เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย - บทที่ 103 ตัดชื่อออกจากวงศ์ตระกูล! ทะเลาะกันเอง!
- Home
- เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย
- บทที่ 103 ตัดชื่อออกจากวงศ์ตระกูล! ทะเลาะกันเอง!
บทที่ 103 ตัดชื่อออกจากวงศ์ตระกูล! ทะเลาะกันเอง!
“สะใภ้ตระกูลเผย เจ้าเห็นเป็นเช่นไร?”
เนื่องจากความดีความชอบของจี้จือฮวนในคืนนี้ ตอนนี้แม้แต่เจิ้งหลี่เจิ้งก็ยังต้องถามความเห็นของนาง
“พวกเฉินเย่าจงไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ หรือไม่ก็ให้พวกเขาอยู่ต่อเถอะ”
จี้จือฮวนเงยหน้าขึ้นมองเหล่าผู้อาวุโสและเจิ้งหลี่เจิ้ง ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “อ้อ ครั้งนี้พวกเขาเรียกโจรขี่ม้ามา ครั้งหน้าถ้าเป็นโจรภูเขา พวกท่านคงไม่ได้หวังว่าข้าจะว่างมาช่วยพวกท่านอีกกระมัง”
คนเราใจดีได้แต่ต้องมีขอบเขต คำโกหกที่เหลวไหลเช่นนี้ก็เชื่ออย่างนั้นหรือ เฉินไคชุนมีสติปัญญาเพียงใดกัน เขาสามารถคิดแผนขึ้นมาได้ว่าต้องไปพูดจายุยงคนของหมู่บ้านตระกูลอวี๋ โดยใช้เรื่องของอวี๋ซิ่วเหลียนขึ้นมาอ้าง เพื่อลากสตรีทั้งหมู่บ้านตระกูลอวี๋ออกมาตราหน้าว่าเป็นสตรีที่ไม่ปฏิบัติตามศีลธรรมอันดีของสตรีได้จริง ๆ อย่างนั้นหรือ?
ท่าทีเช่นนี้ของจี้จือฮวน แสดงชัดแล้วว่าต้องการให้ไล่ครอบครัวเฉินทั้งครอบครัวออกจากหมู่บ้าน
ในเมื่อนางยืนกรานเช่นนี้ พวกหลี่เจิ้งจึงต้องไตร่ตรองกันใหม่
เฉินเย่าจงคิดไม่ถึงว่าจี้จือฮวนจะพูดเช่นนี้ เขาถลึงตาวาวโรจน์ใส่จี้จือฮวน “เจ้าหมายความว่าอย่างไรกัน?”
“ก็หมายความตามที่พูด ฟังไม่รู้เรื่องหรืออย่างไร? ข้ายอมฆ่าคนผิด ดีกว่าปล่อยผู้ต้องสงสัยไป ครอบครัวเดียวกันไม่มีแบ่งแยก ปู่เจ้าจะไปทำเรื่องอะไรเจ้าจะไม่รู้เลยอย่างนั้นหรือ?”
ไม่รอให้จี้จือฮวนเอ่ยปาก เผยจี้ฉือก็ถามกลับเสียงเย็น
น้ำเสียงของเด็กชายนั้นเย็นชา ทว่าทุกคำที่เขาพูดออกมาล้วนเตือนสติชาวบ้านทุกคนในที่แห่งนี้ได้เป็นอย่างดี ว่าหายนะที่ไร้เหตุผลเช่นนี้เกี่ยวข้องกับครอบครัวเฉิน
เฉินเย่าจงรู้สึกประหลาดใจ ก็เมื่อครู่เผยจี้ฉือเป็นบอกเขาเองไม่ใช่หรือว่าให้ทิ้งเฉินไคชุน เหตุใดตอนนี้ถึงได้พูดเช่นนี้ออกมาเล่า?
เผยจี้ฉือมองหน้าเฉินเย่าจงพลางยกยิ้มขึ้นมา “ยิ่งไปกว่านั้น เพื่อตัวเองแล้ว แม้แต่ปู่แท้ ๆ เฉินเย่าจงก็สามารถใส่ร้ายได้ คนนิสัยเช่นนี้จะพึ่งพาได้อย่างนั้นหรือ?”
เฉินเย่าจงราวกับถูกสายฟ้าฟาด!
ที่แท้เจ้าเด็กคนนี้ตั้งใจชี้นำเขา และรอจะจัดการเขาอยู่!
เฉินเย่าจงมองไปที่ชาวบ้านด้วยท่าทางตื่นตระหนก สีหน้าของแต่ละคนล้วนแฝงไปด้วยความรังเกียจและขยะแขยง
สิ่งนี้ไม่เคยมีมาก่อน
ตั้งแต่เด็กจนโตเฉินเย่าจงไม่เคยได้รับความอัปยศเช่นนี้มาก่อน เขาชี้หน้าของเผยจี้ฉือและเอ่ยขึ้นมาทันที “เป็นเจ้า! เป็นเจ้าที่บอกให้ข้าทิ้งท่านปู่ แต่ตอนนี้กลับมาใส่ร้ายข้า!”
เผยจี้ฉือยักไหล่ “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไรกัน เป็นเจ้าเองไม่ใช่หรือที่ไล่ให้ปู่ของเจ้าไป ข้าให้เจ้าทำเรื่องเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน อีกอย่างข้าพูดอะไรคนอย่างเจ้าจะฟังจริงหรือ เจ้าเป็นคนที่ดูถูกครอบครัวของเรามากที่สุดไม่ใช่หรือ”
แผนการนี้ของเผยจี้ฉือ จี้จือฮวนรับรู้มาโดยตลอด แต่กลับไม่ได้เปิดโปง หากคนไม่มาหาเรื่องเรา เราก็ไม่หาเรื่องใคร แต่หากมีคนมาหาเรื่อง เราก็ต้องกำจัดให้สิ้นซาก
ภายภาคหน้าต้องมีช่วงเวลาที่นางไม่ได้อยู่เคียงข้างพวกเขา เป็นเช่นนี้ก็ดีแล้ว พวกเขาจะได้ไม่ถูกคนอื่นรังแก
คนในหมู่บ้านก็ทนฟังต่อไม่ไหวอีก
“ใช่ ตนเองเป็นคนอกตัญญูเองแท้ ๆ ลืมไปแล้วหรือว่าใครที่ดีกับเจ้ามากที่สุด ทว่าพอเกิดเรื่องก็ผลักปู่แท้ ๆ ของตัวเองออกทันที ยังจะมีหน้าไปโทษคนอื่นอีกอย่างนั้นหรือ?”
“คนเช่นนี้ไม่มีทางรู้จักบุญคุณคน คงรู้จักแค่โยนความผิดให้คนอื่นเพื่อเอาตัวรอดเป็นแน่”
“จิ๊ จิ๊ จิ๊ แบบนี้ยังจะบอกว่าตัวเองเป็นบัณฑิตอีกหรือ?”
เฉินเย่าจงดวงตาแดงก่ำ ยากที่จะยอมรับ
“หุบปาก! พวกเจ้าหุบปากให้หมด ข้าไม่ได้เป็นคนเช่นนั้น ข้า…ข้าจะต้องสอบจอหงวน พวกเจ้าทำเช่นนี้กับข้าได้อย่างไร!”
“เจ้าจะสอบจอหงวนก็เรื่องของเจ้า แต่ตอนนี้รีบไสหัวไปซะ!”
“ไสหัวไป ไสหัวออกจากหมู่บ้านตระกูลเฉินของเราไป เจ้าคนหน้าไม่อาย”
“เกือบทำให้คนทั้งหมู่บ้านของพวกเราต้องตาย ไม่ว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับพวกเจ้าด้วยหรือไม่ ก็ต้องไสหัวไปซะ!”
คนของหมู่บ้านตระกูลเฉินยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห จึงมีคนหยิบก้อนหินแล้วขว้างปาใส่พวกเฉินเย่าจงด้วย
หวังกุ้ยฟางคนเดียวจะด่าสู้คนมากมายเช่นนี้ได้อย่างนั้นหรือ?
เหล่าผู้อาวุโสเมื่อเห็นชาวบ้านตัดสินเป็นเอกฉันท์ให้ไล่ครอบครัวของเฉินไคชุนทั้งหมด พวกเขาก็ตัดสินใจได้แล้วเช่นกัน เขาหยิบพู่กันขึ้นมา และขีดฆ่าชื่อครอบครัวของเฉินไคชุนออกจากหนังสือลำดับวงศ์ตระกูลทันที
ต่อจากนี้พวกเฉินไคชุนก็จะไม่มีรากเหง้าใด ๆ อีก อยากจะไปไหนก็ไป!
เฉินเย่าจงคุกเข่าลงกับพื้นด้วยความตกตะลึง จบแล้ว…ทุกสิ่งจบสิ้นแล้ว เขาควรจะไปทางไหนดี ควรทำเช่นไรต่อดี
ในเมื่อไม่ใช่คนของตระกูลเฉินแล้ว หลังจากที่เหล่าผู้อาวุโสให้ผู้ชายในหมู่บ้านสี่ห้าคนเฝ้าพวกโจรขี่ม้าเอาไว้ และให้คนอื่น ๆ แยกย้ายกันกลับไปพักผ่อนแล้ว ก็ให้เฉินซานกับพวกผู้ชายที่มีไหวพริบอีกสามสี่คนคอยจับตาดูพวกเฉินเย่าจงตอนเก็บของ และพรุ่งนี้ก็ให้ออกจากหมู่บ้านแต่เช้า
ส่วนที่นานั่นก็จะตกเป็นของหมู่บ้าน ถึงเวลาค่อยยกให้เฉินฉือเป็นคนแบ่ง
หวังกุ้ยฟางกับหยวนซื่อร้องไห้จนน้ำตาแทบจะเป็นสายเลือด
แก่ปูนนี้แล้วต้องมาถูกคนไล่ออกจากหมู่บ้าน จากนี้จะไปอยู่ที่ใด นอนที่ไหน นี่ไม่เท่ากับฆ่ากันทางอ้อมหรอกหรือ!
น่าเสียดายที่ครั้งนี้ไม่ว่าพวกนางจะทำอย่างไร ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้อีก
เฉินไคชุนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยขึ้นมา “หมู่บ้านเราฝั่งที่ใกล้กับหมู่บ้านตระกูลอวี๋มีถ้ำเก่า ๆ อยู่ถ้ำหนึ่งไม่ใช่หรือ ไปอาศัยอยู่ที่นั่นกันสักระยะเถอะ แล้วให้ทุกคนเอาเงินมารวมกันดูว่าพอจะสามารถซื้อบ้านได้หรือไม่?”
หวังกุ้ยฟางเมื่อได้ยินก็กระแอมเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้นมา “เป็นเช่นนี้แล้วยังจะซื้อบ้านอะไรกันอีก ข้าว่าไม่สู้ให้เย่าจงกลับไปอยู่บ้านแม่ของข้าจะดีกว่า เขาเป็นบัณฑิต หมู่บ้านของเราต้องต้อนรับเขาแน่นอน”
ขอเพียงเฉินเย่าจงยังอยู่ ในบ้านก็มีความหวัง
ลูกชายคนโตของครอบครัวเฉินไม่มีความคิดเห็นใด ๆ อย่างไรซะเขาก็ต้องฟังหวังกุ้ยฟางอยู่แล้ว
หยวนซื่อได้ยินดังนั้น ก็เบิกตากว้างแล้วเอ่ยเสียงแหลม “เอาซี้ เจ้าอยากแยกบ้านอย่างนั้นหรือ เจ้ามีสิทธิ์อะไรเอาเย่าจงไป จะไปเจ้าก็ไปคนเดียว!”
คนทั้งครอบครัวลำบากมาครึ่งค่อนชีวิตเพื่อบัณฑิตหนึ่งคน แล้วจู่ ๆ จะมาเอาเฉินเย่าจงไปง่าย ๆ ได้อย่างไรกัน
หวังกุ้ยฟางตอนนี้ก็ไม่เกรงใจหยวนซื่อแล้วเช่นกัน
“แล้วจะเอาอย่างไร เย่าจงต้องอ่านหนังสือ ถ้ำนั่นใช่ที่ที่คนจะไปอาศัยอยู่อย่างนั้นหรือ ถ้าไม่ใช่เพราะท่านพ่อไปพูดจาเหลวไหลกับคนของหมู่บ้านตระกูลอวี๋ พวกเราจะเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?”
เฉินหลันหลันเองก็ร้องไห้โฮขึ้นมา “แล้วข้าจะทำอย่างไร ครานี้ใครจะมาแต่งงานกับข้าอีก”
“ไม่ควรเป็นศัตรูกับครอบครัวเผยตั้งแต่แรกแล้ว” สะใภ้รองเอ่ยออกมา
คนทั้งครอบครัวต่างก็นิ่งงัน
ใช่แล้ว เหตุใดพวกเขาต้องคิดสั้นไปมีเรื่องกับครอบครัวเผยด้วย อย่างไรเสียพวกเขาก็ไม่ได้แซ่เฉินอยู่แล้ว
มาคิดได้ตอนนี้ ก็สายไปเสียแล้ว!!!
ทว่าไม่มีใครเลยสักคนที่เป็นห่วงแผลของเฉินไคชุน ทุกคนต่างก็กอดเงินส่วนตัวของตัวเองไว้ เตรียมแยกบ้านได้ตลอดเวลา ไหนเลยจะยอมเอาเงินไปรักษาเฉินไคชุน
…
อีกด้านหนึ่ง จี้จือฮวนพาเด็กทั้งสองคนและท่านป้ากลับมาบ้านอย่างรวดเร็ว
ชาวบ้านคนอื่นอาจไม่รู้ แต่พวกเขาต่างรู้กันดี ก่อนงานเลี้ยงเผยยวนยังนอนนิ่ง ร่างกายไม่ตอบสนองใด ๆ เหมือนทุกวัน
ทว่าเหตุใดครั้งนี้จู่ ๆ ถึงฟื้นขึ้นมาได้ อีกทั้งจี้จือฮวนก็จำได้ว่าเส้นเอ็นของเผยยวนขาดหมดแล้ว แต่เมื่อครู่มือและเท้าของเขาคล่องแคล่วราวกับไม่เป็นอะไรเลย
อาชิงนั่งรออยู่บนเตียง
เมื่อได้ยินเสียงก็ปีนลงจากเตียงทันที “ท่านแม่!”
จี้จือฮวนอ้าแขนรับอาชิงน้อยเอาไว้ทันที ก่อนจะยัดเขาใส่อ้อมแขนของท่านป้า “พวกเจ้ารอข้าอยู่ด้านนอก คืนนี้รบกวนท่านป้าช่วยดูเด็กทั้งสามคนด้วยนะเจ้าคะ”
ท่าทางของเผยยวนเมื่อครู่ มีโอกาสสูงที่จะเกิดขึ้นอีก เด็ก ๆ อยู่ด้วยอันตรายเกินไป
ท่านป้ารู้สึกกังวล “เจ้าคนเดียวจะไหวหรือ?”
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ”
จี้จือฮวนยืนอยู่ตรงประตูห้อง สายตากลับสงบนิ่งเป็นอย่างมาก นางมองไปทางอาฉือ “สามารถดูแลน้อง ๆ ดูแลท่านป้าและตัวเองได้หรือไม่?”
เผยจี้ฉือพยักหน้ารับอย่างหนักแน่น “ข้าทำได้ขอรับ”
“เช่นนั้นก็ดี ข้ารับปากเจ้า ขอเพียงมีข้าอยู่ พ่อของเจ้าต้องปลอดภัยอย่างแน่นอน”
หากสถานการณ์เลวร้ายสุด คงไม่ต่างอะไรกับตอนที่นางเพิ่งมาถึงที่นี่มากนักกระมัง
หลังจากปิดประตู จี้จือฮวนก็หยิบกล่องยาน้อยออกมาจากในช่องว่างมิติ และเดินเข้าไปหาเผยยวน
ขั้นแรกนางใช้ไฟฉายทางการแพทย์ตรวจสอบรูม่านตาของเผยยวน ก่อนจะพบว่าเขาตกอยู่ในภาวะสลบลึก จากนั้นจึงตรวจสอบการเต้นของหัวใจและตำแหน่งอื่น ๆ สุดท้ายก็คือเส้นเอ็นที่ควรจะขาดไปแล้วของเขา
ต่อกันหมดแล้วอย่างนั้นหรือ??!
“วาดชีวิต ลิขิตชะตา #เกิดใหม่ครั้งหน้า ขอข้าเป็นนางเอก” เป็นนิยายที่ผู้ติดตามตำหนักหมื่นบุปผาถามหากันเยอะมากจนฝ่ายผลิตทำงานไม่ทันต้องสั่งปิดเรื่องไปก่อน มาเวลานี้ด้วยฤกษ์งามยามสะดวก(อันที่จริงคือกำลังการผลิตกลับมา) ตำหนักหมื่นบุปผาจึงขอเปิดตัวแม่นางผู้นี้อีกครั้ง!
“ใบรายชื่อดวงชะตาระบุว่า หากนางอยากหลุดพ้นจากชะตาน่าอนาถก็ต้องหาวิธีคว้าเอาโชคลาภจากผู้ที่มีนามปรากฏอยู่ จากนั้นพันธุ์ไม้ในกระถางวิเศษจะงอกเงย ไม้ต้นนี้เป็นดัชนีชี้วัดโชค ยิ่งต้นไม้งามเท่าไหร่ชะตาก็เปลี่ยนไปมากเท่านั้น
ทว่าเหมือนสวรรค์ชอบเล่นสนุก เพราะรายชื่อลำดับแรกสุดที่ระบุไว้บนใบรายชื่อนี้ก็คือ —— เยี่ยนอ๋อง!เชื้อพระวงศ์โฉดโหดเหี้ยมอำมหิต เป็นที่หวาดกลัวของคนทั่วเมืองหลวง และสิ่งที่เขาไม่ชอบที่สุดคืออิสตรี . หึ! อ๋องโฉดหรือ? …ข้าแต่ง!
.
.
เขาผุดลุกขึ้น มือเรียวยังไม่ลืมคว้าไหเหล้าใบน้อยติดกายไปด้วย คนผู้นั้นก้าวเดินตามความเย้ายวนที่ติดตรึงอยู่กับปลายจมูกประหนึ่งกลิ่นนั้นเป็นเชือกล่องหนที่ฉุดรั้งให้เขาต้องก้าวตาม
เมื่อผู้ติดตามเห็นท่าทางประหลาดของเจ้านายตน คำว่า ‘ฉิบหาย’ ก็แจ่มชัดขึ้นในใจ”