เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย - ตอนที่ 72 สตรีสูงวัยผู้น่าเกรงขาม
- Home
- เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย
- ตอนที่ 72 สตรีสูงวัยผู้น่าเกรงขาม
ตอนที่ 72 สตรีสูงวัยผู้น่าเกรงขาม
“การขายเนื้อตุ๋นนี่หรือขอรับ? กิจการนี้ข้าทำร่วมกับผู้อื่น ดังนั้นข้าจึงไม่สามารถตัดสินใจได้หรอกขอรับ”
โจวเหล่ยเห็นจางต้าเปียวพูดแง้มมาแล้ว จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มกว้าง “ในเมื่อเถ้าแก่จางพูดเช่นนี้แล้ว ข้าก็จะขอพูดตรง ๆ พวกเราอยากทำการค้าร่วมกับพวกท่านด้วย ท่านเห็นว่าอย่างไร?”
พูดเสียน่าฟัง ทำร่วมด้วย ถึงเวลาเกรงว่าคงจะแย่งสูตรไปขายคนเดียวเสียมากกว่า
“ต้องขออภัยด้วยขอรับ ข้าทำสัญญากับเขาเอาไว้ ซึ่งเขาบอกเอาไว้ว่ากับคนอื่นยังพอคุยกันได้ มีเพียงนายท่านฉือของจุ้ยเซียนจวี่เท่านั้นที่ห้ามทำการค้าด้วยเด็ดขาดขอรับ”
จางต้าเปียวเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม แต่ทันใดนั้นสีหน้าของฉือชางไห่ก็เปลี่ยนไป
“ข้าให้เกียรติเจ้าแล้วนะ!” ฉือชางไห่เอ่ยขึ้นมาด้วยความโมโห
จางต้าเปียวก็ไม่ใช่คนที่จะยอมให้ใครมารังแกได้ง่าย ๆ เขาไม่ได้พึ่งพาอะไรฉือชางไห่ และไม่มีการค้าอะไรต่อกัน ถ้าคิดว่าทำเช่นนี้จะทำให้เขาตกใจกลัวได้ล่ะก็ คงตลกสิ้นดี
“เกียรติไม่ใช่สิ่งที่คนอื่นจะให้ได้ การทำการค้ากับนายท่านฉือ ข้าไม่กล้าทำด้วยหรอกขอรับ” จางต้าเปียวประสานมือคารวะ ก่อนจะเดินกลับเข้าร้านตัวเองไป
โจวเหล่ยคิดไม่ถึงว่าจางต้าเปียวจะไม่ไว้หน้ากันเช่นนี้
“ส่งคนไปสืบดูว่าเนื้อตุ๋นนี้มาจากที่ใด!”
แต่ละคนคิดจะแข็งข้อกับเขาอย่างนั้นหรือ?ฉือชางไห่ไม่เชื่อหรอกว่าในตำบลฉาซู่จะมีใครกล้าตั้งตัวเป็นศัตรูกับเขา
…
จี้จือฮวนไปซื้อของที่ร้านข้าวสารในตำบล จากนั้นจึงได้กลับบ้าน
จ้านอิ่งวิ่งเร็วมาก บวกกับนางไม่ค่อยได้ควบม้าเช่นนี้มานานแล้ว ดังนั้นจึงควบคุมพละกำลังของมันไม่ค่อยอยู่ ตอนที่พุ่งมาถึงประตูบ้านก็เกือบจะกระแทกเข้ากับรั้วเสียแล้ว
แต่ด้วยเหตุนี้เอง ทำให้ผู้คนที่กำลังมุงดูกันอยู่ตื่นตกใจขึ้นมา
“สะใภ้ตระกูลเผยกลับมาแล้วหรือ?”
“นางยังขี่ม้าเป็นด้วย”
จี้จือฮวนที่นั่งอยู่บนหลังจ้านอิ่ง ย่อมเห็นได้ไกลกว่ายามปกติ จึงเห็นว่าในลานบ้านของตนเองเวลานี้กำลังวุ่นวายไปหมด
“หลีกหน่อย” น้ำเสียงของนางเย็นชาลง ก่อนจะขี่ม้าเข้าไปในลานบ้าน
ชาวบ้านจึงรีบเอ่ยเตือน “เจ้าระวังตัวด้วยนะ คนในครอบครัวของอวี๋ซิ่วเหลียนยกโขยงกันมาที่นี่”
เป็นไปตามที่นางคาดเอาไว้ คนที่ยืนอยู่ในลานบ้านก็คืออวี๋ซิ่วเหลียน แถมยังพาคนมาด้วยอีกไม่น้อย
เหล่าเติ้งนำคนงานมายืนขวางด้านหน้าเอาไว้ ไม่ปล่อยให้พวกเขาเข้าไปพังบ้านจนเละเทะ แต่ที่ทำให้จี้จือฮวนประหลาดใจก็คือ ไม่ใช่แค่เหล่าเติ้งเท่านั้น แต่สตรีสูงวัยที่มีนิสัยประหลาดผู้นั้น กลับมีท่าทางน่าเกรงขามกว่าพวกที่จะมาหาเรื่องเสียอีก
นางเพียงปรายตามองจี้จือฮวนเล็กน้อย จากนั้นก็กระชากอวี๋ซิ่วเหลียนมาตบ
ทันใดนั้นลานบ้านที่เพิ่งสงบลง ก็มีเสียงเอะอะโวยวายขึ้นมาอีกครั้ง
มีพวกของเหล่าเติ้งคอยขวางอยู่ คนของฝั่งอวี๋ซิ่วเหลียนจึงไม่สามารถเข้ามาได้ สตรีสูงวัยตบนางครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไร้ความปรานี จนทำให้อวี๋ซิ่วเหลียนเกือบเสียโฉม
“นางหน้าไม่อาย ใครใช้ให้เจ้ามาตีอาฉือของพวกเรา!?” สตรีสูงวัยเอ่ยจบ ก็กดศีรษะของอวี๋ซิ่วเหลียนลงไปในอาหารหมูที่จี้จือฮวนเตรียมเอาไว้
แม่ของอวี๋ซิ่วเหลียนอย่างเถียนซื่อเองก็ทำอะไรไม่ถูก ทำได้เพียงพุ่งตัวเข้าไปหาจี้จือฮวน แต่ยังไม่ทันได้เข้าไปใกล้ จ้านอิ่งเตะทีเดียวก็ทำให้คนกระเด็นออกไปแล้ว
ทุกอย่างเงียบสงบลง
พริบตาต่อมาก็มีเสียง เพียะ! ดังขึ้นอีก สตรีสูงวัยตบอวี๋ซิ่วเหลียนอย่างไร้ความปรานีต่อ
“หญิงบ้านนอกที่ใดกัน หน้าหนาจนฝ่ามือข้าเจ็บไปหมดแล้ว” สตรีสูงวัยเอ่ยไปก็สะบัดมือไป ระหว่างนั้นหลังของนางก็ตั้งตรง มือข้างหนึ่งวางไว้ที่ลำตัวด้านหน้า ใบหน้าเชิดขึ้น เพียงแค่ท่าทางเช่นนี้ก็ทำให้อวี๋ซิ่วเหลียนตื่นตระหนกได้แล้ว
อวี๋ซิ่วเหลียนถูกตบจนไม่มีแรงจะต่อต้าน จึงทิ้งตัวลงกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง
สตรีสูงวัยจึงได้ทัดผมด้วยท่าทางสง่างาม จากนั้นก็จัดการกับรอยยับย่นบนเสื้อผ้าป่านเล็กน้อย ก่อนจะหันไปกระแอมให้คนที่อยู่ข้าง ๆ
อาชิงน้อยก็รีบยกม้านั่งตัวเล็กมาให้ทันที
สตรีสูงวัยจึงรวบกระโปรงแล้วนั่งลง ก่อนจะเอ่ยกับจี้จือฮวน “ในเมื่อเจ้ากลับมาแล้ว เจ้าจัดการต่อเองก็แล้วกัน ข้าเหนื่อยแล้ว”
จี้จือฮวน “…”
ข้าว่าท่านยังไหวอยู่นะ
ไม่เห็นต้องถ่อมตนเช่นนี้เลย
“มีเรื่องอะไรกัน?” นางลงจากหลังม้าและมองไปรอบ ๆ พลางเอ่ยถามออกมาด้วยเสียงที่เย็นชา
ท่านป้าหยางในที่สุดก็สามารถเปิดปากพูดได้แล้ว “ฮวนฮวน อวี๋ซิ่วเหลียนเสียสติไปแล้ว บอกว่าเจ้าเป็นคนทำร้ายนาง ทั้งยังพาคนของหมู่บ้านตระกูลอวี๋มาเอาคำอธิบายด้วย”
จี้จือฮวนเข้าใจได้ในทันที นางเลิกคิ้วมองอวี๋ซิ่วเหลียนที่นอนหมดแรงอยู่บนพื้น “ดูท่าหากไม่จับเจ้าใส่กรงหมูถ่วงน้ำ เจ้าคงไม่ยอมจบง่าย ๆ สินะ”
เถียนซื่อถูกม้าเตะจนกระเด็นออกไปแล้ว แต่คนครอบครัวอวี๋ก็ยังมีคนที่ยังไม่เป็นอะไรอยู่
บุรุษร่างกายกำยำผู้หนึ่งโผล่หน้าออกมาและชี้หน้าจี้จือฮวน “เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาบอกว่าน้องสาวข้าคบชู้ เจ้าฉีเทียนชางนั่นบอกว่าเจ้าต่างหากที่เป็นชู้กับมัน!”
ท่านป้าหยางถ่มน้ำลายออกมาทันที “ถุย! น้องสาวเจ้าคบชู้ พวกเราหมู่บ้านตระกูลเฉินต่างก็เห็นกันหมด”
คนในชนบทเป็นคนตรง ๆ สิ่งที่เห็นด้วยตาตนเองถือเป็นเรื่องจริง ไม่ว่าใครก็ไม่อาจปฏิเสธได้
“ถูกต้อง พวกเราต่างก็เห็นกันหมด!”
“นอนด้วยกัน เสื้อผ้าก็ไม่ใส่ พวกเราไม่ลากนางใส่กรงหมูถ่วงน้ำก็ถือว่าดีขนาดไหนแล้ว พวกเจ้ายังมีหน้ามาพูดจาเหลวไหลอีก”
พี่ชายของอวี๋ซิ่วเหลียนหน้าซีดลงทันที เขาจึงหันไปเอ่ยกับอวี๋ซิ่วเหลียน “เจ้าพูดสิ!”
เขาไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังจะสอบสวนจี้จือฮวนได้อย่างไร?
อวี๋ซิ่วเหลียนเองก็อยากจะพูด แต่ตอนนี้นางกลับพูดไม่ออก กลับเป็นสตรีสูงวัยที่นั่งอยู่ตรงนั้น ที่จู่ ๆ ก็ยืนขึ้นและเข้าไปใกล้อวี๋ซิ่วเหลียน
“เจ้าพูดว่าอะไร พูดให้มันดัง ๆ หน่อย?”
อวี๋ซิ่วเหลียนจ้องหน้านางด้วยความโกรธแค้น “พวกเจ้าต้องตายกันทั้งหมด ข้าจะไม่…ปล่อย…พวกเจ้าไป”
เสียงของนางเบาลงเรื่อย ๆ และนางก็ไม่สามารถทนได้อีกต่อไป
“น้องหญิง เจ้าพูดอะไรกัน พูดดัง ๆ หน่อย” พี่ชายของอวี๋ซิ่วเหลียนตะโกนขึ้นมา
สตรีสูงวัยยืดตัวตรง “นางบอกว่าขอโทษจี้จือฮวน ตัวเองคบชู้เองแต่คิดจะมาหาเรื่องคนอื่น นางผิดไปแล้ว ยินดีที่จะชดใช้ค่าเสียหายให้ครอบครัวของจี้จือฮวน”
เหล่าชาวบ้านได้ยินดังนั้นต่างก็พยักหน้าเห็นด้วย
“ดูท่าอวี๋ซิ่วเหลียนผู้นี้คงยังกลับตัวได้”
“ใช่ เดิมนางก็เป็นคนผิดอยู่แล้ว ยังจะมาหาเรื่องอีก”
อวี๋ซิ่วเหลียนโมโหจนตาเหลือกก่อนจะสลบไป สตรีสูงวัยสะบัดกระโปรงขึ้นมาบัง และลอบเตะตรงหน้าอกของอวี๋ซิ่วเหลียนไปทีหนึ่ง จากนั้นก็นั่งลงและเอ่ยขึ้นมา “เอาล่ะ มาพูดเรื่องชดใช้ได้แล้ว”
คนของหมู่บ้านตระกูลอวี๋ที่มาหาเรื่องต่างก็ตกตะลึงไปตาม ๆ กัน!
นี่มันเรื่องอะไรกัน!
…
อีกด้านหนึ่ง เฉินไคชุนกำลังนั่งพิงประตูจ้องไปทางเนินเขา
“เอาเลย ทะเลาะกันให้ดังกว่านี้อีก ข้าจะดูสิว่าครอบครัวของพวกเขายังจะเชิดหน้าได้อยู่หรือไม่?” หลายวันมานี้คนในครอบครัวเฉินได้แต่เก็บตัวอยู่ในบ้านราวกับเต่าหดหัว เพราะเกรงว่าจะถูกชาวบ้านเห็นและหัวเราะเยาะพวกเขา
หลังจากที่เฉินไคชุนสร่างเมา ก็ได้ยินว่าตำแหน่งหัวหน้าหมู่บ้านของเขากำลังจะถูกยึด ตั้งแต่นั้นเขาก็เอาแต่เดินแกว่งแขนไปมาไม่ทำการทำงานอีก
ไม่ต้องการเขาแล้วไม่ใช่หรือ เช่นนั้นเรื่องเล็กใหญ่ในหมู่บ้าน เขาก็จะไม่สนใจอีกต่อไป
เขาจะดูสิว่าใครจะมีความสามารถเช่นเขาอีก คนของหมู่บ้านตระกูลอวี๋มาก็ดี อาละวาดให้บ้านพังไปเลย
หยวนซื่อออกมาจากห้องครัวปากก็ด่าไม่หยุด เมื่อเห็นเฉินไคชุนที่ยืนดูเรื่องสนุกอยู่ ก็พลอยด่าตามไปด้วย “ทุบบ้านของครอบครัวเผย ให้เละไปเลยได้ยิ่งดี”
เฉินไคชุนเองก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน ตั้งใจว่าวันนี้จะดื่มเหล้าฉลองเสียหน่อย ดังนั้นเขาจึงหมุนกายกลับเข้าไปในบ้าน เมื่อเห็นเฉินเย่าจงมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ก็ถอนหายใจแล้วเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าสงบจิตสงบใจอ่านหนังสือไปเถอะ สำนักศึกษาชิงอวิ๋นนั่นก็ไม่ได้สูงส่งอะไรมากนัก พวกเราแค่ไปหาสำนักศึกษาที่ดีกว่าใหญ่กว่าก็พอ”
เฉินเย่าจงแค่นหัวเราะ “ดีกว่าอย่างนั้นหรือ? ยังจะไปที่ที่ดีกว่าอะไรได้อีก ตอนนี้คนในหมู่บ้านมีใครบ้างที่ไม่หัวเราะเยาะข้า”
เฉินไคชุนสะอึกไปทันที แต่เขาอายุปูนนี้แล้ว ไม่มีทางยอมรับว่าตัวเองผิดง่าย ๆ “เจ้ารอดูได้เลย อีกประเดี๋ยวคนของครอบครัวเผยก็จะซวยแล้ว ชื่อเสียงของพวกเขาก็จะฉาวโฉ่ ไม่แน่อาจจะเข้าสำนักศึกษาไม่ได้แล้วก็เป็นได้”
.
.
.