เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย - บทที่ 146 พากลับไปเลี้ยงหมูที่บ้าน
- Home
- เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย
- บทที่ 146 พากลับไปเลี้ยงหมูที่บ้าน
บทที่ 146 พากลับไปเลี้ยงหมูที่บ้าน
เมื่อเห็นว่าจี้จือฮวนรู้ตัวผู้ที่บงการพวกเขาแล้ว คนที่เป็นหัวหน้าจึงเงยหน้าขึ้นและเอ่ยออกมา “ในเมื่อรู้แล้วเจ้ายังกล้าทำร้ายพวกเราอีกอย่างนั้นหรือ? ข้าจะบอกเจ้าให้ว่า จวนจี้กั๋วกงไม่ใช่ที่ที่สาวชาวบ้านตัวเล็ก ๆ อย่างเจ้าจะมีเรื่องด้วยได้”
จี้จือฮวนแค่นเสียงออกมาเบา ๆ ก่อนจะใช้แส้เชยคางของคนผู้นั้นขึ้นมา “เช่นนั้นเจ้าก็ดูเอาแล้วกัน ว่าข้าจะกล้ามีเรื่องกับคนพวกนั้นหรือไม่!”
ทันทีที่สิ้นเสียงของนาง แส้ม้าของจี้จือฮวนพันรอบคอของเขาหนึ่งรอบแล้วกระชากออกอย่างแรง ทำให้ชายร่างกำยำผู้นั้นหมุนเป็นลูกข่างไปหนึ่งรอบ และทิ้งคราบเลือดเอาไว้รอบคอของเขา
จี้จือฮวนไม่ได้คิดที่จะปล่อยเขาไปง่าย ๆ นางใช้เท้าข้างหนึ่งเหยียบลงบนซี่โครงของเขา “จี้หมิงซูให้พวกเจ้ามาก่อเรื่องที่เค่ออวิ๋นไหล นางไม่ได้บอกพวกเจ้าอย่างนั้นหรือ ว่าอย่าลืมไปหาจี้จือฮวนด้วย?”
คนกลุ่มนั้นชะงักไปทันที ราวกับกำลังถามนางว่า เจ้ารู้ได้อย่างไรกัน?
จี้จือฮวนโน้มตัวลงไปเล็กน้อยวางศอกลงบนเข่า และยกยิ้มเหมือนพวกอันธพาล ก่อนจะเลิกคิ้วและเอ่ยขึ้น “ข้าลืมแนะนำตัวไป ว่าข้าก็คือจี้จือฮวน”
นางเอ่ยจบก็หุบยิ้มลง ก่อนจะเอ่ยกับเหล่าสายตรวจที่กำลังแทะเมล็ดแตงโมท่ามกลางสายตาตกตะลึงของคนกลุ่มนี้ “คนที่มาก่อเรื่องพวกนี้มีความแค้นกับข้ามาก่อน ข้าขอยืมโซ่ของพวกท่านที”
เจ้าหน้าที่ไหนเลยจะกล้าปฏิเสธ วิชาของแม่นางจี้เรียกว่าล้ำเลิศยิ่งนัก!
มีแม่นางจี้อยู่ เฮ้อ งานสายตรวจแต่ละวันลดลงไปไม่น้อย ในครอบครัวเผยมีท่านป้าท่านหนึ่งสามารถขู่ให้เจ้าของบ่อนการพนันกลัวจนปิดกิจการได้ พวกอันธพาลตัวเล็ก ๆ ที่มาก่อปัญหาก็ถูกจัดการไปแล้ว
พวกเขาแทบอยากจะทำโล่ประกาศเกียรติคุณให้แม่นางจี้เลยด้วยซ้ำ! และเขียนว่า ‘ลงโทษความชั่วส่งเสริมความดี’!
เป็นเกียรติเป็นศรีของตำบลฉาซู่จริง ๆ
พวกเจ้าหน้าที่มาช่วยกันล่ามโซ่คนเหล่านี้ แน่นอนว่าพวกเขาย่อมขัดขืน แต่หลังจากถูกพลังบางอย่างซัดเข้าที่หัวเข่า ขาทั้งสองข้างก็ไร้เรี่ยวแรง ไม่รู้ว่าเป็นวรยุทธ์ชั่วร้ายอันใดกันแน่
พวกเจ้าหน้าที่เห็นพวกเขาขัดขืน ก็ตบไปคนละทีอย่างแรง “ทำตัวดี ๆ หน่อย!”
“ถูกแม่นางจี้ตีนับเป็นบุญวาสนาที่พวกเจ้าทำมาเมื่อชาติก่อนแล้ว”
“มีควันเขียวผุดจากหลุมฝังศพบรรพบุรุษ*เจ้ารู้หรือไม่”
* ควันเขียวผุดจากหลุมฝังศพบรรพบุรุษ (祖坟冒青烟) เป็นสำนวนเปรียบเปรยว่าเป็นเรื่องน่ายินดี และสามารถใช้ในความหมายเสียดสีได้เช่นกัน
พวกอันธพาล “…”
???
วาสนานี้ยกให้พวกเจ้าเอาหรือไม่!
“ไสหัวไป อย่ามาแตะต้องข้า!” มีคนตะโกนขึ้นมา
เพียะ! แส้ฟาดลงมาอีกครั้ง ฟาดลงไปบนปากของเขาพอดี ทำให้ฟันหน้าหลุดออกมาเป็นแถว
“พูดจาดี ๆ หน่อย หากทำให้สิงโตหินหน้าประตูเค่ออวิ๋นไหลตกใจ ข้าจะจัดการพวกเจ้าซะ” จี้จือฮวนนั่งบนม้านั่ง สายตาเย็นชามองดูพวกเขาถูกล่ามโซ่ก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
หลังผ่านไปหนึ่งเค่อ คนที่เดินผ่านไปผ่านมาก็อดไม่ได้ที่จะมองมาทางเค่ออวิ๋นไหล
เห็นชายร่างใหญ่กลุ่มหนึ่งถูกโซ่ล่าม มีป้ายส่งเสริมการขายห้อยคอเอาไว้ และนั่งยอง ๆ อยู่ข้างสิงโตหินที่หน้าประตู แยกเขี้ยวยิงฟันให้กับคนที่เดินผ่านไปผ่านมา
ทว่าพริบตาต่อมาก็ถูกเสี่ยวเอ้อตบหัวไปหนึ่งฉาด
“เรียกลูกค้าเป็นหรือไม่! ไร้ประโยชน์จริง ๆ”
เหล่าอันธพาลได้แต่นึกเสียใจ พวกเราเสียใจจริง ๆ…พวกเราอยากกลับบ้าน…
ทว่านี่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น
อาหารที่จี้จือฮวนทำนั้นหอมมาก บวกกับซวงผีหน่ายที่เพิ่งเอาออกมาจากเตาใหม่ ๆ ร้อน ๆ จึงมีลูกค้ามาที่เค่ออวิ๋นไหลจำนวนมาก คนที่ผ่านไปผ่านมาต่างก็เห็นหน้าพวกเขา
“โอ้โห หอมจริง ๆ ดูสิเนื้อนี่สดจริง ๆ”
“อันนี้กินกับอันนี้อร่อย กินด้วยกัน ใช่แล้ว”
เนื้อที่มันเยิ้มถูกย่างลงบนเตาย่าง ปรุงด้วยเครื่องปรุงรสที่มีกลิ่นหอม อาหารอันโอชะมากมายตกอยู่ในสายตาของพวกเขาตลอดเวลา
“มองอะไรกัน? คิดว่ามีส่วนของพวกเจ้าหรืออย่างไร?”
คนตำบลฉาซู่! มีแต่คนเสียสติ! มีแต่คนเสียสติ!!!
พวกอันธพาลคิดว่าการที่จี้จือฮวนเหยียดหยามพวกเขา โดยการที่ไม่ให้พวกเขากินข้าว ให้พวกเขาดมแค่กลิ่นแต่กินไม่ได้ถือเป็นการลงโทษอย่างหนึ่ง ดังนั้นก็ควรจะปล่อยพวกเขาไปได้แล้ว แต่ใครจะรู้ว่าความทรมานที่แท้จริงเพิ่งจะเริ่มขึ้นเท่านั้น
ตอนเย็นเมื่อรับเผยจี้ฉือกลับมา จี้จือฮวนก็ผูกคนเหล่านั้นไว้ที่ด้านหลังของรถม้า และให้พวกเขาวิ่งตาม
“อย่าล้มเชียวนะ หากล้มต้องถูกลากและเอาหน้าถูไปกับดินเข้าใจหรือไม่” จากนั้นจี้จือฮวนปิดม่านรถม้าลง ก่อนจะตบที่ก้นของจ้านอิ่ง ส่งสัญญาณให้มันออกวิ่งได้แล้ว
“อ๊ากกกกก!!!”
“โอ๊ยยยยย!!!”
“เจ็บ เจ็บ เจ็บ!!!”
เสียงกรีดร้องระหว่างทางดังขึ้นไม่หยุด ดึงดูดให้ชาวบ้านหลายคนที่ทำนาอยู่ต้องเงยหน้าขึ้นมอง
“คนพวกนี้ประสาทหรือเปล่า เหตุใดต้องวิ่งตามรถม้าด้วย”
“เรื่องแปลกประหลาดมีอยู่ทุกวันนั่นแหละ แค่ปีนี้มีมากหน่อยก็เท่านั้นเอง ไม่แน่อาจเป็นคนบ้าที่หนีออกมาก็ได้”
ด้านนอกรถม้าเผยยวนและจี้จือฮวนนั่งอยู่ด้วยกัน “หากเจ้ารู้สึกว่าพวกจวนจี้กั๋วกงน่ารำคาญ ข้าสามารถให้เพื่อนเก่าช่วยจัดการให้เจ้าได้นะ”
เผยยวนกะพริบตาปริบ ๆ เขาไม่มีทางบอกว่าจะไปจัดการเองอย่างแน่นอน
จี้จือฮวนส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอก แค่พวกเขาข้าสามารถจัดการได้สบาย”
นางไม่เคยเห็นจวนจี้กั๋วกงอยู่ในสายตาอยู่แล้ว
เผยยวนรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย หากว่าเขามีหางคงลู่ลงไปนานแล้ว
“แต่ว่าก็ต้องขอบใจเจ้ามาก” จี้จือฮวนเอ่ยพลางมองหน้าเขา
เผยยวนจึงร่าเริงขึ้นมาอีกครั้ง “ไม่ต้องเกรงใจข้าเช่นนั้น และไม่ต้องเห็นข้าเป็นคนอื่นไกล”
ขณะเดียวกันนั้นเขาก็เผลอเอานิ้วขูดเพลารถม้าโดยไม่รู้ตัว
อยู่ดี ๆ จี้จือฮวนก็ยื่นมือไปแตะหน้าขาของเขาแล้วบีบเบา ๆ สามารถสัมผัสได้ถึงขาที่มีพลังและกล้ามเนื้อผ่านเนื้อผ้า ดูเหมือนว่าเจ้าเด็กคนนี้จะแสร้งทำจริง ๆ
เมื่อครู่หากเขาไม่ลงมือนางก็คงแค่สงสัยเขาเท่านั้น แต่เมื่อเขาลงมือแล้ว แม้ที่นั่นจะมีคนอยู่มากมายก็จริง ทว่านอกจากทิศทางที่เขาอยู่จะเหมาะกับการลงมือแล้ว จี้จือฮวนก็นึกไม่ออกเลยว่าใครจะเป็นคนทำได้อีก
แต่นางไม่ได้เปิดโปงเขา ตอนนี้คนในครอบครัวอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขดี และไม่รู้ว่าพวกเขาจะอยู่กับนางอีกนานเพียงใด เพราะอย่างไรเสียสุดท้ายแล้วพวกเขาก็ต้องจากไป
พลันนั้นมือของเผยยวนก็กำเพลารถม้าเอาไว้แน่น!
นางจับตัวข้าแล้ว! นางจับตัวข้าแล้ว!!!
เผยยวนรู้สึกว่าเสียงหัวใจของตนเองแทบจะไม่ต่างจากกลองศึก เขากลืนน้ำลายลงคอ ขณะที่กำลังคิดว่าจะพูดอะไรดีนั้น ในหัวของเขาก็นึกถึงหนังสือของอาจารย์ใหญ่หลินขึ้นมา ในนั้นเขียนว่าอย่างไรกันนะ?
เมื่ออยู่กับภรรยาตามลำพัง ควรวางตัวให้สง่างาม มีเสน่ห์ และหล่อเหลา
เผยยวนครุ่นคิดตาม ทว่าตรงที่เขานั่งอยู่นี้ ก็ไม่สะดวกที่จะทำเช่นนั้น
จี้จือฮวนชักมือกลับไปแล้ว “ขานี่หากเป็นเช่นนี้ไปนาน ๆ คงไม่ดีแน่ คราวหน้าข้าจะลองฝังเข็มให้เจ้าดูก็แล้วกัน”
เผยยวน “???”
“เจ้าฝังเข็มเป็นด้วยหรือ?”
จี้จือฮวนหันไปมอง “ไม่เป็น แต่เมื่อไม่มีวิธีอื่นก็ต้องลองดูก่อนสิ”
ข้าจะดูว่าเจ้าจะแกล้งทำไปถึงเมื่อใด
รอยยิ้มของเผยยวนแข็งค้างอยู่บนใบหน้าทันที เอ่อ…
เผยจี้ฉือที่สังเกตการณ์อยู่ภายในรถม้าถึงกับเอาหนังสือปิดหน้าตัวเอง ท่านพ่อซื่อบื้อผู้นี้ หมดทางจะสอนได้แล้วจริง ๆ!
ตอนที่กลับมาถึงบ้าน ไป๋จิ่นกำลังช่วยพวกท่านป้าทำงานอยู่ ส่วนอาชิงก็เดินตามหลังเขาคอยถามนู่นถามนี่ไม่หยุด
ภายในลานบ้าน บรรยากาศระหว่างไท่ซ่างหวงและท่านป้าองค์หญิงใหญ่ไม่ค่อยดีเท่าใดนัก
ท่านป้าจ้องไผ่ในมือเขม็ง “ข้าคิดเอาไว้แล้วว่าเจ้าต้องขี้โกง”
ไท่ซ่างหวงตบโต๊ะทันที “เหลวไหล ข้าจะรีดไถเงินแค่เล็ก ๆ น้อย ๆ ของเจ้าไปทำไมกัน?”
ท่านป้าดวงตาเบิกโพลง “เจ้าขี้โกง ข้าเป็นเทพนกกระจอกของหมู่บ้านตระกูลเฉิน ในใต้หล้านี้ไร้คู่ต่อกร ข้าจะแพ้ให้เจ้าได้อย่างไร?”
“นั่นก็ไม่แน่”
ท่านป้าและไท่ซ่างหวงต่างก็มองไปทางท่านป้าหยางและเหล่าเติ้ง
“พวกเจ้ามาช่วยตัดสินหน่อย เขาโกงใช่หรือไม่”
“เหลวไหล ตอนที่ข้าเล่นไพ่นกกระจอก เจ้ายังอยู่ที่ใดก็ไม่รู้ และข้าก็ไม่เคยแพ้ให้ใครมาก่อน”
“ถุย คนที่เล่นกับเจ้าใครจะกล้าเอาชนะเจ้ากัน? กล้าอย่างนั้นหรือ!”
ท่านป้าหยางและเหล่าเติ้งที่พูดแทรกไม่ทัน…ช่างเถอะ ไปดูว่ายังมีงานอะไรที่ยังไม่ได้ทำดีกว่า