เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย - ตอนที่ 15 สำนักศึกษาเปิดรับศิษย์
- Home
- เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย
- ตอนที่ 15 สำนักศึกษาเปิดรับศิษย์
ตอนที่ 15 สำนักศึกษาเปิดรับศิษย์
ศาลบรรพชน? จู่ ๆ อาอินก็รู้สึกเคร่งเครียดขึ้นมาเล็กน้อย นางหันไปเอ่ยกับจี้จือฮวน “หรือว่าคนของครอบครัวจางจะไปหาหัวหน้าหมู่บ้าน เพื่อไล่พวกเราออกไป?”
จี้จือฮวนไม่คิดเช่นนั้น และนางก็หาได้สนใจคนพวกนั้นไม่ “ไปดูก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
หลังจากเข้าไปในลานบ้าน ก็มีเสียงพูดคุยดังขึ้นมาจากในห้อง จี้จือฮวนจึงให้อาอินและอาชิงเอาของไปเก็บในห้องครัวก่อน และบอกให้อาอินเอาหินเกลือไปแช่ในน้ำด้วย จากนั้นนางจึงล้างมือและปัดฝุ่นบนเสื้อผ้าก่อนก้าวเข้าไปข้างใน
เมื่อเจิ้งต้าเฉียงเห็นจี้จือฮวน ความรังเกียจก็ฉายชัดขึ้นในดวงตาของเขาทันที แต่เขาก็ยังคงลุกขึ้นทักทาย “พี่สะใภ้”
จี้จือฮวนยังไม่ชินกับคำเรียกขานนี้เท่าไรนัก แต่ก็ยังพยักหน้ารับน้อย ๆ
คนผู้นี้นางเองก็รู้จัก เขาเป็นช่างไม้ประจำหมู่บ้านที่มีฝีมือไม่เลว และมีนิสัยซื่อสัตย์จริงใจ
เจิ้งต้าเฉียงเอ่ยขึ้นมา “คนของสำนักศึกษาชิงอวิ๋นมาเปิดรับศิษย์ เป็นเรื่องใหญ่ของหมู่บ้าน หัวหน้าหมู่บ้านบอกว่าทุกคนต้องเอาลูกหลานไปเข้าร่วม ถึงแม้ท่านจะไม่อยากให้อาฉือไปก็เปล่าประโยชน์”
จี้จือฮวนไม่ได้โกรธที่เจิ้งต้าเฉียงพูดจาเช่นนี้ เพราะในนิยายมีเนื้อเรื่องช่วงหนึ่งบอกว่า เจ้าของร่างเดิมนั้นได้เผาหนังสือทั้งหมดของเผยจี้ฉือเพื่อระบายความโกรธ ทั้งยังด่าทอเขาว่ายากจนไม่คิดที่จะออกไปหาเงิน มัวแต่อ่านหนังสืออยู่ที่บ้าน ทำให้คนทั้งครอบครัวต้องลำบากไปด้วย
อาอินและอาชิงเองก็หันไปมองจี้จือฮวนพร้อมกันโดยไม่รู้ตัว
ทว่าจี้จือฮวนกลับไม่พูดพร่ำทำเพลง เดินไปหยิบเสื้อของเผยจี้ฉือออกมาจากตู้เสื้อผ้า “ไปกันเถอะ”
คนในครอบครัวรวมถึงเจิ้งต้าเฉียงต่างก็ประหลาดใจ ง่ายดายเพียงนี้เชียวหรือ นางไม่ขัดขวางแล้วอย่างนั้นหรือ?
แต่เท้าของเผยจี้ฉือได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นจี้จือฮวนจึงไม่อนุญาตให้เขาเดินเหินไปมา ตอนนี้เขาจึงสวมแค่เสื้อตัวในอยู่เท่านั้น อาอินรีบเข้ามาช่วย และรอจนกระทั่งแต่งตัวให้เผยจี้ฉือเสร็จเรียบร้อยแล้ว เจิ้งต้าเฉียงก็แบกเขาไปด้วยตัวเอง ด้วยเพราะกลัวว่าจี้จือฮวนจะมีแผนการอะไรอีก
…
วันนี้ในหมู่บ้านคึกคักมากจริง ๆ ปกติแล้วชาวบ้านจะออกไปทำงานตามท้องไร่ท้องนา แต่วันนี้ทุกคนต่างก็มารวมตัวกันอยู่ที่ศาลบรรพชน และมุงดูหัวข้อที่ติดอยู่บนกระดานไม้
หัวหน้าหมู่บ้านเฉินไคชุนนั่งอยู่ด้านหน้าสุด วันนี้เขาเชิญหลี่เจิ้ง1มาเป็นพิเศษด้วย เพื่อมาดูว่าในหมู่บ้านมีเมล็ดพันธุ์ที่ดีหรือไม่ ขอเพียงคนใดคนหนึ่งสามารถเข้าสำนักศึกษาชิงอวิ๋นได้ ภายภาคหน้าเมื่อคนคนนั้นสอบเลื่อนขั้นได้ เขาก็พลอยมีเกียรติไปด้วย
ในหมู่บ้านมีสถานศึกษาประจำหมู่บ้านอยู่ แต่ก็มีผู้เรียนอยู่ไม่กี่คน คนที่รู้หนังสือจริง ๆ จึงมีอยู่ไม่มากนัก การที่หัวหน้าหมู่บ้านจัดงานยิ่งใหญ่และจงใจเรียกคนที่อ่านหนังสือไม่ออกมาร่วมงานด้วยนั้น ก็เพื่อสร้างภาพให้หลานชายของเขาเฉินเย่าจงนั่นเอง!
เฉินเย่าจงเป็นถงเซิง2เพียงคนเดียวในละแวกหมู่บ้านที่อยู่ใกล้ ๆ นี้ ใคร ๆ ต่างก็ชมว่าเด็กคนนี้ฉลาด ทุกคนในครอบครัวต่างก็คิดว่าเขาจะต้องได้เป็นจอหงวนอย่างแน่นอน ดังนั้นงานใช้แรงต่าง ๆ ทุกคนจึงไม่ให้เขาทำ ให้อ่านแค่หนังสือเพียงอย่างเดียว
เวลานี้เฉินเย่าจงสวมเสื้อผ้าชุดใหม่ ยืนเอามือไพล่หลังมองหัวข้อบนกระดานไม้อย่างตั้งใจ ชาวบ้านโดยรอบต่างก็มองมาที่เขาด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“เย่าจง บนนั้นเขียนว่าอะไรหรือ?”
“นั่นสิ อ่านให้อาฟังหน่อยสิ เจ้าสองของพวกเราก็จะได้รู้ด้วย”
เฉินเย่าจงปีนี้อายุสิบห้า มีรูปร่างสูงโปร่ง สะอาดสะอ้านดูเป็นผู้ดี แค่ดูก็รู้ว่าแตกต่างจากเด็กที่เติบโตในชนบทเหล่านั้น แต่เมื่อได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของเขาก็ดูไม่สบอารมณ์เท่าไรนัก เฉินเย่าจงเบ้ปากเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้นมา “มันเป็นโจทย์เลข”
ได้ยินดังนั้นเฉินไคชุนก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง เขาชี้ไปที่เฉินเย่าจงพลางกล่าวว่า “เด็กคนนี้ฉลาดมาตั้งแต่เด็ก แม้แต่อาจารย์ก็ยังชมเขาเลย”
หลี่เจิ้งได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าเป็นการให้เกียรติ ในเมื่อเฉินเย่าจงพูดเช่นนั้นก็คงทำได้กระมัง?
จุดประสงค์หลักในครั้งนี้ก็เพื่อรับสมัครศิษย์ให้กับสำนึกศึกษาชิงอวิ๋น หากมีความสามารถจริง ๆ ภายภาคหน้าสามารถสานสัมพันธ์กับหัวหน้าสำนักศึกษาได้ ก็นับว่าไม่เลวเลยทีเดียว
อีกทั้งเฉินเย่าจงก็ดูมีอนาคตจริง ๆ อย่าดูถูกว่าเขาเป็นแค่ตำแหน่งถงเซิง เพราะตำแหน่งนี้ล้วนเป็นคนที่ผ่านการสอบของอำเภอมาแล้วถึงสองครั้งทั้งนั้น แตกต่างจากพวกเขาที่ทำไร่ทำนา ยิ่งไปกว่านั้นเฉินเย่าจงอายุยังน้อย อนาคตจึงยังอีกยาวไกลนัก!
ตอนที่พวกจี้จือฮวนมาถึง คนในหมู่บ้านก็กำลังห้อมล้อมเฉินเย่าจงอยู่ และมองดูเขาทำข้อสอบ
หลี่ต้าจ้วงเห็นพวกเผยจี้ฉือจากทางหางตา กำลังคิดที่จะเยาะเย้ยพวกเขา แต่เมื่อพบว่าจี้จือฮวนก็อยู่ด้วย เขาก็ตื่นตกใจรีบแทรกตัวเข้าไปในฝูงชน
มองไม่เห็นข้า ๆ
เฉินเย่าจงถูกคนกลุ่มนี้เบียดจนไม่มีสมาธิ เฉินไคชุนที่คอยสังเกตเขามาตลอด จึงรีบลุกขึ้นและเอ่ยออกมาว่า “หลีกทางหน่อย ๆ บังคนด้านหลังหมดแล้ว ใครที่ทำเป็นให้มาหยิบกระดาษและพู่กันแล้วหาที่นั่งทำเสีย”
คนที่รู้และไม่รู้ต่างก็เข้าไปเอากระดาษและพู่กัน และเพื่อป้องกันคนอื่นเห็นคำตอบ แต่ละคนจึงหาที่นั่งทำข้อสอบของตัวเอง อีกทั้งถูกจ้องมองเช่นนี้ก็ยากที่จะโกงได้
เมื่อมองพิจารณาหัวข้อที่อยู่บนกระดานไม้ เฉินเย่าจงก็ค่อย ๆ มีเหงื่อไหลออกมา เขาจ้องมองโจทย์เลขนี้อยู่นานแต่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี เฉินเย่าจงถึงกับใจลอยไปชั่วขณะ และกวาดตามองดูคนรอบข้างโดยไม่รู้ตัว เด็กบางคนกำลังเกาหัว บางคนก็กำลังวาดภาพ
ใช่แล้ว ขนาดเขายังคิดไม่ออก คนเหล่านี้จะคิดออกได้อย่างไรกัน?
จนกระทั่งสายตาของเฉินเย่าจงชำเลืองมองไปเห็นเผยจี้ฉือ ดวงตาเขาก็พลันเบิกกว้าง เจ้าเด็กนั่นเหตุใดถึงมาอยู่ที่นี่ด้วย นับตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นเขา เฉินเย่าจงก็รู้สึกไม่ชอบใจเอามาก ๆ
เพราะเผยจี้ฉือมีรูปร่างหน้าตาดี ก่อนที่เขาจะมาที่นี่ คนในหมู่บ้านต่างก็ชมเขาว่าหน้าตาดี สะอาดสะอ้าน ไม่เหมือนคนชนบท แต่เพราะการปรากฎตัวของเผยจี้ฉือทำให้คนในหมู่บ้านเวลาที่ชมเขาก็มักจะพูดถึงเจ้าเด็กนี่ด้วย
เจ้าเด็กนี่จะมีอะไรดีกัน พ่อก็นอนเป็นผัก แม่เลี้ยงก็ไม่ได้มีความประพฤติที่ดีงามตามแบบของสตรี เฮอะ ยังกล้ามาเปรียบเทียบกับเขาอีกอย่างนั้นหรือ?
เฉินเย่าจงคิดอย่างดูแคลน และหันไปสนใจโจทย์เลขต่อ
จี้จือฮวนชำเลืองมองหัวข้อนั้นที่เขียนว่า มีหมั่นโถวหนึ่งร้อยลูก มีพระและสามเณรหนึ่งร้อยรูป แบ่งหมั่นโถวสามลูกต่อพระหนึ่งรูป ส่วนสามเณรสามรูปต่อหมั่นโถวหนึ่งลูก ดังนั้นมีพระกี่รูปและสามเณรกี่รูป?
ก็เหมือนกับคำถามเรื่องไก่กับกระต่ายในกรงเดียวกัน โจทย์บอกว่ามีพระและเณรหนึ่งร้อยรูป และมีหมั่นโถวหนึ่งร้อยลูก หากแบ่งกันได้พอดี โดยพระแต่ละรูปจะได้หมั่นโถวคนละสามลูก ส่วนสามเณรต้องแบ่งหมั่นโถวหนึ่งลูกต่อสามเณรสามรูป ดังนั้นโจทย์ต้องการถามว่ามีพระกี่รูปและสามเณรอย่างละกี่รูป?
อาอินยกนิ้วมือขึ้นมานับ อาชิงเองก็ทำตามด้วย นับไปนับมา อาชิงก็เกาหัวแกรก ๆ “ข้าลืมไปแล้วว่าเมื่อครู่นับไปถึงไหน”
อาอินไม่ชอบอ่านหนังสือ นางไม่สนใจเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย เมื่อได้ยินดังนั้นก็กัดริมฝีปาก “พระทั้งหมดสรุปแล้วมีกี่รูปกันแน่?”
“ยี่สิบห้า ส่วนสามเณรมีเจ็ดสิบห้า” จี้จือฮวนบอกคำตอบออกมา
อาอินหันไปมองนาง แต่ก็ไม่ได้สนใจคำพูดของนาง
ขณะเดียวกัน เผยจี้ฉือก็ทำโจทย์เลขเสร็จแล้ว แต่เขานั่งอยู่ในมุมหนึ่งจึงไม่มีใครสนใจเขา หลังจากเอาพู่กันไปคืนแล้ว เขาก็เดินลากขากลับมา
จี้จือฮวนเห็นดังนั้นก็เดินเข้าไปหา “ทำเสร็จแล้วหรือ?”
“อืม” เผยจี้ฉือเอ่ยเรียบ ๆ
“เช่นนั้นก็กลับกันเถอะ” จี้จือฮวนมองสิ่งที่เขาเขียนเล็กน้อย แม้ว่าวิธีการคำนวณแบบโบราณจะซับซ้อน แต่คำตอบนั้นก็ยังถูกต้อง
สติปัญญาของเจ้าตัวร้ายนี่ไม่ธรรมดาจริง ๆ
เฉินเย่าจงปรายตามองเผยจี้ฉือที่กลับไปก่อนเป็นคนแรกอย่างดูแคลน
เขาตอบไม่ได้จริง ๆ ด้วย ดังนั้นจึงกลับก่อนใครเพื่อน
เวลาในการสอบคือหนึ่งก้านธูป ทุกคนต่างก็เป็นห่วงแต่ลูกของตนเอง ดังนั้นจึงไม่มีใครมาสนใจพวกจี้จือฮวน เฉินเย่าจงเขียนคำตอบตอนใกล้จะหมดเวลา บนหน้ากระดาษมีการเขียนคำนวณโจทย์เลขเต็มไปหมด คงจะไม่ผิดเป็นแน่
เฉินไคชุนเห็นเฉินเย่าจงวางพู่กันลง ก็รีบตะโกนขึ้นมา “ส่งคำตอบขึ้นมา!”
เฉินเย่าจงทำเสร็จก่อนแล้ว จึงหยิบกระดาษคำตอบของตัวเองและเก็บของคนอื่นไปด้วย ขณะที่เก็บกระดาษคำตอบไป ในใจก็แอบหัวเราะเจ้าโง่พวกนี้ไปด้วย จนกระทั่งมายืนอยู่ตรงกระดาษคำตอบที่เขียนไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
[1] หลี่เจิ้ง (里正) เป็นข้าราชการชั้นผู้น้อยในระดับหมู่บ้าน ส่วนใหญ่มีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับทะเบียนบ้านและการชำระภาษี
[2] ถงเซิง (童生) หมายถึงบัณฑิตผู้ที่สอบผ่านในขั้นต้น คือระดับท้องถิ่น