เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย - ตอนที่ 25 ใครรังแกลูกข้า
ตอนที่ 25 ใครรังแกลูกข้า
จี้จือฮวนมองดูอาชิงที่ถูกตีจนผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้าชุดใหม่ที่สวมอยู่ก็ถูกกระชากจนขาดวิ่น รองเท้าคู่ใหม่หลังจากเขาสวมแล้วก็รักยิ่งกว่าอะไร เดินสองก้าวก็จะคอยมองดู ไม่มีทางเละเทะเช่นนี้ได้แน่
เมื่อมองดูเสื้อผ้าท่อนล่างของเผยจี้ฉือก็เปรอะเปื้อนไปหมดเช่นกัน เห็นแบบนั้นจี้จือฮวนก็โมโหจนตัวสั่นขึ้นมา นางรู้ได้ทันทีว่าหวังกุ้ยฟางพาเด็กทั้งสองคนมาที่นี่ได้อย่างไร
“จี้จือฮวน ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ!” หวังกุ้ยฟางไม่ได้คิดถึงหน้าตาตัวเองอีกแล้ว จึงตะโกนเสียงดังลั่น
จี้จือฮวนกัดฟันเอ่ยออกมา “ปล่อยอย่างนั้นหรือ ปล่อยสุนัขเช่นเจ้าออกไปกัดคนมั่วซั่วอีกอย่างนั้นหรือ เจ้านี่ช่างฝันหวานจริง ๆ”
นางยกกระบองขึ้นตีอีกสองที หวังกุ้ยฟางก็เด้งตัวขึ้นมา แต่ผมก็ยังถูกจี้จือฮวนจิกเอาไว้ในมือ และคนที่เจ็บปวดก็คือนาง
“ฆ่าคนแล้ว จะฆ่าคนแล้ว!” หวังกุ้ยฟางร้องขึ้นมาอย่างน่าเวทนา จางชุ่ยเฟิงเห็นดังนั้นก็รีบหลบไปอย่างรวดเร็ว แม้แต่เรื่องสนุกก็ไม่กล้าดูต่ออีก นางรีบลากหลี่ต้าจ้วงกลับบ้านทันที เพราะกลัวว่าอีกเดี๋ยวหากจี้จือฮวนตีหวังกุ้ยฟางเสร็จแล้วมาคิดบัญชีกับนางอีก
หลี่ต้าจ้วงรู้สึกว่าแม่ของตัวเองพูดมากจริง ๆ แต่พอสู้ไม่ได้ก็หนี จิ๊!
แต่หวังกุ้ยฟางไม่ได้โชคดีเช่นนั้น ขาของนางถูกจี้จือฮวนตีจนต้องคุกเข่าลง เสียงเข่ากระแทกกับพื้นก็ดังขึ้น หวังกุ้ยฟางคุกเข่าลงตรงหน้าของจี้จือฮวน พูดไม่ออกว่าสะบักสะบอมเพียงใด จี้จือฮวนจิกหัวของนางแล้วลากมาตรงหน้าของเผยจี้ฉือ
“เมื่อกี้เจ้าดูถูกเหยียดหยามลูกชายข้าสองคนเช่นไร ก็จงโขกหัวขอโทษเช่นนั้น ไม่อย่างนั้นข้าจะตีขาทั้งสองข้างของเจ้าให้หัก” จี้จือฮวนเอ่ยจบ ก็กดหัวของนางให้โขกลงกับพื้น
หวังกุ้ยฟางเจ็บจนน้ำหูน้ำตาไหล “บ้านพวกเจ้าขโมยของ เจ้ายังจะให้ข้ายอมรับผิดอีก รอลูกชายข้ากลับมา ข้าจะให้ทหารมาจับตัวเจ้า”
จี้จือฮวนลุกขึ้นยืน พลางมองไปรอบ ๆ “วันนี้ต่อให้คนที่มีอำนาจมากที่สุดมาเองก็จับข้าไม่ได้ เจ้าบอกว่าพวกเราขโมยของ หลักฐานเล่า?”
เจิ้งต้าเฉียงยืนมองด้วยความตกตะลึง เดิมทีเขาคิดที่จะถืออาวุธเข้าไปช่วยพาตัวอาฉือสองคนพี่น้องกลับไป เพราะครอบครัวนี้สามียังนอนเป็นผักขยับตัวไม่ได้ ต้องเสียเปรียบอย่างแน่นอน แต่ไม่คิดว่าหลังจากที่จี้จือฮวนกลับมาก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงตีคนจนมีสภาพเช่นนี้ได้
นี่เขา…ยังต้องกังวลอีกหรือ?
เมื่อได้ยินจี้จือฮวนถามขึ้นมาเช่นนี้ เขาก็ตะโกนออกไป “ใช่ ไม่มีหลักฐาน แถมยังเกลี้ยกล่อมชาวบ้านให้ไปขนข้าวสารของครอบครัวเผยมาจนหมด ที่เจ้าทำมันเรียกว่าโจรรู้หรือไม่?!”
ท่านป้าหยางเดิมก็โมโหจนแทบบ้า จึงเอ่ยสนับสนุนอีกแรง “ข้าบอกตั้งนานแล้ว ว่าสะใภ้ตระกูลเผยไปขายของที่ตำบล พวกเจ้าก็ไม่เชื่อ”
อาอินเบียดกลุ่มคนก่อนจะวิ่งเข้าไปประคองเผยจี้ฉือที่นั่งอยู่บนพื้นขึ้นมา จี้จือฮวนใช้ปลายเท้าเกี่ยวและลากเก้าอี้ไม้ตัวหนึ่งไปให้ เผยจี้ฉือได้อาอินช่วยประคองและนั่งลงบนเก้าอี้ไม้อย่างมั่นคง
เมื่อครู่ภายในใจของเขารู้สึกโศกเศร้าและอัดอั้นตันใจเป็นอย่างมาก เขาสาบานกับตัวเองว่าจะจดจำทุกคนที่นี่เอาไว้ ความอัปยศในวันนี้ วันหน้าเขาจะฆ่าพวกเขาทั้งหมู่บ้านเสียเพื่อเป็นการชดใช้!
แต่ว่าเมื่อสตรีผู้นี้ปรากฏตัวขึ้น และพูดออกมาประโยคหนึ่งว่า ขอโทษลูก ๆ ของนางซะ เผยจี้ฉือก็พบว่าตัวเองไม่ได้รู้สึกเสียใจเลยสักนิด
เขากำมือแน่นพยายามข่มความดีใจที่ท่วมท้นเอาไว้ในใจ
แต่ก็นานมากแล้วจริง ๆ ที่ไม่มีคนมาคอยปกป้องพวกเขา เขาคนเดียวต้องคอยดูแลน้องสองคนมันเหนื่อยมากจริง ๆ
ต่อให้เผยจี้ฉือจะมีความคิดที่โตกว่าเด็กคนทั่วไปอย่างไร แต่ก็เป็นแค่เด็กคนหนึ่งที่ขาดความรักและการเอาใจใส่
เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว หวังกุ้ยฟางย่อมต้องยืนกรานเป็นกระต่ายขาเดียวว่าพวกเขาขโมยของเท่านั้น อาอินโมโหจึงไปเข็นรถเข้ามา นางแรงเยอะมาตั้งแต่เกิด คนในหมู่บ้านต่างก็รู้ดี หากนางไม่ระวังยังสามารถทำชามแตกคามือได้อีกด้วย ตอนนี้เมื่อทำอะไรก็ต้องคอยออมแรงเอาไว้
รถเข็นเช่นนี้สามารถพบเห็นได้บ่อย ๆ เพราะในตำบลใคร ๆ ต่างก็มีกัน จนกระทั่งนางเปิดตู้บนรถเข็นออก เมื่อทุกคนมองเข้าไปด้านใน อาอินก็เอาของที่ซื้อวันนี้ทั้งหมดออกมา
แค่ข้าวสาร, แป้ง, ถั่ว, ผักต่าง ๆ ก็มีเยอะมากเหมือนกับที่วางขายในตลาดอย่างไรอย่างนั้น
“พวกเราขายของในตำบลดีขนาดไหน แค่ไปถามว่าเจียนปิ่งกั่วจือในตำบลฉาซู่ก็รู้แล้ว คนต่อแถวตั้งแต่หัวถนนไปจนถึงท้ายถนน แค่เราหาเงินวันเดียวก็มากกว่าบ้านพวกเจ้าทำงานสามเดือนแล้ว ขโมยของ พวกเราไปขโมยของใครกัน!” อาอินถามด้วยความโมโห
หวังกุ้ยฟางตกตะลึง พวกเขาไปเอาเงินมากมายเช่นนี้มาจากไหนกัน?
จี้จือฮวนมองนางด้วยสายตาเย็นชา “ของบ้านใครหาย ลูกสาวข้ากำลังถามเจ้าอยู่นะ เป็นใบ้หรืออย่างไร?”
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดสตรีอัปลักษณ์ที่มักจะยอมคนผู้นี้ ตอนนี้กลับดุดันขึ้นมาเช่นนี้ได้ แค่นางเอ่ยปากขึ้นมา ร่างของหวังกุ้ยฟางก็สั่นเทาทันที “เฉินซาน ไก่บ้านเขาหายไป และเจ้าก็เอาไก่ให้ท่านป้าหยางไปตัวหนึ่งพอดี ไหนเลยจะมีเรื่องบังเอิญเช่นนี้กัน”
“เจ้าเลี้ยงไก่อะไร?”
“จะเป็นไก่อะไรไปได้ ก็ไก่ที่เลี้ยงในบ้านน่ะสิ!” หวังกุ้ยฟางตะเบ็งเสียง
ท่านป้าหยางถุยน้ำลายออกมาทันที “เจ้าตดออกมาทางปากหรืออย่างไร ไก่ที่สะใภ้ตระกูลเผยเอาให้ข้าเป็นไก่ป่า นางไปจับมาเองจากบนเขา!”
ไก่บ้านกับไก่ป่าจะแยกไม่ออกเลยหรืออย่างไร แค่เนื้อสัมผัสก็ไม่เหมือนกันแล้ว!
หวังกุ้ยฟางคิดจะโต้แย้งว่านางเป็นสตรีจะไปจับไก่ป่าได้อย่างไร แต่เมื่อคิดถึงตอนที่นางถูกตีเมื่อครู่แล้ว อย่าว่าแต่ไก่ป่าเลย ต่อให้เป็นลูกเสือดาว เกรงว่านางก็คงจะล่าได้เหมือนกัน
ตอนนั้นเองก็มีคนไปเชิญหัวหน้าหมู่บ้านมา แค่อยู่ด้านนอกก็ได้พอจะเข้าใจเรื่องราวได้บ้างแล้ว ในใจรู้ได้ทันทีว่าลูกสะใภ้คนโตของตนต้องก่อเรื่องขึ้นเป็นแน่
แต่ที่ผ่านมาเฉินไคชุนมักจะเข้าข้างครอบครัวลูกคนโตมาโดยตลอด เพราะมีเฉินเย่าจงอยู่ อนาคตของเฉินเย่าจงก็คือความหวังของหมู่บ้าน
“หลีกหน่อย หัวหน้าหมู่บ้านมาแล้ว”
เฉินไคชุนทำทีเป็นวางท่า เมื่อเข้ามาก็ชำเลืองมองลูกสะใภ้ใหญ่ของตัวเอง ก่อนจะกระแอมออกมาเล็กน้อย แล้วเอ่ยขึ้นมา “โวยวายอะไรกัน ทำเหมือนเป็นตัวอะไรไปได้ ยังไม่ลุกขึ้นอีก”
หวังกุ้ยฟางเห็นพ่อสามีมาก็รู้ว่าตัวเองมีที่พึ่งแล้ว และกำลังจะลุกขึ้นยืน แต่เมื่อเห็นสายตาของจี้จือฮวน ก็ต้องคุกเข่าลงไปอีกครั้งอย่างไม่รู้ตัว
นาง…ขาไม่มีแรง
เฉินไคชุนเห็นคนครอบครัวเผยวางอำนาจและไม่ไว้หน้าเขาเลย ก็เอ่ยขึ้นมาพร้อมกับทำสีหน้าเคร่งขรึม “หมายความว่าอย่างไร คำพูดของข้าก็ไม่เชื่อฟังแล้วอย่างนั้นหรือ?”
จี้จือฮวนมองหน้าเขาคล้ายจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “เช่นนั้นก็ต้องดูว่าหัวหน้าหมู่บ้านจะตัดสินใจเช่นไร อยากให้เรื่องนี้ผ่านไปเฉย ๆ หรือจะทำตามกฎของหมู่บ้าน”
เฉินไคชุนนิ่งงัน “บุรุษพูดจาใช่เรื่องของสตรีอย่างพวกเจ้าอย่างนั้นหรือ?”
“คนทำผิดย่อมไม่แบ่งแยกหญิงชาย ในเมื่อหัวหน้าหมู่บ้านบอกว่าข้าไม่มีสิทธิ์พูด เช่นนั้นข้าคงต้องไปร้องเรียนที่จวนปกครองท้องถิ่นแล้ว คนที่ควรจับก็ต้องจับ ควรโบยก็ต้องโบย”
คนในชนบทมีใครกล้าเข้าไปที่จวนปกครองท้องถิ่นบ้าง หากไม่มีเรื่องกัน เข้าไปแล้วไม่แน่ว่าอาจจะไม่ได้ออกมาอีกเลยก็เป็นได้
หวังกุ้ยฟางคิดไม่ถึงว่าจี้จือฮวนจะร้ายกาจเช่นนี้ “เจ้าโหดเหี้ยมเกินไปแล้ว ข้าก็แค่สงสัยเท่านั้น”
“สงสัยอย่างนั้นหรือ แค่สงสัย ลูกชายสองคนของข้าก็ถูกเจ้าตีแล้วอย่างนั้นหรือ? เจ้าอายุเท่าไร ยังจะมารังแกเด็กเช่นนี้อีก เจ้ายังมีศักดิ์ศรีอยู่หรือไม่?” จี้จือฮวนดึงอาชิงมา พับขากางเกงของเขาขึ้น ก่อนจะพบว่ามีรอยเขียวช้ำ “เจ้าใช้ตาต่ำ ๆ ของเจ้าดูซะ ว่าเจ้าลงมือรุนแรงเพียงใด!”
หวังกุ้ยฟางไม่คิดที่จะสนใจ เพราะนั่นไม่ใช่ลูกของนาง
จี้จือฮวนเห็นท่าทางของนาง ก็รู้ได้ทันทีว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ ดังนั้นนางจึงมองไปทางเฉินไคชุน ก่อนจะเอ่ยด้วยความรังเกียจ “ไม่เป็นไร หัวหน้าหมู่บ้านจัดการไม่ยุติธรรมเช่นนี้ ตามกฎหมายของราชวงศ์ต้าจิ้นแล้ว หัวหน้าหมู่บ้านจะต้องถูกปลดออกจากตำแหน่ง และถูกลงโทษด้วยการโบย จากนั้นข้าจะไปที่สำนักศึกษาถามเหล่าขุนนางดูว่า แม่ของถงเซิงใส่ร้ายคนอื่นว่าเป็นหัวขโมย คนในครอบครัวใช้อำนาจบาตรใหญ่กับคนในหมู่บ้าน คุณสมบัติเช่นนี้ ครอบครัวเช่นนี้ ยังจะสามารถสอบจอหงวนได้อีกหรือไม่ อาอินแบกพี่ใหญ่ของเจ้าขึ้นมา พวกเราจะไปร้องเรียนที่จวนปกครองท้องถิ่นกัน!”