เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย - บทที่ 143 มีข้าคอยหนุนหลังพวกเจ้า
- Home
- เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย
- บทที่ 143 มีข้าคอยหนุนหลังพวกเจ้า
บทที่ 143 มีข้าคอยหนุนหลังพวกเจ้า
ไท่ซ่างหวงไม่เชื่อหรอกว่าคุณชายที่มาจากตระกูลที่ร่ำรวยและสูงศักดิ์จะมาพักฟื้นอยู่ที่หมู่บ้านตระกูลเฉิน
ริมฝีปากของเผยยวนปรากฏรอยยิ้มหยันขึ้นมาเล็กน้อย “กำลังตรวจสอบอยู่พ่ะย่ะค่ะ แต่เรื่องนี้ต้องเกี่ยวข้องกับท่านแม่ของข้าเป็นแน่ และแน่นอนว่าจะต้องได้รับความเห็นชอบจากฮ่องเต้ด้วยเช่นกัน บัดนี้ทหารเกราะเหล็กของข้าล้วนถูกคนอื่นกลืนกินไปหมดแล้ว ส่วนคนสนิทของข้าก็กำลังตามหาพวกเขาอยู่”
ไท่ซ่างหวงถลึงตาใส่เขา “เอาไป”
เขาหยิบป้ายเหล็กชิ้นหนึ่งออกจากแขนเสื้อและโยนให้ เผยยวนยื่นมือออกไปรับและเอ่ยด้วยความประหลาดใจ “ตราพยัคฆ์กองทหารองครักษ์เซินเช่อ?”
นี่คือสิ่งที่ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันอยากได้มานาน แต่ก็ยังไม่สามารถครอบครองได้
แต่ไท่ซ่างหวงกลับยกให้เขาง่าย ๆ เช่นนี้อย่างนั้นหรือ?
“ทหารเกราะเหล็กรวมกับกองทหารองครักษ์เซินเช่อเพียงพอหรือไม่? หากไม่พอข้ายังมีอีก” ไท่ซ่างหวงล้วงเข้าไปในแขนเสื้ออีกครั้ง
“เอ้า องครักษ์พิทักษ์มังกรของราชวงศ์ หน่วยสืบราชการลับ ยังมีเหมืองทองอีกสองแห่ง มีเหมืองเหล็กสามแห่งอยู่ที่เจียงหนาน และข้ายังจะยกเมืองชายฝั่งอีกสามแห่งให้เจ้าด้วย ขออย่างเดียว เจ้าต้องปกป้องอาฉือให้ดี”
น้ำเสียงของไท่ซ่างหวงเรียบนิ่งเป็นอย่างมาก ทว่าของที่นำออกมานั้นทำให้เผยยวนถึงกับพูดไม่ออกจริง ๆ
เมืองชายฝั่งทั้งสามแห่งนั้นถือเป็นแหล่งเงินครึ่งหนึ่งของต้าจิ้น เทียบเท่ากับการแบ่งเงินในท้องพระคลังครึ่งหนึ่งมาเข้ากระเป๋าเขา
“ท่านไม่กลัวว่าข้าได้ของไปแล้วจะก่อกบฏหรือ?”
ไท่ซ่างหวงหยิบเมล็ดแตงโมที่เหล่าท่านป้าเอาให้เมื่อครู่ออกมา “หากเจ้าเป็นคนเช่นนั้น เจ้าจะช่วยอาฉือของพวกเราไปทำไมกัน นี่ไม่เท่ากับผายลมหรอกหรือ? เจ้าคิดว่าข้าจะดูไม่ออกหรืออย่างไร? ต่อให้ก่อกบฏ สุดท้ายแล้วเจ้าก็จะยกให้อาฉือของเราอยู่ดี เช่นนั้นเจ้าก็พาข้าไปก่อกบฏด้วยเลยก็แล้วกัน อันที่จริงใครเป็นกบฏนั้นก็ยังไม่แน่”
เผยยวนถูกเขาเอ่ยชมจนรู้สึกขัดเขินขึ้นมาเล็กน้อย
“ทำไม? น้อยไปหรือ? เท่านี้ยังไม่เพียงพอให้เจ้ากลับมายืนหยัดอย่างยิ่งใหญ่อีกอย่างนั้นหรือ?”
เผยยวนเอาของย้ายไปทางอาฉือ “ใต้หล้าเป็นของท่าน ท่านจะยกให้ใครก็เป็นเรื่องของท่าน แต่คนที่สมควรได้รับไม่ใช่ข้า”
ไท่ซ่างหวงพยักหน้าด้วยความพอใจ “เจ้าเด็กคนนี้ ตอนแรกที่พ่อเจ้าแต่งกับแม่เจ้าข้าคิดว่าไม่เหมาะสม แต่เมื่อพวกเขามีเจ้าขึ้นมา ข้ากลับชอบเจ้าตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น นับว่าข้ามองคนไม่ผิดจริง ๆ ในเมื่อของสิ่งนี้ข้ายกให้แล้วก็ไม่คิดจะเอาคืนอีก และข้าก็ยังมีเงินส่วนตัวอยู่”
ไท่ซ่างหวงมองดูบ้านหลังนี้ ก่อนจะทอดถอนใจออกมา “ตอนนี้พวกเจ้ายังไม่อยากกลับเมืองหลวง เช่นนั้นก็ไม่ต้องกลับ ให้พวกบ้านั่นดิ้นรนกันไปก่อน อย่างไรซะหากข้ายังไม่ตอบตกลง ตำแหน่งองค์รัชทายาทใครก็เป็นไม่ได้ทั้งนั้น”
ไท่ซ่างหวงไม่ใช่ว่าไม่มีอำนาจ เพราะต่อหน้าเขาฮ่องเต้ยังต้องคุกเข่าและเรียกเขาว่าเสด็จพ่ออยู่เลย
ตอนนี้เขามีคนที่อยากจะปกป้องแล้ว เขาจะใช้อำนาจที่มีอยู่ให้เต็มที่
“มีข้าคอยหนุนหลังพวกเจ้า อยากจะทำอะไรก็ทำได้เลย”
ไท่ซ่างหวงเอ่ยถึงตรงนี้ ก็ปรายตามองไปทางองค์หญิงใหญ่ที่นั่งงง ๆ อยู่ตรงนั้น
“เซี่ยวั่งซู คำว่าพ่อเจ้าก็เรียกไม่ถูกแล้วอย่างนั้นหรือ?” พอหันไปหาองค์หญิงใหญ่ อารมณ์ของไท่ซ่างหวงก็เริ่มไม่ค่อยดีขึ้นมาอีก
ท่านป้าสะดุ้งขึ้นมา “เจ้าเรียกข้าหรือ?”
เมื่อครู่พวกเขาทั้งร้องไห้ทั้งมอบของให้กัน จนนางไม่กล้าพูดขัด
“ไม่อย่างนั้นจะเรียกใคร ในหัวของเจ้ามีอะไรอยู่กันแน่ อยู่มาจนอายุปูนนี้แล้วก็ยังลืมได้อีก อาฉือ นี่คือเสด็จย่าใหญ่ของเจ้า ตอนที่นางแต่งงาน พ่อของเจ้ายังเป็นทารกอยู่เลย บัดนี้พวกเจ้ามีโอกาสได้พบนาง ช่างเป็นวาสนาจริง ๆ”
คนเราเมื่ออายุมากขึ้นก็มักจะเชื่อเรื่องโชควาสนา ไท่ซ่างหวงเองก็เช่นกัน
องค์หญิงใหญ่ไม่ได้สงสัยแต่อย่างใด นางเพียงขยับเข้าไปใกล้และเอ่ยขึ้นมา “ข้าเป็นลูกสาวของเจ้าจริงหรือ?”
“ข้าก็ไม่อยากให้เจ้าเป็น” ไท่ซ่างหวงตะคอกออกมาด้วยความโมโห
ท่านป้ารู้สึกท้อใจขึ้นมา อย่างไรเสียเขาก็เป็นพ่อของนาง นางจึงไม่อาจวางอำนาจบาตรใหญ่ใส่ได้
“จำไม่ได้จริง ๆ หรือ? สักนิดก็จำไม่ได้หรือ?”
ท่านป้าส่ายหน้า
“จำไม่ได้ก็ช่างเถอะ” เขาเองก็อยากรู้เหมือนกันว่านางอยู่ที่ถู่เจียสบายดีหรือไม่ มีคนรังแกนางหรือไม่
ตอนเด็ก ๆ เจ้าก้อนนุ่มนิ่มน้อย เคยกอดคอและเรียกเขาว่าเสด็จพ่อ
ตอนนี้แค่นางมีร่างกายและจิตใจที่แข็งแรงดี ไท่ซ่างหวงก็พอใจแล้ว
ท่านป้าดวงตาเบิกโพลง “ช่างเถอะได้อย่างไรกัน ตำแหน่งองค์หญิงใหญ่มีเงินรายเดือนใช่หรือไม่?”
จางตงไหลกระแอมเล็กน้อย พลางอธิบายออกมา “นั่นเรียกว่าเงินเดือนพ่ะย่ะค่ะ ได้จากราชสำนัก”
“อ่อ ใช่ ๆ ๆ มีหรือไม่?”
“มีพ่ะย่ะค่ะ ของท่านยังได้เยอะมากอีกด้วย อย่าว่าแต่ท่านเป็นพี่สาวของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันเลย อยู่ที่ถู่เจียท่านยังเป็นไทเฮาอีกด้วย จึงได้รับจากทั้งสองแคว้นเลยพ่ะย่ะค่ะ”
ท่านป้าดีใจเป็นอย่างมาก นางหันไปเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “รอข้าได้เงินมาแล้ว ข้าจะเอามาให้ฮวนฮวน”
เผยยวนเองก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน ในเมื่อมีไท่ซ่างหวงคอยหนุนหลัง หลาย ๆ เรื่องก็จะสามารถแก้ไขได้โดยง่ายแล้วไม่ใช่หรือ
ปฏิกิริยาแรกของเผยจี้ฉือก็คือ ท่านแม่ลำบากเพียงนี้ ในเมื่อเสด็จปู่ทวดยกให้แล้ว…ก็ควรเอามาให้ท่านแม่ไม่ใช่หรือ?
ทุกคนต่างก็อยากเอาเงินทองมากมายไปให้จี้จือฮวน เพื่อหวังว่านางจะอยู่ต่อ และไม่ต้องลำบากเช่นนี้อีกแล้ว
ไท่ซ่างหวงส่งเสียงจิ๊จ๊ะออกมา “พวกเจ้าสามคนไม่คิดจะกลับเมืองหลวงจริงหรือ?”
ท่านป้าปรายตามองเผยยวน หนังตาก็กระตุกขึ้นมา เจ้าคิดว่าอย่างไร?
เผยยวน “…”
ในเมื่อสื่อสารกันไม่รู้เรื่องก็พอเถอะท่านป้าองค์หญิงใหญ่
เผยยวนแสดงความคิดเห็นเป็นคนแรก “ตอนนี้ยังไม่คิดถึงเรื่องนี้พ่ะย่ะค่ะ”
เผยจี้ฉือแสดงออกไปตั้งแต่แรกแล้วจึงไม่พูดอะไรอีก ท่านป้าแน่นอนว่าต้องส่ายหน้าอยู่แล้ว
“ที่บ้านฮวนฮวน อยู่สบาย การกินก็ดี ทำไมข้าต้องกลับไปด้วยเล่า”
พูดถึงเรื่องกิน ไท่ซ่างหวงก็อดไม่ได้ที่จะเช็ดปากไปหนึ่งที “ในเมื่อพวกเจ้าต่างก็ไม่อยากกลับ เช่นนั้นมีห้องรับแขกให้ข้าพักหรือไม่”
…
ด้านนอกห้อง เด็กน้อยทั้งสองคนตามจี้จือฮวนเข้าไปในห้องครัวเพื่อลองชิมอาหาร
จี้จือฮวนมองไปทางห้องโถง เหตุใดถึงยังไม่ออกกันมาอีก นางกลัวว่าไท่ซ่างหวงจะไม่ปล่อยเผยยวนไว้ ดังนั้นจึงถือทัพพีไปที่ประตูห้องโถงโดยไม่รู้ตัว
สุดท้ายก็ได้ยินเสียงตะโกนของท่านป้าดังขึ้นมา จี้จือฮวนจึงตกใจอย่างมาก และถีบจนประตูเปิดออก ท่านป้าวิ่งมาหลบที่ด้านหลังของนางในทันที จี้จือฮวนใช้ทัพพีเคาะที่ประตูแล้วเอ่ยขึ้นมา “ทำอะไรกัน?”
ท่าทางจริงจังนี้ ทำให้เผยยวนที่เดิมนั่งอย่างสบาย ๆ ถึงกับเด้งตัวลุกขึ้นยืนในทันที
เผยจี้ฉือเองก็เช่นกัน ยืนตัวตรงราวกับต้นสนน้อยก็มิปาน
มีเพียงไท่ซ่างหวงเท่านั้นที่ยั้งมือที่จะตีท่านป้า พลางเอ่ยอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ “นาง…นางด่าข้า”
ท่านป้าชะโงกหน้าออกมาจากด้านหลังของจี้จือฮวน “ด่าเจ้าแล้วจะทำไม ตาแก่นิสัยไม่ดี ให้ข้าไปแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์! ยังดีที่ข้าถามก่อน ไม่อย่างนั้นไม่เท่ากับถูกเจ้าหลอกหรืออย่างไร เช่นนี้แล้วยังกล้าบอกว่าตัวเองเป็นพ่อข้าอีก”
ไท่ซ่างหวงโกรธจนหนวดกระตุก จางตงไหลกระทืบเท้าขึ้นมา “โอ๊ย องค์หญิงใหญ่ ตอนนั้นท่านเป็นคนอาสาไปเอง ท่านบอกว่าใต้หล้าเลี้ยงดูท่าน ท่านในฐานะองค์หญิงแห่งต้าจิ้น การสร้างสันติให้ผู้คนทั้งสองแคว้นเป็นความรับผิดชอบของท่านนะพ่ะย่ะค่ะ”
จี้จือฮวนกะพริบตาปริบ ๆ มองไปทางท่านป้า
องค์หญิงใหญ่?
ลูกสาวที่แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ของไท่ซ่างหวงคนนั้นน่ะหรือ?
คราวนี้ความสัมพันธ์ที่ยุ่งเหยิง ในที่สุดก็กระจ่างแล้ว
ตอนเย็นจี้จือฮวนจึงย้ายโต๊ะขนาดใหญ่ออกมา ทั้งครอบครัวจึงไปกินข้าวกันที่ลานบ้าน
เนื่องจากไท่ซ่างหวงมา จี้จือฮวนจึงตั้งใจทำหม้อไฟ ตอนที่ไป๋จิ่นมาถึงแล้วเห็นวัตถุดิบสำหรับทำหม้อไฟ ก็อยากจะกลับบ้านไปเอางูสองตัวที่เพิ่งฝึกมาใส่ลงไปในหม้อด้วย
แต่เพราะสายตาของจี้จือฮวน เขาจึงทำได้แค่พับแขนเสื้อขึ้นและไปช่วยเช็ดโต๊ะ
อย่างไรเสียไท่ซ่างหวงก็เป็นผู้อาวุโส ดังนั้นตำแหน่งที่มีเกียรติที่สุดตรงหัวโต๊ะ จึงสงวนไว้ให้เขา
จี้จือฮวนยกวัตถุดิบที่เตรียมไว้แล้วออกมา เด็กทั้งสามคนต่างก็ยุ่งกับการช่วยยกวัตถุดิบออกมาเช่นกัน
ไท่ซ่างหวงเห็นเผยจี้ฉือทำงานคล่องแคล่วเช่นนั้น ในใจก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา จากนั้นก็ถลึงตาใส่องค์หญิงใหญ่
“กินข้าว!”
จี้จือฮวนพูดออกมา ทุกคนต่างก็ลงมือกินข้าวโดยพร้อมเพรียงกัน ไม่มีใครกล้าสร้างความวุ่นวายเพราะกลัวว่าอีกเดี๋ยวจะถูกไล่ออกไป หรือไม่ก็ถูกทำโทษให้เขียนหนังสือสำนึกผิดอีก
เพราะในบ้านหลังนี้พวกเขารู้ดีว่าใครใหญ่ที่สุด