เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย - ตอนที่ 35 เจ้าเป็นปีศาจใช่หรือไม่
- Home
- เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย
- ตอนที่ 35 เจ้าเป็นปีศาจใช่หรือไม่
ตอนที่ 35 เจ้าเป็นปีศาจใช่หรือไม่
ลูกค้าวันนี้มีเยอะมาก วัตถุดิบที่จี้จือฮวนเตรียมเอาไว้จึงมากกว่าปกติ บวกกับรายได้ที่เมื่อวานบังเอิญช่วยคนเอาไว้ระหว่างทาง ตอนนี้ที่บ้านจึงมีเงินอยู่หนึ่งร้อยกว่าตำลึง สามารถทำบ้านหลังใหม่ได้แล้ว เตรียมห้องให้เด็กทุกคน ทำห้องหนังสือให้เผยจี้ฉือ ห้องอาบน้ำ ยังมีห้องพักฟื้นของเผยยวนด้วย
ที่สำคัญที่สุดก็คือ นางต้องการเตียงใหญ่ ๆ พื้นที่ส่วนตัวที่สะดวกสบายเป็นเงื่อนไขพื้นฐานในการกำหนดความสุขของชีวิต
ไม่อย่างนั้นจะทำงานหนักหาเงิน เพื่อทนลำบากไปวัน ๆ อย่างนั้นหรือ?
จี้จือฮวนเก็บคลังสมบัติน้อย ๆ เรียบร้อยแล้ว ก็ได้เตรียมอาหารเช้าไว้ให้อาชิงและเผยยวน เมื่อออกมาอีกครั้งก็พบว่าเผยจี้ฉือแต่งตัวเรียบร้อยแล้วและกำลังยืนให้อาหารไก่อยู่ในลานบ้าน
จี้จือฮวนพิจารณาร่างกายเขา “ขาหายแล้วหรือ?”
เผยจี้ฉือยังรู้สึกไม่คุ้นชินกับการพูดคุยกับนางเช่นนี้เท่าไรนัก เขาจึงพยักหน้าให้และเอ่ยขึ้นมา “ยาของท่านเป็นโอสถเทพหรือ?”
จี้จือฮวน “???”
“หากเจ้าว่าใช่ก็คงใช่กระมัง” เพราะนางก็ไม่สามารถอธิบายได้เหมือนกันว่ายาหลิงเฉวียนของนางเป็นยาวิเศษอะไรกันแน่
เผยจี้ฉือเม้มริมฝีปาก “เช่นนั้นท่านไม่กลัวแดดหรือ?”
จี้จือฮวนเมื่อถูกเขาถามเช่นนี้ ก็เอ่ยด้วยท่าทางประหลาดใจออกมา “เจ้าคิดว่าข้าเป็นปีศาจอย่างนั้นหรือ?”
เผยจี้ฉือมองนางเงียบ ๆ แม้ว่าจะไม่ได้พูดอะไร แต่ก็เหมือนพูดทุกอย่างออกมาหมดแล้ว
เพราะตัวนางกับเจ้าของร่างเดิมไม่ว่าจะลักษณะนิสัยหรือว่าพฤติกรรมล้วนต่างกันโดยสิ้นเชิง ก็ไม่แปลกที่เด็กคนนี้จะคิดเช่นนั้น จี้จือฮวนไม่ได้ตอบเขาตรง ๆ
เผยจี้ฉือจึงคิดว่านั่นคือการยอมรับ
นางไม่ใช่แม่เลี้ยงคนเดิมจริง ๆ ด้วย เช่นนั้นนางก็ไม่สามารถเข้าวัดได้ใช่หรือไม่? ในหนังสือบอกว่าภูตผีปีศาจเมื่อเจอแสงแดด หรือเจอยันต์อะไรพวกนั้นจะมลายหายไปในอากาศ
ส่วนจี้จือฮวนคนเดิม เผยจี้ฉือไม่คิดที่จะให้นางกลับมาอีก
แม้ว่าขาของเผยจี้ฉือจะหายดีแล้ว แต่ตอนนี้ที่บ้านไม่ได้ขาดแคลนเงิน จี้จือฮวนจึงยังจ้างเกวียนวัวอยู่ ระหว่างที่จะไปรอเกวียนวัวที่ในหมู่บ้านก็บังเอิญพบกับเจิ้งต้าเฉียงเข้าพอดี
“ทำบ้านหรือ เจ้าเก็บเงินได้เร็วเพียงนี้เชียวหรือ?” เจิ้งต้าเฉียงช่วงนี้อยู่แต่ในบ้านเพื่อช่วยทำเครื่องเรือนให้ครอบครัวของนาง
“อืม พอดีเมื่อวานทำการค้าใหญ่มา เจ้าช่วยหาช่างฝีมือดีที่เชื่อถือได้ให้ข้าที ต้องมีฝีมือดีเท่านั้นนะ”
เจิ้งต้าเฉียงจึงตกปากรับคำทันที จากนั้นจี้จือฮวนจึงพาเด็กทั้งสองไปรอเกวียนวัวที่ทางเข้าหมู่บ้าน
คนในหมู่บ้านต่างก็ตื่นแต่เช้าไปทำงานเช่นกัน เมื่อเห็นว่าลูกสองคนของครอบครัวเผยแต่งตัวสะอาดสะอ้าน และได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ต่างก็รู้สึกประหลาดใจขึ้นมา
“เจ้าว่าสะใภ้ตระกูลเผยขายอะไรกันถึงได้มีเงินมากขนาดนี้ เจิ้งต้าเฉียงบอกว่าได้ค่าจ้างทำเครื่องเรือนให้บ้านพวกเขามาไม่น้อยเลย”
“ไม่รู้เหมือนกัน ที่ดินที่ได้คืนมาจากครอบครัวหัวหน้าหมู่บ้าน พวกเขาก็ฝากให้ท่านป้าหยางกับสามีช่วยดูแลให้”
“เช่นนั้นต้องเป็นการค้าใหญ่แน่ เมื่อวานก็นั่งรถม้ากลับมาด้วย คนกลุ่มหนึ่งกินข้าวที่บ้านนางเสร็จแล้วถึงได้กลับไป รถม้านั่นใหญ่มากเลยนะ”
เฉินเย่าจงออกมาก็ได้ยินเสียงชาวบ้านกำลังซุบซิบกันอยู่ หวังกุ้ยฟางจึงดึงเขามาแล้วเอ่ยว่า “มีอะไรหรือ เกวียนวัวใกล้จะถึงแล้ว อย่าไปเรียนสายล่ะ”
เด็กที่รุ่นราวคราวเดียวกับเฉินเย่าจง ปกติเวลาไปเรียนก็มักจะเดินไป แต่ว่าหวังกุ้ยฟางไม่ยอม ต่อให้ต้องกินต้องใช้ประหยัดลงก็ต้องให้เฉินเย่าจงนั่งเกวียนวัวให้ได้ เพราะร่างกายของว่าที่จอหงวนนั้นล้ำค่ายิ่งนัก
เฉินเย่าจงคิดถึงตอนที่ต้องอับอายผู้คนเมื่อวานแล้วก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมา ทว่าเมื่อมาถึงทางเข้าหมู่บ้านก็เจอเข้ากับคนต้นเรื่องพอดี
ครอบครัวเผยทั้งครอบครัวต่างก็ไม่ใช่คนดีอะไร
เฉินเย่าจงตอนนี้แค่เห็นพวกเขาก็รู้สึกขยะแขยงแล้ว
เกวียนวัวมาแล้ว ยังเป็นคนขับคนเมื่อวาน จี้จือฮวนกำลังจะให้เด็กทั้งสองคนขึ้นไป หวังกุ้ยฟางก็ก้าวเข้ามาหาทันที “ให้เย่าจงของเราไปก่อน”
ตอนนี้หวังกุ้ยฟางรู้แล้วว่าครอบครัวตัวเองชดใช้เงินและเอาที่ดินคืนนางไปแล้ว นางเองก็ไปคุกเข่าที่ศาลบรรพชนมาแล้ว จึงไม่มีอะไรติดค้างครอบครัวเผยอีก
หากว่าจี้จือฮวนผู้นี้กล้าตีนางอีกล่ะ นางก็จะโวยวายให้คนรู้กันไปเลย
จี้จือฮวนปรายตามองนาง สายตานั้นเย็นเยียบ จนหวังกุ้ยฟางต้องรีบหดคอลง เพราะรู้สึกกลัวนางอยู่เล็กน้อย
“ทำ…ทำไม เย่าจงของเราจะไปเรียนหนังสือ เป็นเรื่องสำคัญที่สุดในหมู่บ้าน และเขาก็เป็นว่าที่บัณฑิตเพียงคนเดียวในหมู่บ้าน พวกเจ้ามีปัญหาอะไร?”
ตำแหน่งที่นั่งด้านในนั้นมั่นคง และไม่กระเด้งกระดอนเหมือนนั่งตรงตำแหน่งล้อ ต้องให้เย่าจงของพวกเขานั่งก่อนสิ
ส่วนเจ้าเด็กสองคนนั้นหนังหนาอย่างกับอะไร มีอะไรต้องห่วงกัน
จี้จือฮวนให้เงินคนขับเกวียนไปยี่สิบเหวิน “ข้าเหมาเกวียนแล้ว”
จากนั้นก็เบียดหวังกุ้ยฟางออกไป และผลักเฉินเย่าจงออกเพื่อให้เผยจี้ฉือและอาอินขึ้นไปก่อน จากนั้นนางก็แบกตะกร้าใบเล็กขึ้นเกวียนตามมา
ล้อเล่นอะไรกัน ทั้งสองชาติจี้จือฮวนต่างก็ไม่เคยให้ใครมาทำตัวหยาบคายใส่ แล้วจะยอมให้สตรีเช่นนางได้อย่างไรกัน
หวังกุ้ยฟางดวงตาเบิกโพลง คิดไม่ถึงว่าสตรีผู้นี้จะมีเงินเหลือเฟือจนไม่มีที่จะใช้ ถึงกล้าเอามาใช้รังแกพวกนางสองคนแม่ลูกเช่นนี้ นางจึงตะโกนเสียงแหลมขึ้นมาทันที “เจ้าทำเช่นนี้ได้อย่างไร เจ้ากล้าทำให้เย่าจงของเราไปเรียนสายหรือ!”
“ใครมีเงินคนนั้นก็คือนาย เจ้าเองก็สามารถใช้เงินไล่ข้าลงได้ แต่หากไม่มีเงิน เจ้าก็หุบปากไป” จี้จือฮวนเอ่ยเยาะเย้ยเสร็จ ก็ตบที่เพลาหน้ารถ “ท่านลุง ไปกันเถอะเจ้าค่ะ”
เฉินเย่าจงโกรธจนตัวสั่น มองดูแม่ของตัวเองตะโกนส่งเสียงด่าทออยู่บนคันนา ทว่ากลับทำได้เพียงมองดูท่าทางได้ใจของจี้จือฮวนสามคนแม่ลูก
เขาสาบานว่าสักวันหนึ่งเขาจะทำให้คนของครอบครัวเผยต้องโชคร้ายให้จงได้!
เผยจี้ฉือมองเฉินเย่าจงด้วยท่าทางเรียบนิ่ง มุมปากยกโค้งขึ้น พวกเหลือบไรเหล่านี้ หาได้อยู่ในสายตาของเขาไม่ ตอนนี้ให้คนพวกนั้นได้รับบทเรียนบ้างก็ดี แต่ใครจะเป็นผู้ชนะคนสุดท้ายก็ยังไม่แน่นักหรอก…
อาอินเองก็จ้องมองหวังกุ้ยฟางเขม็ง สตรีผู้นี้สร้างความวุ่นวายไม่เลิก นางต้องหาโอกาสให้สตรีผู้นี้รู้ถึงความร้ายกาจของนางให้ได้
พวกจี้จือฮวนแผ่รัศมีที่น่าเกรงขามออกมา ขณะที่จ้องมองหวังกุ้ยฟางสองแม่ลูกด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่กลับทำให้คนขนลุกซู่ขึ้นมาตอนกลางวันแสก ๆ ได้
จนกระทั่งมองไม่เห็นคนแล้ว หวังกุ้ยฟางถึงได้เอ่ยขึ้นมาด้วยความโมโห “เจ้ารอก่อน ข้าจะไปหายืมลามา วันนี้ก้าวเท้าออกจากบ้านผิดข้างจริง ๆ!”
เฉินเย่าจงกลืนน้ำลายลงคอ ไม่รู้ทำไมตอนที่เผยจี้ฉือมองเขาเมื่อครู่ ราวกับหมาป่าในป่าทึบก็มิปาน ทำให้เขาตกใจจนแทบจะก้าวถอยหลังเลยทีเดียว
…
ไม่นานสามคนแม่ลูกก็ทิ้งเรื่องของหวังกุ้ยฟางเอาไว้ข้างหลัง พวกอ่อนแอเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องสนใจอะไรมากมาย ภัตตาคารจุ้ยเซียนจวี่ในตำบลฉาซู่นั่นต่างหาก ถึงจะเป็นคู่ต่อสู้ที่จี้จือฮวนอยากจะจัดการมากที่สุด
ขัดขวางเส้นทางร่ำรวยของนาง เช่นนั้นก็ทำให้เขาหาเงินไม่ได้ไปเลย!
จี้จือฮวนไม่กลัวว่าเปลี่ยนที่แล้วจะไม่มีคนซื้อ เพราะคนที่จ่ายเงินจองเอาไว้เมื่อวานมีเยอะมาก เมื่อจี้จือฮวนมาถึงตำบลฉาซู่ ก็มีคนตะโกนขึ้นมาแทบจะในทันที ก่อนจะตามสามคนแม่ลูกไปที่ตั้งร้านใหม่
ฮวาเซียงเซียงให้เสี่ยวเอ้อเอารถเข็นของจี้จือฮวนออกมาตั้ง ทั้งยังช่วยกางร่มให้ และให้ยืมโต๊ะกับเก้าอี้อีก ม้านั่งทั้งหมดในร้านก็ให้ใช้ร่วมกัน
ดังนั้นจำนวนลูกค้าจึงมารวมตัวกันอยู่ตรงนี้จนเต็มพื้นที่ ไม่แบ่งให้ภัตตาคารจุ้ยเซียนจวี่เลยแม้แต่คนเดียว และยังจงใจให้พวกเขามองเห็นได้อย่างชัดเจน ให้พวกเขากระวนกระวายใจเล่นอีกด้วย
“มา ๆ ๆ วันนี้แม่นางจี้มาตั้งร้านที่ภัตตาคารเค่ออวิ๋นไหล!”
“ไปเร็วเข้า ข้ารอจนหิวจะตายอยู่แล้ว ดูสิว่าวันนี้จะมีอะไรใหม่ ๆ มาให้ลองอีกหรือไม่”
ฉือชางไห่เห็นสถานการณ์ที่มุมถนนจากทางหน้าต่างได้อย่างชัดเจน ก่อนจะกัดฟันเอ่ยขึ้นมา “นี่มันเรื่องอะไรกัน เหตุใดสตรีที่ตั้งแผงลอยผู้นั้นถึงไปอยู่กับฮวาเซียงเซียงได้!”