เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย - บทที่ 154 รังแกราษฎร ลงโทษด้วยวินัยทหาร
- Home
- เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย
- บทที่ 154 รังแกราษฎร ลงโทษด้วยวินัยทหาร
บทที่ 154 รังแกราษฎร ลงโทษด้วยวินัยทหาร
“แม่ทัพบ้านเจ้าน่ะสิ! แม่ทัพของเจ้าไม่รู้ไปอยู่ที่ใดตั้งนานแล้ว!” เห็นได้ชัดว่ายามเฝ้าประตูเมืองกำลังโมโหเพราะเผยยวน เขาจึงพุ่งมาข้างหน้าพลางสะบัดแส้และด่าทอไปด้วย
เผยยวนเงยหน้าขึ้นมอง ไอสังหารพาดผ่านดวงตา มือของเขายังคงประคองจั๋วฉวินที่ยืนโงนเงนอยู่ แต่ขาของเขากลับเคลื่อนไหวไม่หยุด เขาเหยียดขายาว ๆ ออกไปเตะยามเฝ้าประตูเมืองที่เป็นหัวหน้าจนกระเด็นออกไปอย่างแรง
พวกชาวบ้านที่อดทนกับยามเฝ้าประตูเมืองเหล่านี้มานานแล้ว เห็นดังนั้นก็ตะโกนชื่นชมเสียงดัง
“ดี ต้องแบบนี้! ทหารเหล่านี้เลวทรามยิ่งนัก ปล่อยให้พวกเรารอตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ยอมให้เข้าเมืองหลวง เห็นสตรีสวย ๆ ก็ยังจะลากไปค้นตัวอีก!”
“กำเริบเสิบสานยิ่งนัก!”
เผยยวนได้ยินคำประณามของบรรดาชาวบ้าน ก็ชักกระบี่ของยามเฝ้าประตูเมืองคนหนึ่งออกมา “กฎของทหารต้าจิ้นข้อที่สามสิบหก ผู้ที่ใช้อำนาจของตนรังแกราษฎรโดยมิชอบฆ่าได้ทันที! ข้อที่ห้าสิบเก้า ทะเลาะวิวาทโดยใช้อาวุธโบยห้าสิบที”
ยามเฝ้าประตูเมืองเหล่านี้เคยเจอคนบ้าแบบนี้ที่ไหนกัน พวกเขาจึงชี้ไปที่เผยยวนและเอ่ยขึ้นมาทันที “ยังไม่วางดาบลงอีก! เจ้าคิดจะก่อกบฏอย่างนั้นหรือ?”
รอยยิ้มเย็นปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเผยยวน เขาถือดาบเดินเข้าไปหายามเฝ้าประตูช้า ๆ ทีละก้าว
กองทัพทหารเกราะเหล็กของเขาฝ่าฟันอันตราย เสียสละเพื่อบ้านเมือง พอกลับมากลับถูกคนอื่นรังแกเช่นนี้ แค่ก่อกบฏจะไปน่ากลัวอะไรกัน?!
“อยากฆ่าก็ฆ่า เจ้าจะทำอะไรข้าได้” ทันทีที่สิ้นเสียงของเผยยวน เขาก็เงื้อดาบขึ้นฟันอย่างรุนแรง และตามทิศทางของคมดาบศีรษะของยามเฝ้าประตูเมืองก็ร่วงลงจากบ่าทันที และกลิ้งไปบนพื้นอีกสองตลบ พร้อมกับเลือดสด ๆ ที่พุ่งออกมา
พวกชาวบ้านบางคนถึงกับกรีดร้องเสียงดัง แต่บางคนก็เอ่ยชมไม่หยุด
เกิดเรื่องน่าสยดสยองขึ้นที่หน้าประตูเมืองเช่นนี้ ยามเฝ้าประตูเมืองที่เหลือจึงรีบไปส่งข่าวทันที ทุกคนต่างก็ต้องการเข้ามาจับกุมเผยยวน แม้กระทั่งนายกองของประตูเมืองซึ่งกำลังพักผ่อนอยู่ในห้องเล็ก ๆ หลังประตูเมืองก็ถูกตามตัวมาด้วย
ไม่มีใครคาดคิดว่าจะมีตัวปัญหาโผล่ขึ้นในกลุ่มชาวบ้าน อยู่ดี ๆ ก็กล้าฆ่าทหาร! หากจับตัวได้ต้องประหารชีวิตในทันที เพื่อให้คนเหล่านี้รู้ว่าอะไรที่เรียกว่ากฎระเบียบ
ตอนที่นายกองของประตูเมืองถือดาบวิ่งมาถึงประตูเมืองนั้น เขาก็ได้พบกับชายหนุ่มที่มีรูปร่างสูงใหญ่สวมชุดคลุมสีดำ ตัวตั้งตรงราวกับต้นสน
ตอนแรกเขาคิดแค่ว่าแผ่นหลังของชายผู้นี้ทั้งดูดีและสง่างาม ไม่เหมือนคนที่มาสร้างปัญหาเลยสักนิด แถมยังดูคุ้นเคยอีกด้วย และเมื่อเผยยวนหันหน้ามาเขาก็ได้แต่นิ่งงันไป
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง นายกองของประตูเมืองก็รีบตบหน้ายามเฝ้าประตูที่เตรียมจะฟ้องคนละที “เจ้าพวกสุนัขตาบอด ผู้สูงศักดิ์อยู่ที่นี่ยังกล้าล่วงเกินส่งเดชอีกอย่างนั้นหรือ ยังไม่รีบไสหัวไปรับการลงโทษอีก”
อย่างไรเสียก็เป็นคนของตัวเอง เขาย่อมต้องการที่จะไกล่เกลี่ยเพื่อยุติความขัดแย้งอยู่แล้ว
เผยยวนยิ้มหยันออกมา ทั้ง ๆ ที่จำเขาได้แต่กลับไม่เรียกว่าท่านโหวหรือว่าท่านแม่ทัพ ดูเหมือนว่าจะไม่ต้องการให้คนอื่นรู้ว่าเขากลับมาแล้ว
ราชวงศ์มีพระมหากรุณาธิคุณ จู่ ๆ หย่งกวานโหวก็ล้มป่วย ร่างกายร่อแร่เต็มที จึงได้ส่งตัวออกไปพักฟื้นนอกเมือง เหตุใดถึงมาปรากฏตัวอยู่ที่ประตูเมืองได้เล่า?
หากข่าวแพร่ออกไปทำให้ราษฎรรู้กันทั่ว การที่ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันร้องไห้อย่างเจ็บปวดไปนั้น จะไม่กลายเป็นเรื่องน่าขันหรอกหรือ?
เผยยวนเองก็ขี้เกียจจะสนใจคนพวกนี้ แต่หากคิดว่าเขาจะยอมปล่อยไปเช่นนี้? ฝันไปเถอะ
เขาปักดาบที่เปื้อนเลือดลงบนพื้น และเอ่ยกับนายกองของประตูเมือง “ข้าอนุญาตให้พวกเขาไปได้แล้วอย่างนั้นหรือ”
นายกองของประตูเมืองเช็ดเหงื่อเย็นบนหน้าผาก “เพราะพวกเราไม่รู้ว่าจู่ ๆ ท่านจะกลับมาเมืองหลวง ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีข่าว เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ขอรับ ข้าจะให้พวกเขารีบไสหัวไปเดี๋ยวนี้ และสั่งโบยพวกเขาอีกห้าสิบที”
เผยยวนหัวเราะเสียงเย็น “เหตุใดเจ้าไม่ถามพวกชาวบ้านเล่า ว่าพวกเขาเห็นด้วยหรือไม่?”
พวกชาวบ้านไม่ได้โง่ แค่เห็นท่าทีของนายกองของประตูเมืองเช่นนี้จะยังเดาไม่ออกอีกอย่างนั้นหรือ ว่าชายหนุ่มที่หน้าตาหล่อเหลาผู้นี้เป็นคนสำคัญที่พวกเขาไม่สามารถพบเห็นได้โดยง่าย
ดังนั้นแล้วยังไม่รีบระบายความคับแค้นใจออกมาอีกอย่างนั้นหรือ?
“ไม่ตกลง เจ้าคนผู้นี้เมื่อไม่กี่วันก่อนยังจงใจให้พวกเราคนที่ไม่มีเงินเข้าแถวรอ และปล่อยให้คนมีเงินผ่านเข้าไปได้อยู่เลย”
“ก่อนหน้านี้ยังคิดจะลวนลามพวกผู้หญิงอีกด้วย ไม่ให้ค้นตัวก็ไม่ให้ผ่าน! ทหารอะไรกัน น่ากลัวยิ่งกว่าโจรเสียอีก”
แต่ละเหตุการณ์สามารถพูดออกมาได้อย่างชัดเจน
จั๋วฉวินก็เอ่ยกับเผยยวนเช่นกัน “ท่านแม่ทัพขอรับ อย่าปล่อยพวกเขาไปนะขอรับ พวกเขายักยอกเงิน ลอบโจมตีข้างหลังผู้อื่น ทั้งยังรังแกชาวบ้านลับหลังอีกด้วย ข้าทนไม่ไหวจึงได้ถูกพวกเขารังแกขอรับ”
นายกองของประตูเมืองรู้ดีว่าหากวันนี้ไม่ตัดสินให้ดี พระโพธิสัตว์ท่านนี้คงไม่ยอมไปไหนเป็นแน่
เขามีกี่หัวกันถึงจะกล้างัดข้อกับคนผู้นี้ ดังนั้นจึงรีบให้คนจับตัวยามเฝ้าประตูเหล่านี้ไปสังหารทันที เพื่อให้ชาวบ้านสงบลง
ในเมื่อเป็นความต้องการของเผยยวน ถึงเวลาก็ไม่ใช่สิ่งที่นายกองตัวเล็ก ๆ เช่นเขาจะสอดมือเข้าไปยุ่งได้
เผยยวนจึงได้ประคองจั๋วฉวินเดินไปที่ข้างกายของจี้จือฮวน จี้จือฮวนเข้าใจได้ทันที ทั้งสองจึงเดินไปที่รถม้า
ชาวบ้านที่อยู่รอบ ๆ ต่างหลีกทางให้พวกเขา จั๋วฉวินรู้สึกว่าร่างทั้งร่างวิงเวียนไปหมด สรุปว่าท่านแม่ทัพกลับมาแล้วจริงหรือ เหตุใดถึงรู้สึกเหมือนเขากำลังฝันอยู่อย่างไรอย่างนั้น
นายกองคิดว่าเผยยวนจะเข้าเมืองแล้ว ลูกน้องของเขาไม่มีตากล้ากลั่นแกล้งอดีตทหารของกองทัพทหารเกราะเหล็กและถูกเขาพบเข้า ดังนั้นการทำให้เขาใจเย็นลงก็คงจบเรื่องแล้ว
แต่เหตุใดนายท่านผู้นี้ถึงกลับไปเข้าแถวอีกเล่า!
“ท่านโหว ท่านกลับมาเมืองหลวงเหตุใดไม่ส่งข่าวมาก่อนเล่าขอรับ ไม่อย่างนั้นก็คงไม่เกิดเรื่องจนท่านต้องโมโหเช่นนี้ ข้าจะเปิดประตูใหญ่ให้ท่านเดี๋ยวนี้เลยขอรับ ท่านตรงไปก็จะได้เร็วหน่อย”
เผยยวนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ไม่ต้องหรอก ควรต่อแถวก็ต้องต่อแถว เรื่องอะไรให้ข้าแทรกแถวกัน?”
นายกองเอ่ยด้วยท่าทางอึกอัก “ผู้น้อยนามว่าอู๋ซิ่ว ท่านโหวท่านอย่าคิดเล็กคิดน้อยกับผู้น้อยเลยนะขอรับ”
เผยยวนได้ยินเสียงที่อู๋ซิ่วเรียกเขาว่าท่านโหวในทุกครั้งนั้นเบามาก ไฉนเลยเขาจะยังไม่เข้าใจความหมายของอู๋ซิ่วผู้นี้อีก
หลังจากส่งจั๋วฉวินขึ้นรถม้าแล้ว เผยยวนก็นั่งอยู่ด้านนอกรถม้าและหลับตาลง ทำเหมือนอู๋ซิ่วไม่มีตัวตน
อู๋ซิ่วผู้นั้นหากว่ายอมแพ้ง่าย ๆ หลายปีมานี้ที่รับราชการมาก็นับว่าสูญเปล่าแล้ว
เขาจึงวุ่นวายกับการเอาชาเอาขนมมาส่ง และเร่งให้คนที่ตรวจค้นหน้าประตูทำงานเร็วขึ้น อย่าให้คนรอนาน
เดิมจากที่เคยแออัด เพียงครู่เดียวก็ไหลลื่นขึ้นมาทันที
เผยยวนมองดูอู๋ซิ่วพัดให้เขา พลางยิ้มประจบอยู่ข้าง ๆ ด้วยสีหน้าที่ไม่บ่งบอกอารมณ์ใด ๆ
จี้จือฮวนรักษาแผลให้จั๋วฉวินอยู่ในรถม้า โชคดีที่เป็นแค่แผลภายนอก ไม่ได้บาดเจ็บถึงข้างใน พักผ่อนสักระยะก็จะหายดี เพียงแต่ถูกตีบ่อยจนมีทั้งแผลใหม่แผลเก่า ร่างกายจึงเต็มไปด้วยรอยช้ำ
“เผยยวน” จี้จือฮวนเอ่ยเรียกขึ้นมา
เผยยวนซึ่งเดิมคาบหญ้าหางจิ้งจอกเส้นหนึ่งไว้ในปากและนั่งอยู่ด้านนอกพร้อมสีหน้าไม่แยแส รีบคายหญ้าทิ้งและกลับเข้าไปในรถม้าทันที การเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว ท่าทางคล่องแคล่วเช่นนี้ นี่มันใช่ท่าทางของคนป่วยที่ใดกัน
อู๋ซิ่วพึมพำในใจ นายท่านผู้นี้เชื่อฟังใครเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน ใครอยู่ในนั้นกันแน่นะ
แต่การที่เผยยวนกลับมาเมืองหลวงอย่างกะทันหันเช่นนี้ เขาควรจะรายงานผู้บังคับบัญชาของเขาดีหรือไม่?
ตอนนี้ทุกคนได้ฝังความคิดอย่างหนึ่งให้กับกองทัพทหารเกราะเหล็ก นั่นคือ เผยยวนไม่ต้องการพวกเขาแล้ว แม้ว่ากองทัพทหารเกราะเหล็กจะถูกยุบ พวกเขาก็ไม่คัดค้านแม้แต่คำเดียว
ทว่าเขากลับมาอย่างกะทันหันเช่นนี้ ไม่รู้ว่าบรรดาทหารของกองทัพทหารเกราะเหล็กที่แยกย้ายกันไปแล้ว จะก่อความวุ่นวายขึ้นมาหรือไม่
คงไม่ถึงขนาดนั้นกระมัง คนสนิทเหล่านั้นต่างถูกจับไปหมดแล้วไม่ใช่หรือ เหลือเพียงลูกแมวสองสามตัวจะสร้างปัญหาอะไรได้ แม้แต่ฮ่องเต้ก็ไม่ไว้หน้าเขาอีกแล้ว นอกเสียจากเขาจะมีไท่ซางหวงคอยหนุนหลังอยู่
คิดดูอีกทีก็คงได้ใจไปอีกไม่นานหรอก