุ่ยเฟิง พลางมองไปยังชาวบ้านโดยรอบที่มีสีหน้าหวาดกลัวแล้วเอ่ยขึ้นว่า “จางชุ่ยเฟิงเป็นคนพาลในหมู่บ้าน ต้องการมารังแกข้า แต่นางไม่มีสิทธิ์จะมาทำเช่นนี้ ท่านลุงท่านป้าทุกท่านช่วยเป็นพยานให้ข้าด้วย ต่อไปหากข้าเห็นคนในครอบครัวนางเมื่อใด ข้าก็จะตีพวกเขาเมื่อนั้น”
บรรดาชาวบ้านต่างก็นิ่งอึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นก็มีคนพึมพำออกมาเบา ๆ “แต่จางชุ่ยเฟิงบอกว่าพวกเจ้าไปขโมยของมา ไม่อย่างนั้นจะเอาเงินมากมายจากที่ใดมาซื้อข้าวสารกัน”
“นั่นสิ ปกติเจ้าก็ไม่ได้ใจดีกับลูก ๆ ขนาดนี้หรอกกระมัง”
จี้จือฮวนปรายตามองไปทางคนพูด ทำให้คนผู้นั้นตกใจจนต้องหลบเข้าไปซ่อนในฝูงชน
“ถ้าเจ้าไม่มีปัญญาหาเงินก็อย่ามาอิจฉาผู้อื่น ข้าไม่ได้ขโมยและไม่ได้แย่งของใครมา แต่ข้าหาเงินของข้าเอง หากพวกเจ้าคิดว่าจะรังแกข้าได้ง่าย ๆ เช่นนั้นก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ เมื่อก่อนข้าทำไม่ดีกับพวกเด็ก ๆ แต่ต่อไปมันจะไม่อีกแล้ว” จี้จือฮวนเอ่ยจนจบด้วยสีหน้าเย็นชา
เปิดตัวมาก็กลายเป็นแม่เลี้ยงใจร้าย ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความผิดของเจ้าของร่างเดิม และนางก็ไม่อาจปฏิเสธสิ่งที่ร่างนี้เคยทำไว้ได้ ขอแค่ต่อไปนางเป็นคนดีก็พอ กาลเวลาจะพิสูจน์คนเอง
บรรดาชาวบ้านต่างมองหน้ากันด้วยความตกตะลึง ในที่สุดก็มีท่านป้าคนหนึ่งเดินออกมา “ตบได้ดี พูดได้ดี คนครอบครัวจางรังแกพวกเราไม่ใช่แค่วันสองวัน แต่พวกอาอิน อาฉือ ต่อให้จะยากจนหรือลำบากเพียงใดก็ไม่เคยขโมยของมาก่อน ข้าว่าเรื่องนี้เป็นจางชุ่ยเฟิงที่โลภมากอยากได้ของผู้อื่น แล้วยังเรียกพวกเรามาอีก”
“ใช่แล้ว เมื่อวานข้าเห็นอาอินเข้าไปในตำบลกับแม่เลี้ยงของนางมา”
จี้จือฮวนไม่ได้มีความแค้นใด ๆ กับชาวบ้านเหล่านี้ อย่างมากก็แค่ทำให้พวกเขารู้สึกขัดหูขัดตาก็เท่านั้น
บางครั้งชาวบ้านเห็นพวกเด็ก ๆ น่าสงสาร ยังแบ่งข้าวให้ด้วยซ้ำ แต่คนในครอบครัวจางกลับรังแกพวกเขาไม่หยุด เมื่อก่อนไม่มีใครจัดการครอบครัวนี้ได้ ในที่สุดตอนนี้พวกเขาก็สามารถพูดความจริงได้แล้ว ไม่ต้องพูดอะไรที่ผิดมโนธรรมอีกต่อไป
ทุกคนต่างก็ต้องทำมาหากิน แค่เพาะปลูกให้ดีก็ยากพออยู่แล้ว ยังจะเอาเวลามารังแกเด็กกำพร้ากับผู้หญิงคนหนึ่งอีก คนแบบนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับพวกสัตว์เดรัจฉาน!
จางชุ่ยเฟิงคิดไม่ถึงเลยว่า วันหนึ่งตนเองจะตกต่ำจนถูกคนพวกนี้รังแกได้เช่นนี้ น่าเสียดายที่ตอนนี้นางตัวคนเดียว ไฉนเลยจะเอาชนะคนมากมายขนาดนี้ได้
“สะใภ้ตระกูลเผย ข้าคือป้าหยาง หากเจ้าเต็มใจที่จะเลี้ยงดูเด็กพวกนี้จริง ๆ หากมีเรื่องลำบากอะไรก็มาหาข้าได้”
ชาวบ้านคนอื่น ๆ ก็ไม่ต่างกัน พวกเขาไม่เชื่อจางชุ่ยเฟิง และก็ไม่เชื่อจี้จือฮวนด้วย เพราะใคร ๆ ต่างก็รู้จักพูดเอาหน้า แต่ท้ายที่สุดแล้วมันก็เป็นเรื่องในครอบครัวคนอื่น ต่างคนต่างเอาตัวรอดด้วยตัวเองจะดีกว่า
เมื่อไม่มีเรื่องสนุกให้ดูแล้ว ชาวบ้านทั้งหลายต่างก็แยกย้ายกันกลับบ้าน จี้จือฮวนจึงหันไปพยักหน้าให้กับท่านป้าหยางเป็นการขอบคุณ
ส่วนจางชุ่ยเฟิงก็อาศัยตอนที่ชาวบ้านแยกย้ายกันกลับ แบกหน้าที่บวมราวกับหัวหมูเดินขากะเผลก ๆ กลับไปคิดบัญชีกับฉีเทียนชาง
ไม่รู้ว่าเพราะอาอินและอาชิงเคยชินกับนิสัยของจี้จือฮวนในตอนนี้ไปแล้วหรือไม่ พวกเขาจึงไม่ได้มีปฏิกิริยาใด ๆ มากนัก แต่เผยจี้ฉือกลับตาเบิกโพลง ยากที่จะเชื่อในสิ่งที่ตนเองเห็นยิ่งนัก
สตรีผู้นี้เก่งกาจถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน?
จี้จือฮวนปิดรั้วบ้านให้เรียบร้อย ก่อนจะเดินกลับมาอีกครั้ง
ความสนใจของอาอินเวลานี้อยู่ที่เผยจี้ฉือ นางมองดูแผลของเขาอย่างเป็นกังวล
ส่วนอาชิงก็เกาะติดกับจี้จือฮวนไม่ห่าง ใบหน้าเล็ก ๆ นั้นเงยขึ้นแล้วเอ่ยออกมาด้วยความนับถือ “ท่านแม่ ท่านเก่งจังเลยขอรับ!”
นั่นเป็นถึงแม่ของหลี่ต้าจ้วงเชียวนะ คนในหมู่บ้านต่างก็กลัวนางทั้งนั้น
จี้จือฮวนชำเลืองมองเจ้าตัวเล็กครู่หนึ่ง “ไปเอาของที่เก็บได้มาวางไว้ให้ดี ๆ อีกเดี๋ยวข้าจะมาจัดการ”
นางเอ่ยจบก็อุ้มเผยจี้ฉือเข้าไปในห้อง
อาอินอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะเดินตามเข้าไป “ท่านอุ้มพี่ใหญ่ข้าทำไม”
จี้จือฮวนเอ่ยด้วยความเหนื่อยหน่าย “เจ้าไม่เห็นหรือว่าขาของเขาได้รับบาดเจ็บ?”
อาอินย่อมเห็นอยู่แล้ว แต่สตรีผู้นี้รักษาโรคเป็นอย่างนั้นหรือ?
ไม่รอให้นางถามต่อ จี้จือฮวนก็หยิบกล่องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ออกมาจากที่ใดไม่ทราบได้ เมื่อเปิดออกมาก็พบว่ามีของแปลกใหม่ที่อาอินไม่เคยเห็นมาก่อนอยู่ในนั้นมากมาย
เผยจี้ฉือเริ่มต่อต้าน “ท่านจะทำอะไร?”
“รักษาแผล” จี้จือฮวนตอบกลับสั้น ๆ
เผยจี้ฉือขมวดคิ้ว “ข้าไม่อยากให้ท่านรักษา”
สตรีผู้นี้รู้วิชาการแพทย์อันใดกัน? ต่อให้เขาจะเสียขาข้างนี้ไป เขาก็ไม่มีทางเชื่อนาง
จี้จือฮวนไม่สนใจเขา นางพับขากางเกงของเขาขึ้น พลางเอ่ยด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง “ไม่เป็นไร ถ้าเจ้าไม่อยากรักษา เจ้าก็จะแค่กลายเป็นคนขาพิการ เวลาเดินขาก็จะสั้นข้างยาวข้าง แล้ว หากเป็นบาดทะยักและมีไข้สูงขึ้นมา บางทีก็อาจตายได้ จากนั้นก็แค่เอาเสื่อห่อศพจะได้ไม่เปลืองข้าวสารที่บ้านด้วย”
“…” สตรีผู้นี้กล้าแช่งให้เขาตายหรือ ช่างชั่วร้ายจริง ๆ
อาอินตกใจจนหน้าซีดเผือด “ร้ายแรงเช่นนั้นเลยหรือ?”
นางไม่สามารถเอาชีวิตของพี่ใหญ่มาล้อเล่นได้
“แน่นอน” กับดักล่าสัตว์เช่นนี้ หากเป็นผู้ใหญ่ก็ยังไม่แน่ว่าจะไม่เป็นอะไร นับประสาอะไรกับเด็กคนหนึ่ง
กล่องยานี่มียาที่จำเป็นต้องใช้ในครั้งนี้อยู่เต็มไปหมดอย่างรู้ความ นอกจากนี้ยังมีสายน้ำเกลือด้วย โชคดีที่แผนกที่นางสังกัดในหน่วยสืบราชการลับได้มีการฝึกอบรมเกี่ยวกับการใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์มาบ้าง เพื่อให้สามารถช่วยชีวิตผู้คนและช่วยเหลือตัวเองได้เมื่อต้องไปปฏิบัติภารกิจ
กล่องยานี่ฉลาดมากทีเดียว
เผยจี้ฉือกำลังจะพูดว่าเขาไม่จำเป็นต้องใช้ จี้จือฮวนก็ฉีดยาสลบให้หนึ่งเข็ม ผ่านไปไม่ถึงห้าอึดใจเผยจี้ฉือก็หลับตาลงและสลบไป
“พี่ใหญ่ ท่านเอาอะไรแทงเข้าไปน่ะ?” อาอินโวยวาย
“เจ้าเสียงดังเกินไปแล้ว ไม่มีอะไรทำก็ออกไปทำงาน ข้ารับรองว่าเขาจะไม่เป็นอะไร”
หากไม่ฉีดยาสลบนางจะขูดเอาเศษดินและสนิมที่ติดอยู่ในเนื้อออกมาได้อย่างไร หากใช้วิธีการรักษาแบบโบราณ คืนนี้เด็กคนนี้คงได้ตายเป็นแน่
อาอินร้อนใจเป็นอย่างมาก จี้จือฮวนเองก็หมดความอดทนแล้ว นางจึงหิ้วคอเสื้อเด็กน้อยขึ้นมาและโยนไว้ที่หน้าประตู จากนั้นก็ปิดประตูทันที อาอินจึงทำได้เพียงเดินไปเดินมาอยู่นอกประตู
หากสตรีผู้นี้ไม่สามารถรักษาพี่ใหญ่ให้หายได้ ครั้งนี้นางจะขอสู้ตาย!