เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย - บทที่ 102 ไม่อยากไปก็ต้องไป! แม่ลูกร่วมมือกันวางอุบาย
- Home
- เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย
- บทที่ 102 ไม่อยากไปก็ต้องไป! แม่ลูกร่วมมือกันวางอุบาย
บทที่ 102 ไม่อยากไปก็ต้องไป! แม่ลูกร่วมมือกันวางอุบาย
คราวนี้คนของครอบครัวเฉินต่างก็ตกตะลึง
เหตุใดทุกคนถึงต้องเข้าข้างจี้จือฮวนด้วย ตำแหน่งหัวหน้าหมู่บ้านก็ถูกปลดออกแล้ว ตอนนี้ยังจะไล่พวกเขาออกไปอีกอย่างนั้นหรือ พวกเขาจะไปที่ไหนได้ ไล่พวกเขาออกไปก็เท่ากับฆ่าพวกเขาทางอ้อมน่ะสิ!
เฉินเย่าจงเองก็คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะไล่คนในครอบครัวของตนออกจากหมู่บ้านเช่นนี้
เขาจะสอบขุนนาง จะสอบจอหงวน จะแบกรับความอัปยศเช่นนี้ไว้ได้อย่างไร
หากเขาถูกไล่ออกไปเช่นนี้ เกรงว่าแม้แต่ตำแหน่งถงเซิงก็คงจะรักษาเอาไว้ไม่ได้อีก!
เหล่าผู้อาวุโสให้คนไปหยิบหนังสือลำดับวงศ์ตระกูลในศาลบรรพชนมาแล้ว เฉินเย่าจงจึงก้าวไปข้างหน้าและเอ่ยขึ้นมา “ผู้อาวุโส หรือว่าพวกท่านก็จะไล่แม้แต่ข้าออกไปด้วยอย่างนั้นหรือขอรับ?”
เฉินไคชุนแม้จะไร้ประโยชน์แล้วก็จริง แต่เขาเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถสอบงอหงวนได้ เผยจี้ฉืออย่างนั้นหรือ เขาเพิ่งจะแปดขวบจะไปทำอะไรได้ กว่าเขาจะไปเรียนไปสอบยังต้องใช้เวลาอีกเป็นสิบปี
ส่วนเขา พอตอนสิบกว่าขวบก็สอบได้เป็นถงเซิงแล้ว นับว่าเป็นคนที่มีความหวังมากที่สุดในหมู่บ้านแล้วในตอนนี้
ถ้าเหล่าผู้อาวุโสไม่ได้โง่ คงไม่มีทางไม่สนใจเขาหรอกกระมัง?
ขอเพียงเขาสอบเป็นขุนนาง สามารถดูแลหมู่บ้านได้ คนของหมู่บ้านตระกูลอวี๋ไหนเลยจะยังกล้ามารังแกหมู่บ้านตระกูลเฉินของพวกเขาอีก!
เฉินเย่าจงมองเหล่าผู้อาวุโสของตระกูลด้วยความคาดหวัง และพยายามมองหาความลังเลบนใบหน้าของพวกเขา
ทว่าครั้งนี้พวกเขาแน่วแน่เป็นอย่างมาก
หากไม่ใช่เพราะมีสองสามีภรรยาตระกูลเผย พวกเขาคงตายด้วยน้ำมือของโจรขี่ม้าไปนานแล้ว เก็บครอบครัวของเฉินไคชุนไว้ นั่นเท่ากับนำหายนะมาสู่ทั้งหมู่บ้าน
เจิ้งหลี่เจิ้งเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา “พรุ่งนี้เช้าข้าจะพาคนในหมู่บ้านเอาตัวโจรขี่ม้าเหล่านี้กับปู่ของเจ้าไปส่งที่ที่ว่าการ ส่วนเจ้า ในเมื่อหมู่บ้านตระกูลเฉินตัดสินใจจะลบชื่อเจ้าออกจากวงศ์ตระกูลแล้ว เช่นนั้นข้าที่เป็นหลี่เจิ้งก็ไม่มีอะไรจะพูดอีก เจ้ารักษาเนื้อรักษาตัวให้ดีเถอะ”
เดิมพวกเขาควรจะพาคนของครอบครัวเฉินทั้งครอบครัวไปที่ที่ว่าการด้วย หากไม่ใช่เพราะเห็นว่าเฉินเย่าจงไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ หลี่เจิ้งก็คงไม่คิดที่จะปล่อยเขาไป
เฉินเย่าจงคิดไม่ถึงว่าแม้แต่หลี่เจิ้งก็จะทิ้งเขาด้วย!
เขาไม่สามารถยอมรับผลลัพธ์เช่นนี้ได้
“ไม่!!!” เฉินเย่าจงก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว หยวนซื่อและเฉินหลันหลันทั้งตะโกนและร้องไห้ฟูมฟายออกมา
“ดึกดื่นเที่ยงคืนเช่นนี้ พวกเจ้าก็ยังจะไล่พวกเราออกไปอย่างนั้นหรือ พวกเราจะไปที่ใดได้?”
“เจ้าจะบีบพวกเราให้ไปตายหรืออย่างไร?”
หวังกุ้ยฟางกระทืบเท้าเร่า ๆ “พ่อสามีข้าไปพูดจาเหลวไหลกับคนของหมู่บ้านตระกูลอวี๋ แล้วเกี่ยวอะไรกับเย่าจงของเราด้วย เย่าจงเรียนหนังสือมาตั้งหลายปี ก็เพื่อทุกคนไม่ใช่หรือ?”
หากเมื่อก่อนหวังกุ้ยฟางพูดประโยคนี้ พวกชาวบ้านก็คงจะเชื่อไปแล้ว แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกัน เฉินเย่าจงแท้จริงแล้วมีความรู้ความสามารถจริงหรือไม่ ก็ยังต้องรอดูกันต่อไปก่อน!
ใครจะไปรู้ว่าเจ้าเด็กนี่จะสามารถสอบจอหงวนได้จริงหรือไม่
ขนาดสอบเข้าสำนักศึกษาชิงอวิ๋น ยังขโมยคำตอบของเผยจี้ฉือ เด็กแค่แปดขวบยังสู้ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
อีกทั้งตอนนี้ก็แตกหักกันแล้ว หากเขาได้ดิบได้ดีแค่ไม่มาแก้แค้นพวกเขาก็นับว่าดีมากแล้ว ยังจะหวังให้เขามาทำดีด้วยอย่างนั้นหรือ ฝันไปเถอะ!
เฉินเย่าจงนั้นหมดหวังแล้ว ไม่ว่าจะพูดอย่างไรครอบครัวของพวกเขาก็ต้องไสหัวออกไป
หวังกุ้ยฟางจึงเริ่มก่อเรื่องสร้างความวุ่นวาย โดยการไปทะเลาะกับหลี่เจิ้งและเหล่าผู้อาวุโส
เฉินเย่าจงได้แต่ยืนอึ้งอยู่ตรงนั้น หากเขารู้ว่าคนของหมู่บ้านตระกูลอวี๋จะไปหาโจรขี่ม้า เขาก็คงจะไม่ให้เฉินไคชุนไปปล่อยข่าวลือเช่นนั้น
ตอนนี้เมื่อก้าวแรกผิด ก้าวต่อไปก็ผิดตาม หากออกจากหมู่บ้านตระกูลเฉิน เขายังจะสามารถไปที่ใดได้อีก?
ไม่มีสำนักศึกษาไหนรับเขาเข้าเรียน เขาจบแล้ว ชื่อเสียงก็ถูกทำลายหมดแล้ว
“โมโหมากใช่หรือไม่ ช่างเป็นคนที่มือไม่พายแต่เอาเท้าราน้ำจริง ๆ อีกทั้งยังทำให้เจ้าพลอยลำบากไปด้วยใช่หรือไม่?” เสียงค่อนข้างทุ้มต่ำของเด็กผู้ชายดังขึ้นข้างกาย เฉินเย่าจงจึงหันหน้าไปในทันที
เป็นเผยจี้ฉือ
เขาพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?
เผยจี้ฉือมองหน้าเฉินเย่าจงก่อนจะเอ่ยเสียงเบาขึ้นมา “ปู่เจ้าเป็นคนที่ถ่วงความเจริญของเจ้า สลัดเขาทิ้งซะ เจ้าก็สามารถอยู่ต่อไปได้แล้วมิใช่หรือ?”
เอ่ยจบ เผยจี้ฉือก็ยกยิ้มขึ้นมา ก่อนจะหมุนกายกลับไปหาจี้จือฮวน
ไม่มีใครสนใจสิ่งที่เขาพูดกับเฉินเย่าจง
สลัดคนที่ถ่วงความเจริญทิ้ง เขาก็จะสามารถอยู่ที่หมู่บ้านตระกูลเฉินต่อไปได้แล้ว
ใช่แล้ว เฉินไคชุนต่างหากที่เป็นตัวถ่วงความเจริญของเขา หากไม่ใช่เพราะเฉินไคชุนไม่ได้เรื่อง ปล่อยข่าวลือออกไปจนทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายเช่นนี้ เขาจะตกต่ำจนถูกชาวบ้านพวกนี้รังเกียจได้อย่างไร?
ไม่มีทาง ทั้งหมดเป็นเพราะเฉินไคชุน เป็นเพราะเขา!
ทันใดนั้นเฉินเย่าจงก็เงยหน้าขึ้นและเอ่ยออกมา “หลี่เจิ้ง ความผิดของท่านปู่ข้า จะทำให้พวกเราทั้งครอบครัวเดือดร้อนไปด้วยไม่ได้นะขอรับ ผู้อาวุโส ผู้อาวุโส พวกท่านมองข้าสิขอรับ ข้ายังต้องสอบ ข้าตั้งใจทำเพื่อคนทั้งหมู่บ้าน ความผิดของท่านปู่จะให้พวกเราเป็นคนรับผิดชอบได้อย่างไร ท่านจะให้พวกเราไปที่ใด จะบีบให้พวกเราไปตายหรือขอรับ?”
เฉินไคชุนแม้จะเจ็บปวดจนแทบจะเป็นลม แต่ก็คิดไม่ถึงว่าคำพูดเหล่านี้จะออกมาจากปากของเฉินเย่าจง
ตั้งแต่เล็กจนโต มีอะไรที่เฉินเย่าจงต้องการแล้วเขาไม่ให้บ้าง วันปีใหม่หรือเทศกาลใด ๆ แม้เขาจะท้องหิวก็ต้องยกเนื้อชิ้นที่ใหญ่ที่สุดให้หลานกิน
ลูกชายของลูกคนรองและลูกคนที่สามของเขา มีคนไหนบ้างที่ไม่ไปเป็นคนรับใช้หรือคนงาน มีเพียงหลานคนนี้เท่านั้นที่ไม่ต้องทำงาน ทำแค่เรียนหนังสือเพียงอย่างเดียว
นี่เป็นหลานที่เขารักมากที่สุด!
เฉินเย่าจงเอ่ยพร้อมกับน้ำตาที่ไหลพราก จากนั้นก็คุกเข่าลงตรงหน้าเฉินไคชุน จับมือเขาขึ้นมาแล้วเอ่ยว่า “ท่านปู่ ท่านออกไปเองคนเดียวเถอะนะขอรับท่านปู่”
ริมฝีปากเฉินไคชุนสั่นเทา เขารู้สึกว่าคำพูดเหล่านี้ของเฉินเย่าจงโหดร้ายและเจ็บปวดกว่าที่จี้จือฮวนฟันเขาเมื่อครู่เสียอีก
เฉินเย่าจงจับมือของเฉินไคชุนเอาไว้แน่น ในใจก็รู้สึกร้อนรนเป็นอย่างมาก
ขอเพียงเฉินไคชุนยอมรับผิดเองทั้งหมด เช่นนั้นเขาก็ไม่ต้องออกจากหมู่บ้านแล้ว
เขาแก่แล้ว ไร้ประโยชน์แล้ว และยังไม่มีความสามารถอะไรด้วย การที่ครอบครัวจี้จือฮวนเหยียบย่ำเขาได้ครั้งแล้วครั้งเล่า ก็เป็นเพราะท่านปู่ทำงานไม่ได้เรื่องไม่ใช่หรือ?
ขอเพียงท่านปู่ไปแล้ว เรื่องทั้งหมดก็จะดีขึ้น
แต่เฉินเย่าจงไม่รู้ว่า การที่เขาขอร้องวิงวอนเฉินไคชุนเช่นนี้ กลับเป็นเรื่องที่ไม่สมควรที่สุด
เพราะต่อให้เฉินไคชุนจะทำผิดมากกว่านี้ จะทำเรื่องไม่ถูกต้องมากกว่านี้ แต่ทั้งหมดก็เพื่อเขา เฉินเย่าจง คนทั่วทั้งใต้หล้าอาจจะไล่เฉินไคชุนไปได้ แต่เฉินเย่าจงไม่ควรไล่ปู่ของตัวเองเช่นนี้
คนเช่นนี้ต่อให้สอบขุนนางได้ สอบจอหงวนได้ ภายภาคหน้าต่อให้เป็นขุนนางใหญ่เพียงใด ก็คงไม่มาสนใจไยดีพวกเขาแน่
เพราะแม้แต่ปู่ของเขาเอง เขายังไม่สนใจด้วยซ้ำ!
สายตาดูแคลนของชาวบ้านต่างมองไปที่เฉินเย่าจง แม้แต่เหล่าผู้อาวุโสของตระกูลที่เห็นเขาเติบโตขึ้นมาก็ยังรู้สึกปวดใจไม่น้อย
เฉินไคชุนสะกดกลั้นความเจ็บปวด ตบมือของเฉินเย่าจงเบา ๆ พร้อมร้องไห้ออกมา บนมือคู่นั้นของเขาเต็มไปด้วยตุ่มนูนที่เกิดจากการทำงานหนัก แต่มือคู่นั้นของเฉินเย่าจง กลับได้รับการทะนุถนอมยิ่งกว่ามือของหญิงสาวในหมู่บ้านเสียอีก
“ข้าจะออกไปเอง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพวกเย่าจง หากพวกเจ้าจะเอาชื่อออกจากวงศ์ตระกูล เอาแค่ชื่อข้าออกก็พอแล้ว”
เฉินไคชุนถูกจี้จือฮวนฟันขาได้บาดเจ็บไปข้างหนึ่ง ที่เหลืออีกข้างยังสามารถเคลื่อนไหวได้อยู่ หยวนซื่อก็อดที่จะสงสารสามีของตนไม่ได้ นางเอ่ยพร้อมกับร้องไห้ไปด้วย “จี้จือฮวน ตอนนี้เจ้าพอใจหรือยัง เจ้ารักษาคนเป็นไม่ใช่หรือ เจ้าใส่ยาให้เขาสักหน่อยไม่ได้หรืออย่างไร!”
จี้จือฮวนได้ยินดังนั้นก็รู้สึกว่าช่างน่าขัน ก่อนจะหัวเราะแล้วเอ่ยออกมา “อะไรทำให้เจ้าเข้าใจผิดแบบนั้น คิดว่าข้าใจดีมีเมตตาชอบช่วยเหลือคนอย่างนั้นหรือ เทียบกับการช่วยคนแล้ว ข้าชอบฆ่าคนมากกว่า”
วันนี้ครอบครัวเฉินแม้ไม่อยากไปก็ต้องไป เฉินเย่าจงลอบกัดอาฉือครั้งแล้วครั้งเล่า นางไม่มีทางปล่อยเขาไปอย่างแน่นอน
หากเมื่อก่อนพวกชาวบ้านได้ยินคำพูดนี้ คงคิดว่าจี้จือฮวนกำลังล้อเล่นอยู่เป็นแน่ แต่คืนนี้เมื่อได้เห็นฝีมือการต่อสู้ของนางแล้ว ทุกคนต่างก็รู้สึกเย็นวาบที่ลำคอขึ้นมา โชคดีที่เมื่อก่อนนางไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยกับพวกเขา ไม่อย่างนั้นมีสิบหัวก็คงไม่พอให้นางตัดเป็นแน่
หยวนซื่อเกือบจะร้องไห้ออกมาอีกรอบด้วยความโมโหเพราะคำพูดประโยคนี้ แต่นางจะทำอะไรได้ จี้จือฮวนมีสิทธิ์ที่จะอวดดี ใครจะทำอะไรนางได้ แต่ขืนพูดมากกว่านี้ไม่แน่อาจจะโดนตัดลิ้นไปด้วยก็เป็นได้
ผู้หญิงที่ไม่กลัวแม้แต่โจรขี่ม้า น่ากลัวเพียงใดกัน!