เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย - บทที่ 165 ความคิดของแต่ละคน เมืองหลวงวุ่นวาย
- Home
- เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย
- บทที่ 165 ความคิดของแต่ละคน เมืองหลวงวุ่นวาย
บทที่ 165 ความคิดของแต่ละคน เมืองหลวงวุ่นวาย
หลังจากสถานการณ์สงบลง คนรับใช้ก็ออกไปข้างนอกเพื่อเชิญหมอมา คนของจวนจี้กั๋วกงที่ช่วงนี้ถูกกักบริเวณให้อยู่แต่ในจวนทั้งหมดต่างก็มารวมตัวกัน
ตอนนี้ไม่ต้องรอให้จี้หมิงซูพูดอะไร แค่ไปเดินด้านนอกสักรอบก็สามารถรู้ได้ทันทีว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
“จี้จือฮวน จี้จือฮวนกลับมาแล้ว!” คนทั้งหมดต่างรู้สึกเหลือเชื่อ
ผู้หญิงอัปลักษณ์นั่นเป็นความอับอายและความอัปมงคลของจวนจี้กั๋วกง แต่ตอนนี้นางกลับยังไม่ตาย ทั้งยังกลับมาล้างแค้นอีกด้วย!
“จี้จือฮวนไปเอาความสามารถเช่นนี้มาจากที่ใดกัน?”
“เผยยวนนั่นใกล้ตายอยู่แล้วไม่ใช่หรือ? ตอนนี้นางมีเผยยวนคอยหนุนหลัง จะมาแก้แค้นพวกเราหรือไม่?”
ทันใดนั้นในใจของทุกคนก็รู้สึกวิตกขึ้นมา
จี้กั๋วกง จี้เม่าซวินไม่พูดอะไรสักคำ กระทั่งคนที่เหลือเริ่มตื่นตระหนก เขาจึงได้ตะคอกออกมา “กลัวอะไรกัน? คนยังไม่กลับมาก็ทำให้พวกเจ้าตกใจถึงเพียงนี้แล้ว จี้จือฮวนต่อให้จะเก่งกาจเพียงใดก็ยังเป็นลูกของข้าอยู่ดี ข้าสั่งให้นางไปทางตะวันออก นางจะกล้าไปทางตะวันตกอย่างนั้นหรือ?”
คนที่เหลือมองหน้ากัน
จี้คังซื่อพิงไม้ค้ำแล้วเอ่ยขึ้นมา “เรื่องนี้จะปล่อยไปเช่นนี้ไม่ได้ จี้จือฮวนเอาเรื่องในจวนไปโพนทะนาจนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันไปทั่วบ้านทั่วเมือง ตอนนี้ทางองค์ชายรองก็ยังไม่รู้ว่าจะว่าอย่างไรบ้าง ใบหน้าของหมิงซูเสียโฉมแล้วก็ไม่ต่างอะไรกับคนไร้ค่าคนหนึ่ง ดังนั้นพวกเราต้องให้ลูกหลานคนอื่นไปมัดใจองค์ชายรองเอาไว้ให้ได้”
เมื่อหลานผู้ชายพึ่งไม่ได้ ก็ทำได้เพียงอาศัยความงามของผู้หญิงแล้ว
น่าเสียดายที่จี้หมิงซูสามารถแต่งกับองค์ชายรองได้ ทั้งยังแสดงความสามารถมากมายเช่นนั้น เดิมควรมีอนาคตที่สดใส
แต่เมื่อหมากตัวนี้ไร้ค่าแล้ว ต่อไปคนของจวนจี้กั๋วกงก็จะไม่มีใครสนใจจี้หมิงซูอีก
ไป๋อี๋เหนียง* แม่ผู้ให้กำเนิดจี้หมิงซูที่อยู่ตรงมุมหนึ่งสั่นไปทั้งตัว นางรู้อยู่แล้วว่าคนเหล่านี้เห็นจี้หมิงซูลำบาก ย่อมต้องทิ้งหมิงซูอย่างแน่นอน!
* อี๋เหนียง (姨娘) เป็นคำที่ใช้เรียกอนุ โดยจะนำหน้าด้วยแซ่ของอนุคนนั้น
จี้เม่าซวินไม่สามารถข่มความโกรธลงได้ เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยออกมา “จี้จือฮวน นางลูกทรพี กล้าทำลายความสัมพันธ์ของพวกเรากับองค์ชายรองเช่นนี้ ข้าจะต้องให้บทเรียนกับนางให้จงได้ ส่วนเรื่องทั้งหมดนี้ก็โยนความผิดให้นาง บอกว่าเป็นเพราะนางอิจฉาหมิงซูก็จบแล้ว”
เวลานี้จี้เม่าซวินคิดหาวิธีกอบกู้ชื่อเสียงกลับมาได้แล้ว จี้หมิงซูใช้การไม่ได้แล้วก็ต้องปล่อยไป แต่เขายังมีลูกสาวคนอื่นอีก เขาต้องควบคุมสถานการณ์ปัจจุบันเอาไว้ให้ได้
ไป๋อี๋เหนียงได้ยินประโยคนี้ก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เวลาอยู่ในจวนนางมักจะมีภาพลักษณ์ที่อ่อนโยนและสง่างาม ดังนั้นบางคำก็ไม่เหมาะที่จะพูดออกมาจากปากของนาง
จี้เม่าซวินจะไปสั่งสอนจี้จือฮวน ทุกคนย่อมไม่มีความคิดเห็นอื่นใด ความเป็นตายของจี้จือฮวน พวกเขาไม่สนใจอยู่แล้ว
แต่น่าเสียดายที่จี้เม่าซวินเพิ่งจะปิดประตูออกไป ก็ถูกคนที่พ่อบ้านจูพามาดักซุ่มอยู่ก่อนแล้วดักตีเสียก่อน
ยอดฝีมือเหล่านั้นล้วนแต่สวมหน้ากาก จึงทำให้ไม่เห็นใบหน้าของพวกเขา แต่ปากกลับตะโกนขึ้นมา “ไท่ซ่างหวงสั่งกักบริเวณพวกเจ้า กล้าแอบหนีอย่างนั้นหรือ?”
พ่อบ้านจูมองคนของจวนจี้กั๋วกงที่ร้องโหยหวนด้วยสายตาสะใจ คิดจะสู้กับเขาหรือ? ใช้ก้นคิดก็ยังรู้ว่าจะมีผลลัพธ์เช่นไร หดหัวกลับไปจะดีกว่า!
คราวนี้ดีเลย อาการบาดเจ็บของจี้เม่าซวินที่ตกจากรถม้าเดิมก็ยังไม่หายดี ซ้ำยังมาถูกตีเช่นนี้อีก เกรงว่าคงจะพิการเสียแล้ว
อย่าว่าแต่ไปแก้แค้นจี้จือฮวนเลย แม้แต่สิงโตหินหน้าประตูจวนก็คงแตะไม่ได้อีกแล้ว
ภายในห้อง จี้หมิงซูที่ตื่นขึ้นมาเพราะความเจ็บปวดเห็นว่าภายในห้องมีเพียงไป๋อี๋เหนียงที่มีท่าทางเย็นชา ในใจก็คาดเดาได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง
จี้จือฮวนช่างโหดเหี้ยมยิ่งนัก ทั้ง ๆ ที่นางรู้ว่าจวนจี้กั๋วกงให้ความสำคัญกับหน้าตา แต่ก็ยังทำให้นางต้องอับอายขายหน้าเช่นนี้
ส่งนางกลับมาด้วยวิธีนี้ จี้เม่าซวินและจี้คังซื่อคงจะไม่ให้ความสำคัญกับนางอีกต่อไป
นางที่ใบหน้าเสียโฉม มีแต่จะโชคร้ายกว่าจี้จือฮวนในอดีตเสียอีก
“ไม่ได้เรื่อง ข้าสอนเจ้าอย่างไร แค่จี้จือฮวนก็สามารถทำให้เจ้าเสียโฉมเช่นนี้ได้แล้วอย่างนั้นหรือ? หน้าของเจ้าข้าจะช่วยหาวิธีรักษาให้ ช่วงนี้ก็กอบกู้ชื่อเสียงและรักษาโฉมหน้าไปก่อน” ไป๋อี๋เหนียงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาจบแล้ว ก็เดินออกไปทันที
มือทั้งสองข้างของจี้หมิงซูขยุ้มผ้าห่มผ้าที่คลุมร่างเอาไว้แน่น นางไม่มีทางยอมรับความพ่ายแพ้เช่นนี้ เพราะนางยังมีองค์ชายรองที่จะได้เป็นฮ่องเต้ในอนาคตอยู่ และเขาเองก็ยังมีพวกถู่เจียคอยหนุนหลัง มีอัครมหาเสนาบดีหานและหานกุ้ยเฟยคอยช่วย แค่เผยยวนคนเดียวจะสักเท่าไรกัน!
ไม่ช้าก็เร็วนางจะต้องเอาความอัปยศในวันนี้คืนกลับไปให้จี้จือฮวนให้จงได้
จี้หมิงซูเมื่อนึกถึงสิ่งเหล่านี้ ก็พยายามอดทนต่อความเจ็บปวดและเริ่มวางแผนการขั้นต่อไปทันที ตอนนี้นางไม่สามารถเผชิญหน้ากับจี้จือฮวนตรง ๆ ได้ ผู้หญิงคนนั้นเปลี่ยนไปมาก นางต้องหาวิธี นางต้องรอให้องค์ชายรองกลับมาก่อน
ทุกอย่างยังมีทางออกอยู่
…
การที่เผยยวนกลับมา นอกจากจวนจี้กั๋วกงจะประสบหายนะ ตระกูลเซี่ยถูกศาลต้าหลี่ตรวจสอบแล้ว ยังสร้างความตื่นตระหนกให้กับตระกูลใหญ่ต่าง ๆ อีกด้วย
ฮ่องเต้เซี่ยเจินกำลังเสวยพระกระยาหารอยู่ในตำหนักเฉิงเฉียนของหานกุ้ยเฟย และพูดถึงองค์ชายรองที่ตอนนี้ทำงานอยู่ด้านนอกว่าทำได้ไม่เลว หานกุ้ยเฟยจึงยกยิ้มงดงามออกมา และพูดถึงความดีความชอบขององค์ชายรองอีกสองสามประโยค
หานกุ้ยเฟยรู้ดีว่าอะไรควรพูดอะไรไม่ควรพูด นางจึงเลือกที่จะพูดถึงความดีของเซี่ยหยางเพียงสองประโยคเท่านั้น จากนั้นจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาพูดถึงไท่ซ่างหวงแทน
“จะว่าไปแล้วหม่อมฉันทำสนับเข่าให้เสด็จพ่อ ไม่รู้ว่าพระองค์จะได้รับหรือไม่”
นับตั้งแต่ไท่ซ่างหวงไปอยู่ที่เขาชิงหลิง ก็ไม่คิดที่จะกลับมาอีก ฮ่องเต้เองก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก แต่เขาก็กลัวว่าคนในใต้หล้าจะวิจารณ์เขาว่าเป็นลูกอกตัญญู
และบันทึกเขาเอาไว้ในประวัติศาสตร์
ดังนั้นเขาจึงต้องส่งจดหมายสองฉบับไปทุกเดือน และส่งคนไปแสดงความห่วงใยเป็นครั้งคราว
เมื่อก่อนไท่ซ่างหวงจะเขียนตอบกลับมาว่า ‘ไสหัวไป’ แต่ตอนนี้แม้แต่จดหมายก็ไม่เคยตอบกลับอีกเลย
ฮ่องเต้เซี่ยเจินบ่นพึมพำในใจแต่ไม่ได้ตอบอะไร จนเมื่อหัวหน้าข้ารับใช้ข้างกายอย่างเจียงเต๋อรีบร้อนเข้ามา หลังจากกระซิบประโยคหนึ่งที่ข้างหูของเขา ฮ่องเต้เซี่ยเจินจึงตบโต๊ะแล้วเอ่ยขึ้นมา “เหตุใดถึงเพิ่งมารายงาน”
หานกุ้ยเฟยเองก็ตกใจเช่นกัน แต่กลับเห็นองค์ฮ่องเต้ลุกขึ้นและเดินออกไปข้างนอกแล้ว
“ฝ่าบาท เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเพคะ?”
ฮ่องเต้เซี่ยเจินเอ่ยด้วยความโมโห “เผยยวนกลับมาแล้ว”
จากนั้นก็รีบร้อนออกไปจากตำหนักเฉิงเฉียน
หานกุ้ยเฟยยังยืนอึ้งอยู่ที่เดิม เผยยวน? เขากลับมาได้อย่างไรกัน?!
ขณะนี้ข้างนอกมีฝนโปรยปรายลงมาเล็กน้อย ฮ่องเต้เซี่ยเจินจึงเดินหลบเข้าไปใต้ชายคา “รีบให้คนไปเรียกเผยยวนเข้าวัง ควรทำเช่นไรเจ้าคงรู้ดีกระมัง”
เจียงเต๋อมีท่าทางอึกอัก “ตอนที่กระหม่อมได้ยินข่าวก็ส่งคนไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ แต่ว่า…หลังจากที่หย่งกวานโหวออกจากหย่งอันถัง ก็ไม่รู้ว่าไปที่ใดแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“อะไรนะ? อะไรเรียกว่าไม่รู้ไปที่ใดแล้ว?”
เจียงเต๋อเองก็จนปัญญา “จวนซิ่นอู๋โหวก็ไปถามแล้ว หลายวันก่อนท่านหญิงซ่างหยางออกจากเมืองไปขอพรจึงไม่อยู่ที่จวน จวนหย่งกวานโหวจึงมีเพียงทหารไม่กี่คนเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้เซี่ยเจินตึงเครียดขึ้นมาทันที เขาลูบราวกั้น “ต้องหาคนให้เจอให้ได้”
หากเผยยวนกลับมาเมืองหลวง แต่ฮ่องเต้อย่างเขากลับไม่ได้ไปพบ ราษฎรจะวิจารณ์เช่นไร แค่คิดเขาก็รู้แล้ว!
เผยยวน ดูท่าเจ้าคงจะตั้งใจยั่วโมโหข้าสินะ
คนเกือบทั้งเมืองล้วนกำลังออกตามหาเผยยวน ทว่าคนต้นเรื่องทั้งสองคนเวลานี้ได้มายังตรอกซิงต๋าทางตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองหลวงแล้ว
ผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นี่มีมากมายหลากหลายประเภท ยังไม่ทันลงจากรถม้า ก็ได้กลิ่นเหม็นอย่างรุนแรง ด้านนอกมีเสียงเด็กและเสียงผู้ชายทุบตีและด่าทอ
ถนนก็ไม่ค่อยเรียบเท่าไรนัก บนถนนที่เป็นหลุมเป็นบ่อในขณะนี้กลายเป็นแอ่งน้ำเล็ก ๆ เต็มไปหมด
จ้านอิ่งหยุดฝีเท้าลง เพราะถนนข้างหน้าแคบเกินกว่าที่รถม้าจะเข้าไปได้
ผู้หญิงที่กำลังพาเด็กกลับบ้านเงยหน้าขึ้น ก็เห็นชายหนุ่มหน้าตาดีลงมาจากรถม้า ท่าทางของเขาไม่เข้ากับตรอกที่เสื่อมโทรมเช่นนี้เลย รองเท้าที่สะอาดของเขาแทบจะเปียกน้ำไปหมดแล้ว เขากางร่มกระดาษเคลือบน้ำมันออก พลางยื่นมือออกไปเพื่อจูงหญิงสาวที่งดงามและเย็นชานางหนึ่งลงมาอย่างอ่อนโยน
ผู้หญิงคนนั้นจ้องมองพวกเขาอย่างนิ่งงัน ก่อนจะหลบเข้าไปในตรอกด้วยความตกใจ สองคนนี้มาที่นี่ต้องมีจุดประสงค์บางอย่างแน่นอน
ชาวบ้านในเมืองหลวงต่างรู้ดีว่าหากพวกเขาบังเอิญเจอกับผู้สูงศักดิ์ต้องมีจุดจบที่เลวร้าย
จี้จือฮวนมองไปที่ทางคดเคี้ยวและเต็มไปด้วยแอ่งน้ำ ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
เผยยวนยังคงยื่นมือให้นางอยู่เช่นนั้น เมื่อนางวางมือลงบนฝ่ามือนั้น เขาก็จับแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว
มือของนางทั้งเล็กและนุ่ม ด้านบนมีชั้นหนังที่ด้านแล้วบาง ๆ เผยยวนปล่อยมืออย่างไม่เต็มใจเท่าไรนัก
“บ้านของจั๋วฉวินคงอยู่ข้างหน้านี้กระมัง” จี้จือฮวนเอ่ยถาม
เดิมทีพวกเขาควรกลับไปพักผ่อนที่เรือนรับรองของไท่ซ่างหวงแล้ว แต่เผยยวนบอกว่าแม่ของจั๋วฉวินป่วยหนัก จี้จือฮวนจึงได้มาดู
นางถอนหายใจ นางเกลียดวันที่ฝนตกและเปียกแฉะ ถนนยุคโบราณยิ่งไม่ต้องพูดถึง
เผยยวนมองดูท่าทางของนาง ก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมา “ให้ข้าแบกเจ้าดีหรือไม่?”