เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย - บทที่ 124 คนจากจวนจี้กั๋วกงมาแล้ว
- Home
- เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย
- บทที่ 124 คนจากจวนจี้กั๋วกงมาแล้ว
บทที่ 124 คนจากจวนจี้กั๋วกงมาแล้ว
หลังจากชาวบ้านต่างพากันตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ตอนนี้ก็เริ่มทำงานกันแล้ว
ตอนนี้ห้องใหญ่ถูกแบ่งออกเป็นสามส่วน ตรงกลางเป็นห้องโถง ฝั่งซ้ายและฝั่งขวาเป็นห้องของเผยยวนและจี้จือฮวน ท่านป้าและอาอินต่างก็มีห้องของตัวเอง อยู่ติด ๆ กับห้องของพวกอาฉือ
จี้จือฮวนอธิบายกับคนนอกว่า ร่างกายของเผยยวนต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ ดังนั้นจึงต้องแยกห้องนอนกัน
ทุกคนไม่ได้สนใจอะไรมากนัก หลังจากวันนั้นที่เผยจื่อได้ใช้พลังไปมาก ร่างกายก็ยังไม่ฟื้นตัวขึ้นมาอีกเลย ไม่สมควรให้เขาพักผ่อนมาก ๆ หรอกหรือ?
พวกผู้ชายช่วยกันจัดเครื่องเรือนให้เข้าที่และประกอบให้เสร็จสรรพ
ส่วนพวกผู้หญิงก็ช่วยกันทำความสะอาดและแปะกระดาษหน้าต่างกับประตู ส่วนของขวัญที่หย่งหนิงมอบให้ก่อนหน้านี้พวกนั้นก็ได้นำออกมาใช้แล้ว
ทั้งภายในและภายนอกถูกทำความสะอาดจนเกลี้ยง แม้แต่ไก่และเป็ดที่หน้าประตูบ้านก็มีดอกไม้สีแดงเล็ก ๆ ห้อยคอด้วย แค่เห็นก็รื่นเริงแล้ว
สิ่งที่จี้จือฮวนพึงพอใจที่สุดคือห้องครัว ซึ่งแบ่งออกเป็นพื้นที่ทำงานและพื้นที่ใช้สอยประจำวัน ทั้งสะอาดและสว่าง ดีกว่าของเดิมเยอะมาก
พวกชาวบ้านไม่อยากจะเชื่อว่าจากบ้านที่ทรุดโทรมบนเนินเขา ตอนนี้จะกลายเป็นสถานที่ที่ดีที่สุดในหมู่บ้าน
ราวกับว่าตอนนี้ที่นี่กลายเป็นสุดยอดทำเลทองก็มิปาน
ถ้าไม่ใช่เพราะไม่มีพื้นที่เหลือแล้ว พวกเขาก็อยากจะย้ายมาอยู่เป็นเพื่อนบ้านกับนางจริง ๆ
เถาองุ่นที่รดด้วยยาหลิงเฉวียนในลานบ้านก็เติบโตเร็วจนน่ายินดี ในสายตาของคนหมู่บ้านตระกูลเฉิน นี่ถือเป็นเรื่องน่ายินดีของครอบครัวฮวนฮวนอีกหนึ่งเรื่อง
ตอนที่ไป๋จิ่นมาหาอาชิง ก็ถูกพวกท่านป้าในหมู่บ้านเรียกตัวเอาไว้
จี้จือฮวนเพิ่งจะออกมาจากห้องใหม่ของตัวเอง ก็เห็นไป๋จิ่นที่น่าสงสารและอ่อนแอถูกพวกท่านป้าล้อมหน้าล้อมหลัง พลางถามนู่นถามนี่ไม่หยุด
“เอ๊ะ บ้านเจ้าอยู่ไกลเพียงนั้น แล้วเจ้ามาที่นี่ทำไมกัน?”
“ข้ามาเพื่อค้นหาเส้นทางของตัวเองน่ะสิ” ไป๋จิ่นยืดอกขึ้น วิชาพิษนั้นหากเอาแต่ศึกษาเองก็จะไม่พัฒนา มีเพียงการเดินทางไปยังที่ต่าง ๆ ค้นหาพิษไปทั่วทั้งใต้หล้าและค่อย ๆ ศึกษาเรียนรู้ จึงจะสามารถค้นพบตัวตนที่ร้ายกาจที่สุดของตัวเองเจอ
พวกท่านป้ามองหน้าเขา ก่อนจะกระซิบกระซาบพลางทำสีหน้าสงสาร
“เส้นทางอันใดกัน หัวหน้าหมู่บ้านบอกว่าเขาต้องถูกที่บ้านไล่ออกมาเป็นแน่”
“ก็ใช่น่ะสิ โตป่านนี้แล้ว ลูกเมียก็ยังไม่มี”
“น่าสงสารจริง ๆ แถมยังจนอีกต่างหาก ผู้หญิงที่ไหนจะมาชอบเขากัน”
“หน้าตาก็พอใช้ได้ เพียงแต่หน้าขาว ๆ นั่นจะไปมีประโยชน์อะไร ทำนาไม่เป็นจะมีอนาคตที่ดีได้อย่างไร”
ไป๋จิ่นที่ถูกนินทาต่อหน้าก็ได้แต่คิดในใจว่า …ทำลายไปเลยดีกว่าหมู่บ้านตระกูลเฉินนี่
“ไม่ทราบว่า จี้จือฮวนหรือแม่นางจี้อยู่ที่นี่หรือไม่?”
ทุกคนต่างมองไปที่หน้าประตู ฮวาเซียงเซียงจึงเอ่ยขึ้นมาพร้อมรอยยิ้ม “เมื่อครู่ข้าไปดูในหมู่บ้านมาแต่ไม่เจอใครเลย เห็นที่นี่คึกคักจึงขึ้นมาถามเจ้าค่ะ”
“อยู่จ้ะ ๆ ฮวนฮวนอยู่ด้านใน เชิญด้านในเลย” พวกท่านป้ารีบปล่อยไป๋จิ่นไปทันที และหันไปต้อนรับฮวาเซียงเซียงแทน
“ฮวนฮวน มีแขกมาหาเจ้า!”
จี้จือฮวนเมื่อเห็นฮวาเซียงเซียง นางยังไม่ทันได้ถามว่าเหตุใดถึงมาที่นี่ ฮวาเซียงเซียงก็ตาโตขึ้นมาทันที ก่อนจะจับจี้จือฮวนหมุนตัวไปมาอยู่สามสี่รอบ
จากนั้นก็ถอยหลังไปสองก้าว ในดวงตาคู่นั้นราวกับสามารถเปล่งแสงออกมาได้
“น้องสาว น้องสาวคนดีของข้า เจ้าช่างงดงามจริง ๆ ข้าบอกแล้วว่าหน้าของเจ้าหากไม่มีรอยนั่นอยู่ต้องสวยมากแน่ ๆ”
พวกผู้หญิงในหมู่บ้านได้ยินดังนั้น ก็รู้สึกภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก “ใช่แล้ว ฮวนฮวนของเราสวยมาตั้งแต่เกิด”
“ใช่แล้ว ๆ”
มุมปากของจี้จือฮวนกระตุกขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยถามฮวาเซียงเซียง “เหตุใดวันนี้เจ้าถึงมาที่นี่ได้ ตรงนี้ยุ่งวุ่นวายไปหมด ข้าจะพาเจ้าไปเดินดูด้านล่างดีกว่า”
ที่ฮวาเซียงเซียงมาหานางในวันนี้เพราะมีเรื่องสำคัญจริง ๆ
ทั้งสองคนเดินออกจากเรือนลงไปในหมู่บ้าน ฮวาเซียงเซียงมองบ้านของจี้จือฮวนจากระยะไกล แล้วก็คิดในใจว่าดีกว่าอยู่ในตัวตำบลเสียอีก สภาพแวดล้อมเงียบสงบ สะอาดและเป็นระเบียบ มีพร้อมทุกอย่าง
“ความจริงแล้วที่ข้ามาหาเจ้าในวันนี้ เพราะมีคนมาจากเมืองหลวงบอกว่าอยากพบเจ้า”
จี้จือฮวนขมวดคิ้ว “ผู้ใด?”
“พวกเขาบอกว่ามาจากจวนจี้กั๋วกง และได้ยินว่าภัตตาคารของเราทำอาหารอร่อย จึงอยากจะให้ภัตตาคารของเราส่งพ่อครัวสองสามคนไปที่เมืองหลวง เพื่อทำอาหารในงานเลี้ยงวันเกิดของท่านกั๋วกง”
“ไม่ไป” จี้จือฮวนปฏิเสธโดยไม่ลังเล
ฮวาเซียงเซียงเองก็ไม่ได้โกรธ “ข้าคิดเอาไว้อยู่แล้วว่าเจ้าต้องไม่ไป แต่ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ต้องมาถามเจ้าก่อน”
หากจี้จือฮวนอยากหาเงิน แค่ไปภัตตาคารใหญ่ ๆ สักแห่งในเมืองหลวงจะไม่หาเงินได้มากกว่าตอนนี้หรอกหรือ?
“ต่อไปหากมีคนเช่นนี้มาอีก ไม่ต้องมาถามข้า เจ้าแค่ปฏิเสธไปก็พอ”
ฮวาเซียงเซียงพยักหน้ารับคำ “แต่ข้ากลัวว่าจะไปล่วงเกินพวกเขาเข้า เจ้าก็รู้ว่าคนค้าขายอย่างพวกเรากลัวการต้องเจอขุนนางที่สุด”
“หากพวกเขาทำให้เจ้าลำบากใจ เจ้าก็แค่ตอบตกลงไปก่อน จากนั้นก็ให้พวกเขามาหาข้าด้วยตัวเอง”
ฮวาเซียงเซียงไม่ทันสังเกตเห็นจิตสังหารที่แวบผ่านแววตาของจี้จือฮวน
“ทำเช่นนั้นไม่ได้หรอก ข้าทำการค้าร่วมกับเจ้า จะผลักปัญหาทุกอย่างมาให้เจ้าได้อย่างไรกัน การเจรจากับคนพวกนั้นให้ข้าจัดการเองดีกว่า”
ฮวาเซียงเซียงเมื่อคิดถึงตรงนี้ก็อดที่จะบ่นออกมาไม่ได้ “จวนจี้กั๋วกงนั่นข้าไม่เห็นจะเคยได้ยินมาก่อน คนที่มาเป็นแม่นมชราผู้หนึ่ง แต่ทำราวกับเป็นคนสูงส่งเสียเต็มประดา พอเข้าประตูร้านมาก็ติโน่นตินี่ไม่หยุด
บอกว่าร้านของเราคงไม่มีพ่อครัวฝีมือดี แต่พอกินอาหารเสร็จจึงได้รู้ว่าอร่อยก็รีบวางท่า ราวกับจะบอกว่าการที่พวกเราได้ไปเมืองหลวงถือเป็นการให้เกียรติพวกเราหนักหนาแล้วอย่างนั้นแหละ ข้ายังกลัวว่าเจ้าจะรับปาก ถึงเวลาจะต้องโมโหเพราะนางเสียอีก”
จี้จือฮวนไม่ได้มีความประทับใจอะไรต่อจวนจี้กั๋วกงอยู่แล้ว แต่ในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม จวนจี้กั๋วกงจะมีแม่นมที่คอยดูแลจัดการทุกอย่างอยู่คนหนึ่งจริง ๆ และยังเคยรังแกเจ้าของร่างเดิมอยู่หลายครั้ง
ในฤดูหนาวก็ไม่ให้เจ้าของร่างเดิมใช้น้ำร้อน และไม่ให้คนเอาถ่านไปส่งให้เจ้าของร่างเดิม จนเกือบทำให้เจ้าของร่างเดิมแข็งตายอยู่หลายครั้ง
เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ อื่น ๆ ยังมีอีกนับไม่ถ้วน แน่นอนว่าเบื้องหลังเรื่องเหล่านี้จะขาดคนออกคำสั่งอย่างนางเอกของเรื่อง ‘จี้หมิงซู’ ไปได้อย่างไร
จี้จือฮวนหรี่ตาลง “แม่นมที่มาจากจวนจี้กั๋วกงผู้นั้น แซ่ฟางใช่หรือไม่?”
“ใช่แล้ว เจ้ารู้ได้อย่างไรกัน?” ฮวาเซียงเซียงถามด้วยความประหลาดใจ
จี้จือฮวนไม่ได้อธิบายอะไร “ตอนนี้นางอยู่ที่ใด?”
“คงไปพักโรงเตี๊ยมแล้วกระมัง”
“ข้ารู้แล้ว”
ฮวาเซียงเซียงไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ถึงรู้สึกว่าคำพูดของน้องสาวนางในวันนี้ทำให้คนรู้สึกเย็นยะเยือกขึ้นมา
แต่ว่าจี้จือฮวนสวยเพียงนี้ ต้องเป็นนางที่เข้าใจผิดไปเองเป็นแน่!
“ฟันด้านหลังให้หมดเลยนะ” จู่ ๆ เสียงของเฉินฉือก็ดังขึ้นมาจากจุดที่ห่างไปไม่ไกลนัก จี้จือฮวนกับฮวาเซียงเซียงจึงสามารถมองเห็นเขาได้พอดี เขาและคนอีกสองคนกำลังตัดกระบองเพชรกันอยู่
“ท่านลุงเฉิน”
“ฮวนฮวนหรือ พวกเจ้าทำบ้านกันเสร็จหรือยังล่ะ?” เฉินฉือถามพร้อมรอยยิ้ม
“กำลังช่วยกันทำอยู่เจ้าค่ะ ไม่นานก็คงจะเสร็จแล้ว ท่านกำลังทำอะไรกันอยู่หรือเจ้าคะ?”
เฉินฉือเอ่ย “อ่อ เจ้าพวกนี้โตเกินไปแล้ว จึงกีดขวางเส้นทางที่จะไปภูเขาทางทิศตะวันออก มิหนำซ้ำพวกมันยังมีหนามอีกด้วย หากโดนเข้าล่ะก็ เจ็บไม่น้อยเลย วันนี้มีโอกาสจึงให้คนมากำจัดทิ้งซะ”
จี้จือฮวนเห็นกระบองเพชรที่ถูกตัดจำนวนมากกองอยู่ข้าง ๆ ทันใดนั้นดวงตาของนางก็เป็นประกายพร้อมกับเอ่ยขึ้นมา “พวกนี้คงไม่ใช้แล้วกระมัง? เช่นนั้นข้าขอขูดไปหน่อยนะเจ้าคะ”
“ใครจะเอากันเล่า กินก็ไม่ได้ เจ้าจะขูดไปทำอะไรหรือ?” เฉินฉือนึกแปลกใจขึ้นมา
จี้จือฮวนลงไปนั่งยอง ๆ ก่อนจะหยิบกระบองเพชรขึ้นมาหนึ่งชิ้น “สีขาว ๆ ที่เกาะอยู่บนผิวนี่คือแมลงกระบองเพชร ข้าจะเอาไปทำสีชาดทาปาก”
“อะไรนะ แมลงสามารถเอาไปทำสีชาดได้ด้วยอย่างนั้นหรือ?”
ในยุคปัจจุบันมีแบรนด์ดังอยู่แบรนด์หนึ่ง ที่ใช้แมลงชนิดนี้เป็นส่วนประกอบหลัก ทั้งยังมีราคาแพงอีกด้วย
จี้จือฮวนพยักหน้ารับ “ใช่แล้วเจ้าค่ะ ทำเสร็จแล้วข้าจะเอาไปให้ท่านดู”
“ได้เลย”
หลังจากจี้จือฮวนเก็บแมลงกระบองเพชรเสร็จแล้ว จึงได้เอ่ยกับฮวาเซียงเซียง “ในเมื่อมาแล้ว วันนี้ก็อยู่กินข้าวด้วยกันก่อนเถอะ?”
ฮวาเซียงเซียงไม่ได้กินอาหารที่จี้จือฮวนทำเองกับมือมานานแล้ว “ดีเลย ข้าจะไปช่วยเจ้าด้วย”
เมื่อกลับมาถึงบ้าน จี้จือฮวนก็นำแมลงกระบองเพชรใส่ลงในตะแกรงไม้ไผ่ที่เผยยวนเป็นคนทำ โดยมีถุงผ้าบาง ๆ รองเอาไว้ก่อนนำไปอบ จากนั้นจึงได้ไปทำอาหารในห้องครัวต่อ