เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย - ตอนที่ 62 เหตุใดเผยจี้ฉือจะเข้าสำนักศึกษาไม่ได้
- Home
- เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย
- ตอนที่ 62 เหตุใดเผยจี้ฉือจะเข้าสำนักศึกษาไม่ได้
ตอนที่ 62 เหตุใดเผยจี้ฉือจะเข้าสำนักศึกษาไม่ได้?
“จี้จือฮวน เจ้าทำอะไรของเจ้า!” เฉินไคชุนถูกลากมา ก่อนจะถูกกดตัวลงบนโต๊ะโดยเด็กรุ่นลูกคนหนึ่ง ทั้งยังเป็นเพียงสตรีผู้หนึ่งเช่นนี้ เขาจึงรู้สึกอับอายขายหน้าผู้คนยิ่งนัก และด้วยความเมา น้ำเสียงจึงดุดันอย่างไม่อาจควบคุมได้
พวกท่านป้าหยางก็ส่งเสียงกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจ รีบเกลี้ยกล่อมจี้จือฮวนทันที
“สะใภ้ตระกูลเผย หัวหน้าหมู่บ้านอาจพูดจาไม่เข้าหูไปสักหน่อย แต่เจ้าจะทำร้ายคนไม่ได้นะ”
“นั่นสิ รีบปล่อยหัวหน้าหมู่บ้านเถอะ เขาดื่มมากเกินไป เจ้าอย่าได้ถือสาเขาเลยนะ”
จี้จือฮวนไม่ได้ตอบพวกเขา แต่กลับจ้องไปที่เฉินเย่าจง
“ชื่อบนเทียบเชิญ เจ้ารู้จักหรือไม่?” จี้จือฮวนสะบัดเทียบเชิญออก สีหน้าของเฉินเย่าจงพลันเคร่งเครียดขึ้นทันที
เรื่องมาถึงขั้นนี้เขาจะปล่อยให้จี้จือฮวนพูดความจริงออกไปไม่ได้เด็ดขาด
“ข้าย่อมรู้จักอยู่แล้ว พวกเจ้าไม่มีคุณสมบัติเข้าสำนักศึกษาชิงอวิ๋น ก็ไม่เห็นต้องมาใส่อารมณ์กับครอบครัวของพวกเรานี่นา” เฉินเย่าจงพิจารณาดูแล้ว ในหมู่บ้านมีไม่กี่คนที่อ่านหนังสือออก เขาแค่ยืนกรานว่าครอบครัวของจี้จือฮวนพาลพาโลก็พอแล้ว
ถึงเวลาค่อยไล่พวกเขาออกไป!
จี้จือฮวนคิดไม่ถึงว่าคนเราเวลาหน้าหนาขึ้นมาจะหนาได้ถึงเพียงนี้ คงเป็นเพราะเขาเจอคนมาน้อยเกินไปสินะ
เฉินเย่าจงพูดออกมาเช่นนี้ คนในหมู่บ้านต่างก็พุ่งเป้าไปที่จี้จือฮวนทันที ราวกับว่านางเป็นคนบาปที่ชั่วร้ายก็มิปาน
“จี้จือฮวน เจ้ารีบปล่อยหัวหน้าหมู่บ้านซะ คนเขาก็พูดไม่ผิด ไม่ใช่ว่ามีเงินนิด ๆ หน่อย ๆ ก็จะไปเรียนหนังสือได้”
“ใช่แล้ว ตอนนี้เย่าจงยังให้เกียรติเจ้าอยู่ เจ้าอย่าทำอะไรให้มันมากเกินไปจะดีกว่า”
จี้จือฮวนหัวเราะออกมาด้วยความโมโห ก่อนจะปรายตามองเหล่าผู้อาวุโสของตระกูลที่นั่งอยู่
“บนเทียบเชิญนี่เขียนชื่อของเผยจี้ฉือของเราเอาไว้อย่างชัดเจน ขอแค่หาคนที่รู้หนังสือมาก็สามารถพิสูจน์ความจริงได้แล้ว เฉินเย่าจง เจ้าขโมยชื่อเสียงคนอื่น เที่ยวแอบอ้างหลอกลวงคน ทั้งยังกล้าขโมยเทียบเชิญเข้าเรียนของคนอื่นอีก และยังกล้าลอยหน้าลอยตาต่อหน้าเจ้าของ ข้าขอถามหน่อยว่า หนังสือปราชญ์ที่เจ้าอ่านไม่ได้ช่วยขัดเกลาเจ้าเลยอย่างนั้นหรือ?”
เสียงของนางเย็นชา ทว่าแต่ละคำกลับชัดเจนราวกับเสียงกลองที่ดังเข้าหู
ท่าทางอวดดีของเฉินเย่าจงเมื่อครู่เปลี่ยนไปทันที บรรดาชาวบ้านก็ประหลาดใจเช่นกัน
“ไม่ใช่กระมัง ชื่อบนเทียบเชิญไม่ใช่เย่าจงหรือ?”
“พูดจาเหลวไหล สะใภ้ตระกูลเผยรู้หนังสืออย่างนั้นหรือ แอบอ้างเข้าเรียนไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ นะ”
เหล่าผู้อาวุโสของตระกูลก็อับอายเป็นอย่างมาก เรื่องนี้ถ้าทำกันเงียบ ๆ ก็ไม่มีผู้ใดรู้แล้ว ใครจะไปคิดว่าเฉินไคชุนจะเอาเทียบเชิญออกมาอวดเช่นนี้ มิหนำซ้ำบนนั้นยังเป็นชื่อของเผยจี้ฉือจริง ๆ คราวนี้ทุกคนต่างก็ตกที่นั่งลำบาก หาทางลงให้ตัวเองไม่ได้แล้ว
เฉินไคชุนถูกจี้จือฮวนเล่นงานก็เกือบจะสร่างเมาในทันที “เหลวไหล เจ้ารู้หนังสืออย่างนั้นหรือ เจ้าถึงกล้าพูดว่าบนนั้นเป็นชื่อของเผยจี้ฉือ เจ้าต่างหากที่คิดจะแย่งโอกาสเข้าเรียนหนังสือของเย่าจง เย่าจงเป็นสมบัติของหมู่บ้านตระกูลเฉิน เจ้าจะทำลายอนาคตของเขาอย่างนั้นหรือ?”
วันนี้ไม่ได้มีเพียงคนของหมู่บ้านตระกูลเฉินเท่านั้น ญาติทั้งฝั่งหยวนซื่อและหวังกุ้ยฟางก็มาด้วย เมื่อได้ยินคำนี้ก็โมโหอย่างมาก
“ยังไม่ปล่อยคนอีก นางผู้หญิงปากร้าย!”
“ใช่ เจ้าทำลายโอกาสของเย่าจง พวกเราไม่ปล่อยเจ้าไปแน่!”
จี้จือฮวนเอาตัวบังเด็ก ๆ ทั้งสามคนเอาไว้ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคำตำหนิและไม่พอใจของทุกคน ทว่าสีหน้าของนางกลับไม่ได้มีความหวาดกลัวหรือเสียใจแม้แต่น้อย แต่กลับเผยสีหน้าดูแคลนออกมา
“เฉินเย่าจง เจ้าคิดว่าอาจารย์ใหญ่ของสำนักศึกษาชิงอวิ๋นเป็นคนโง่อย่างนั้นหรือ อาศัยคนของหมู่บ้านตระกูลเฉินของพวกเจ้าตัดสินกันเอาเอง คิดว่าเอาเทียบเชิญรับศิษย์ของเขาเข้าไปแล้ว ถึงเวลาเขาก็จะต้องรับเจ้าอย่างนั้นหรือ คิดว่าครอบครัวเผยของเราจะปล่อยให้พวกเจ้ารังแกได้ง่าย ๆ หรืออย่างไร!”
จี้จือฮวนตวาดออกมา พร้อมกับเหวี่ยงเฉินไคชุนลงบนโต๊ะอาหาร
เสียงร้องโหยหวนของเฉินไคชุนดังขึ้นมาทันที “โอ๊ย นางจะฆ่าคนแล้ว!”
จี้จือฮวนไม่คิดที่จะปล่อยเขา
อีกทั้งคำพูดเมื่อครู่ของนาง ก็ตรงกับสิ่งที่เหล่าผู้อาวุโสของตระกูลและเฉินเย่าจงคิดเอาไว้
พวกเขาคิดว่าถึงเวลาเมื่อข้าวสารกลายเป็นข้าวสุกไปแล้ว ก็ใช่ว่าจะมีคนจำเผยจี้ฉือได้ อาจารย์ใหญ่ยุ่งมากไม่ใช่หรือ ไฉนเลยจะมีเวลามาสนใจศิษย์ทุกคนกันเล่า
อีกทั้งความรู้ของเฉินเย่าจงก็มีมากกว่าเผยจี้ฉือไม่ใช่หรือ ขอเพียงอาจารย์ใหญ่เห็นบทความของเฉินเย่าจง ยังจะสนใจอะไรเผยจี้ฉืออีก
เย่าจงเป็นเด็กที่มีความสามารถมากที่สุดของพวกเขา โอกาสดี ๆ เช่นนี้ หากไม่ให้เย่าจง แล้วต่อไปหมู่บ้านตระกูลเฉินจะทำเช่นไร
“จี้จือฮวน เจ้าปล่อยหัวหน้าหมู่บ้านก่อนเถอะ” หลี่เจิ้งสุดท้ายก็ต้องออกมาเจรจา เรื่องนี้ยังไม่ชัดเจน เหตุใดถึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้
หยวนซื่อกลับพุ่งเข้ามาด่าทันที “ยังมีอะไรที่ไม่ชัดเจนอีก ก็แค่ครอบครัวของพวกเขาอิจฉาที่เย่าจงของเราเก่งกว่าอย่างไรเล่า!”
นางพับแขนเสื้อขึ้นมา “วันนี้ข้าจะสั่งสอนนางแพศยาอย่างเจ้าให้รู้สำนึกซะบ้าง”
จี้จือฮวนลากเฉินไคชุนด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างก็จิกเข้าที่ผมของหยวนซื่อ ก่อนจะกดสองผู้เฒ่าหน้าไม่อายของครอบครัวเฉินลงบนโต๊ะอาหารพร้อมกัน
นางจะไม่ไว้หน้าคนพวกนี้อีกแล้ว วันนี้หากพวกเขาไม่มีคำอธิบายให้นางล่ะก็ เช่นนั้นไม่ว่าใครก็อย่าหวังว่าจะได้อยู่อย่างเป็นสุข
เด็กทั้งสามคนก็คิดเช่นเดียวกันกับจี้จือฮวน อีกทั้งยังล้อมอยู่รอบตัวจี้จือฮวน อาอินคิดเอาไว้แล้ว ถ้าหลังจากนี้ยังมีคนเสนอหน้าเข้ามาอีก นางจะชกให้หมอบไปเลย
“ยังมีใครอยากจะสู้อีกก็เข้ามาได้เลย วันนี้หากไม่พูดให้ชัดเจน ไม่ว่าใครก็อย่าหวังว่าจะได้อยู่อย่างเป็นสุข!” จี้จือฮวนกระชากผมของหยวนซื่อ เจ็บจนนางร้องโหยหวนออกมา
ทะเลาะกันเช่นนี้มีแต่ทำให้อับอายผู้คนชัด ๆ โดยเฉพาะบรรดาญาติของครอบครัวเฉินต่างก็ไปหาไม้คานและจอบมา เพื่อต้องการจะสั่งสอนจี้จือฮวน
ถ้ายังทะเลาะกันต่ออาจมีคนตายก็ได้
หลี่เจิ้งจึงขึ้นไปยืนบนโต๊ะทันที “หยุดเดี๋ยวนี้ เหตุใดต้องหยิบขวานมาด้วย วางลงเดี๋ยวนี้!”
คนอื่นแม้จะไม่เต็มใจนัก แต่อย่างไรเสียก็ต้องให้เกียรติหลี่เจิ้ง แต่พวกเขาก็ยังยืนจ้องหน้าจี้จือฮวนอยู่ที่เดิม
หลี่เจิ้งเดินลงมา “สะใภ้ตระกูลเผย นี่มันเรื่องอะไรกัน เจ้าช่วยบอกข้าที พูดออกมาทุกคนจะได้ให้ความเป็นธรรมกับเจ้าด้วย”
“ค่อยพูดภาษาคนรู้เรื่องหน่อย” จี้จือฮวนกางเทียบเชิญออกเหมือนเดิม “เฉินไคชุนพูดมาตลอดว่า เทียบเชิญเข้าเรียนของสำนักศึกษาชิงอวิ๋นเขียนชื่อเฉินเย่าจงเอาไว้ หากพวกเจ้าคิดว่าข้าพูดจาเหลวไหล มัวแต่มาทะเลาะกับข้าอยู่ตรงนี้ก็ไร้ความหมายสิ้นดี ไม่สู้ไปหาคนที่รู้หนังสือมาสักคนจะดีกว่า”
หลี่เจิ้งพยักหน้า ถูกต้อง มีเหตุผล
เฉินเย่าจงกลับโงนเงนขึ้นมาทันที และสายตาของเหล่าผู้อาวุโสของตระกูลต่างก็ล่อกแล่กเช่นกัน
“มีอะไรต้องดูกัน สำนักศึกษาชิงอวิ๋นนั่นจะรับเผยจี้ฉือเข้าเรียน แต่ไม่รับเย่าจงได้อย่างไร ต้องเป็นจี้จือฮวนที่อิจฉาแน่ ๆ” เหล่าผู้อาวุโสของตระกูลเพื่อรักษาหน้าเอาไว้ จึงรีบใส่ร้ายคนอื่นทันที
ความจริงแล้วคนในหมู่บ้านก็คิดเช่นนี้ กี่ปีมาแล้วที่พวกเขาเชื่อในตัวเฉินเย่าจงโดยไม่ลืมหูลืมตา จึงไม่มีใครคิดว่าเฉินเย่าจงจะเข้าสำนักศึกษาไม่ได้ และจะเป็นจอหงวนไม่ได้
“สำนักศึกษาชิงอวิ๋นเหตุใดถึงจะรับเผยจี้ฉือเข้าเรียนไม่ได้เล่า?”
ท่ามกลางฝูงชนกลับมีเสียงย้อนถามเสียงหนึ่งดังขึ้นมา
ทุกคนต่างผงะไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปมอง ก็พบว่าเป็นอาจารย์ใหญ่ที่มาวันนี้ได้ย้อนกลับมาอีกครั้ง อีกทั้งด้านหลังยังมีฮูหยินที่ชราท่านหนึ่งมาด้วย และมายืนอยู่ตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่อาจทราบได้
จี้จือฮวนดวงตาเป็นประกายขึ้นมาทันที นั่นมันหลินเซวียเหวินกับเฉียวฮูหยินไม่ใช่หรือ?
หลินเซวียเหวินเมื่อครู่เฝ้าดูเรื่องน่าขันอยู่ด้านนอก หากไม่ดูเขาก็คงไม่รู้ แต่แค่ดูอยู่ไกล ๆ ก็เกือบทำให้เขาโมโหจนเลือดขึ้นหน้าแล้ว
เขาเห็นฝูงชนหลีกทางให้ จึงได้เดินเข้ามา “คิดว่าผู้อาวุโสและพ่อแม่พี่น้องทุกท่านคงทราบแล้ว ว่าข้าเป็นใครกระมัง?”
“อาจารย์ใหญ่…ท่านเหตุใดถึง…”
หลินเซวียเหวินจ้องเฉินเย่าจงด้วยสีหน้าเย็นชา ประกายในดวงตานั้น ทำให้เฉินเย่าจงรู้สึกว่าเลือดลมภายในกายถูกแช่แข็งก็มิปาน
.
.
.