เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย - บทที่ 187 ความเสียใจของเซียวเย่เจ๋อ
- Home
- เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย
- บทที่ 187 ความเสียใจของเซียวเย่เจ๋อ
บทที่ 187 ความเสียใจของเซียวเย่เจ๋อ
ฟางจวิ่นเหมยเดินนำเซียวเย่เจ๋อไปจนถึงประตู ก่อนจะหยิบเมล็ดแตงโมมาหนึ่งกำมือ แล้วลากม้านั่งตัวหนึ่งมาให้เขานั่ง เซียวเย่เจ๋อกำลังคิดจะอ้าปากพูด ก็ถูกท่านป้ากลุ่มหนึ่งล้อมเอาไว้
“เด็กน้อย เจ้ามาจากที่ไหนกัน?”
“ก่อนหน้านี้เจ้าเคยมาที่นี่แล้วใช่หรือไม่?”
“เจ้าอยู่ที่หมู่บ้านไหน?”
เซียวเย่เจ๋อเบียดตัวเข้ากับมุมด้วยความรู้สึกอึดอัด ดวงตาก็กลอกไปมาทั้งซ้ายและขวาราวกับกำลังหาความช่วยเหลือ หวังให้จี้จือฮวนกลับมารับเขา
ทว่าจี้จือฮวนกลับพาหย่งหนิงไปหาอาชิงนานแล้ว
ไป๋จิ่นกำลังขังตัวเองอยู่ในเรือนหลังเล็กของเขา เพื่อศึกษายาพิษที่เอามาจากจี้หมิงซู ส่วนอาชิงกำลังเลือกโหลที่สวยที่สุดจากในกองที่วางอยู่มุมห้อง เพื่อเก็บคางคกน้อยของเขา
“อาชิง” จี้จือฮวนตะโกนขึ้นมาจากด้านนอกเรือน เจ้าตัวเล็กจึงเงยหน้าขึ้น และวิ่งดุกดิกไปที่ประตู พลันนั้นก็เห็นหย่งหนิงที่จี้จือฮวนอุ้มไว้ในอ้อมแขน
“หย่งหนิง!!”
อาชิงวิ่งวนรอบตัวจี้จือฮวน “หลานชายนิสัยแย่ของเจ้า ยอมพาเจ้ามาส่งแล้วหรือ?”
หย่งหนิงขยับขาสั้น ๆ ปีนลงมา กำลังเตรียมจะจับมือของอาชิง แต่อาชิงกลับถอยหลังไปหนึ่งก้าว พลางกลอกตาไปมาหนึ่งรอบ “ข้าขอไปล้างมือก่อน”
ท่านพ่อบอกว่า เด็กผู้ชายที่มือเปื้อนจะไม่มีเด็กผู้หญิงเล่นด้วย
อาชิงจะเป็นเด็กดีที่ตัวสะอาด
หย่งหนิงหันไปมองจี้จือฮวน “พี่สาวฮวนฮวน ข้าไปล้างมือด้วยได้หรือไม่เจ้าคะ?”
“ตามอาชิงไปสิ อีกเดี๋ยวมากินข้าวที่บ้านด้วยกันนะ”
“เจ้าค่ะ” หย่งหนิงยกชายกระโปรงขึ้น ก่อนจะวิ่งตามอาชิงไป
ไป๋จิ่นที่กำลังศึกษายาพิษอยู่ ก็เจียดเวลาไปดูว่าเจ้าศิษย์อกตัญญูตัวน้อยกำลังทำอะไร ทว่ากลับเห็นเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารักคนหนึ่งยืนอยู่และกำลังมองมาที่เขา
ไป๋จิ่น “???”
“เจ้าเป็นเด็กบ้านไหนกัน?”
เหตุใดเขาถึงไม่เคยเห็นมาก่อน หน้าตาน่ารักทีเดียว
หย่งหนิงกะพริบตาปริบ ๆ หันหน้าและตะโกนไปที่นอกประตู “อาชิง ผมของคนผู้นี้แปลกจังเลย”
อาชิงรีบวิ่งกลับมา ดึงหย่งหนิงไปกระซิบกระซาบ “เขาคืออาจารย์ของข้า ท่านย่าในหมู่บ้านบอกว่าเขาทำนาไม่เป็นแล้วยังจนด้วย หาภรรยาไม่ได้แน่ แถมยังแปลกหน่อย ๆ”
ไป๋จิ่นเบ้ปาก เจ้าพูดให้ดังกว่านี้อีกสักหน่อยก็ได้ คิดว่าข้าไม่ได้ยินอย่างนั้นหรือ?
หย่งหนิงสูดลมหายใจเขาลึก “ก็เหมือนกับเซียวเย่เจ๋อน่ะสิ เขาก็ทำนาไม่เป็น ช่างน่าสงสารจริง ๆ”
“ก็ใช่น่ะสิ น่าเป็นห่วงมากจริง ๆ”
เจ้าตัวเล็กทั้งสองคนต่างมองหน้ากัน และถอนหายใจออกมาโดยพร้อมเพรียง
ผู้ใหญ่ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวนี่ ชอบทำให้เด็กเป็นห่วงจริง ๆ
ไป๋จิ่นอยากจะร้องไห้ วันนี้ก็เป็นวันที่เขาอยากขับไล่ศิษย์อกตัญญูผู้นี้ออกจากสำนักอีกหนึ่งวัน! T T
“เลิกพูดถึงอาจารย์ผู้โชคร้ายคนนี้เถอะ ข้าพาเจ้าไปดูสมบัติของข้าดีกว่า แต่เจ้าห้ามแตะต้องมันนะ เพราะจะไม่สบายเอาได้”
หย่งหนิงพยักหน้ารับอย่างเชื่อฟัง และนั่งยอง ๆ ลงข้างอาชิงอย่างเงียบ ๆ
…
ทางด้านนี้ เซียวเย่เจ๋อออกมาจากบ้านของฟางจวิ่นเหมยพร้อมกับความสับสน ก่อนจะพบกับจางตงไหลเข้าพอดี
“จาง…จางกงกง” ดูท่าเมื่อครู่เขาไม่ได้จำคนผิดจริง ๆ นั่นก็คือไท่ซ่างหวง
จางตงไหลหรี่ตาลงพิจารณาเซียวเย่เจ๋อครู่หนึ่ง “อ้อ ซื่อจื่อน้อยของตระกูลอู่อันโหว โตเพียงนี้แล้วหรือ เฮือก! เหตุใดท่านถึงมาอยู่ที่นี่ได้ พ่อของท่านให้ท่านมาหรือ?”
สีหน้าของจางตงไหลเปลี่ยนไปทันที
เซียวเย่เจ๋อจึงรีบเอ่ยขึ้น “ไม่ใช่ขอรับ ใครจะกล้ากัน ข้าทำการค้ากับจี้จือฮวนเลยมาหานางขอรับ”
จางตงไหลมีท่าทางประหลาดใจ “แม่นางฮวนฮวนทำการค้ากับท่าน เช่นนั้นท่านก็โชคดีแล้ว”
เซียวเย่เจ๋อนับตั้งแต่รู้ว่าสามีของจี้จือฮวนก็คือเผยยวน เขาก็ขวัญหนีดีฝ่อไปหมดแล้ว เมื่อได้ยินคำพูดนี้ก็ยิ้มไม่ออกอีก
“ได้ยินว่าท่านต้องดูแลอาหญิงน้อยของท่านอยู่ที่บ้านไม่ใช่หรือ ท่านออกมาเช่นนี้ แล้วเด็กคนนั้นเล่า?”
เรื่องในเมืองหลวง ไม่มีเรื่องใดที่จางตงไหลไม่รู้
เซียวเย่เจ๋อผู้นี้แม้จะเป็นหลานชาย แต่อาหญิงน้อยผู้นั้นอายุห่างจากพ่อของเขามาก ส่วนใหญ่จึงเป็นแม่ของเซียวเย่เจ๋อกับเซียวเย่เจ๋อที่เป็นคนดูแล บอกว่าเป็นลูกสาวก็ยังได้ ไปที่ใดเขาก็ต้องตามไปด้วย
“จี้จือฮวนพาไปแล้ว คาดว่าคงไปเล่นโคลนอยู่ที่ไหนสักที่กระมัง”
“เช่นนั้นท่านไปหาแม่นางจี้เถอะ เรื่องของไท่ซ่างหวงท่านคงรู้ว่าควรพูดกับท่านพ่อของท่านเช่นไรใช่หรือไม่?”
เซียวเย่เจ๋อจึงรีบสาบานในทันที “ข้ารับรองว่าจะหุบปากให้สนิท เรื่องนี้ข้าก็ไม่กล้าเอาไปพูดหรอกขอรับ”
หากพูดออกไปนั่นไม่เท่ากับไม่ใช่ทั้งคนในไม่ใช่ทั้งคนนอกหรอกหรือ อย่างไรเสียนั่นก็เป็นเรื่องขัดแย้งของราชวงศ์ เกี่ยวอะไรกับเขา เซียวเย่เจ๋อกัน
เขาต้องยืนอยู่ข้างเผยยวนอยู่แล้ว!
ทางด้านฮ่องเต้เขาจะสนใจไปทำไมกัน ใครจะเป็นฮ่องเต้เขาก็ยังเป็นซื่อจื่ออยู่ดี ตำแหน่งฮ่องเต้ก็ไม่ตกมาที่เขาอยู่แล้ว
เซียวเย่เจ๋อเมื่อคิดถึงตรงนี้ก็รู้สึกสบายใจขึ้นมา จางตงไหลหมุนกายไปหาไท่ซ่างหวงแล้ว เซียวเย่เจ๋อจึงได้เดินทอดน่องไปที่ประตูบ้านของจี้จือฮวน
ภายในลานบ้านเปลี่ยนไปมาก ไม่ใช่บ้านที่เป็นดินเหนียวหลังคามุงจากอีกแล้ว ตอนนี้ทั้งใหญ่โตและกว้างขวาง ในลานถูกเก็บกวาดเป็นระเบียบเรียบร้อย มีชิงช้าขนาดใหญ่และเก้าอี้หวายอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ด้วย ทุกที่เต็มไปด้วยบรรยากาศอันอบอุ่น ไม่เหมือนบ้านของเขาเลยสักนิด
จี้จือฮวนนั่งอยู่บนโต๊ะยาวใต้ต้นไม้ มีเครื่องมือมากมายวางอยู่บนโต๊ะ เซียวเย่เจ๋อมองนางอย่างไม่คลาดสายตา ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าจี้จือฮวนเปลี่ยนไปจนคนแทบจะจำไม่ได้
อันที่จริงก่อนหน้านี้เขาเคยพบจี้จือฮวนมาก่อน เขาในเวลานั้นได้ตามท่านพ่อไปเยี่ยมจี้กั๋วกง ระหว่างทางเขาแอบออกมาจากฝูโซว่ถัง และเห็นเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ กำลังร้องไห้อยู่ในสวนด้านหลัง
เซียวเย่เจ๋อต้องการเข้าไปสอบถามว่านางร้องไห้ทำไม แต่จี้จือฮวนกลับวิ่งหนีไปเสียก่อน หลังจากนั้นไม่นานคุณชายหลายคนของตระกูลจี้ก็ได้เข้ามา เซียวเย่เจ๋อจึงได้ถามถึงนางเพราะความสงสัย
คุณชายเหล่านั้นจึงเอ่ยด้วยสีหน้าเชิงหยอกล้อ “อ้อ จี้จือฮวนน่ะหรือ ก็เป็นคู่หมั้นของท่านอย่างไรเล่า ท่านเห็นรอยสีเขียวบนใบหน้าของนางหรือยัง?”
“เซียวซื่อจื่อ ท่านอย่าได้รังเกียจนางเด็ดขาดล่ะ”
ปากบอกว่าอย่าได้รังเกียจ แต่น้ำเสียงนั้นกลับไม่ได้มีความจริงใจเลยแม้แต่น้อย
เซียวเย่เจ๋อยิ่งคิดก็ยิ่งน้อยใจ นับแต่นั้นมาเขาก็ไม่อยากได้ยินชื่อของจี้จือฮวนอีก
แต่หลังจากกลับบ้านไป ท่านพ่อกลับตำหนิเขาอย่างรุนแรง บอกว่าจี้จือฮวนเป็นสายเลือดเดียวที่ตระกูลเซี่ยเหลือเอาไว้ คนในตระกูลเซี่ยถูกใส่ร้าย พวกเขาล้วนเป็นคนมีความสามารถ เซี่ยชิงหรูมีบุญคุณต่อท่านพ่อ ดังนั้นการที่เขาต้องแต่งงานกับจี้จือฮวนถือเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลแล้ว
ต่อมาทุกครั้งที่ท่านพ่อออกจากเมืองหลวงไปทำงาน มักจะบอกเขาว่ามีเวลาให้ไปดูแลจี้จือฮวนที่ตระกูลจี้บ้าง แต่เขาไม่ได้ไปเลยสักครั้งเดียว เขาคิดว่าจี้จือฮวนเป็นความอัปยศของเขา หน้าตาก็ยังสู้สาวใช้ไม่ได้ด้วยซ้ำ
เมื่อจวนจี้กั๋วกงยกเลิกการหมั้น เขาถึงขั้นโล่งอกอย่างมากอีกด้วย ทางด้านท่านพ่อเมื่อรู้ว่าจี้จือฮวนยินยอมแต่งกับคนอื่น ก็ไม่สามารถพูดอะไรได้อีก
แต่ตอนนี้เซียวเย่เจ๋อกลับรู้สึกว่าตนเองทำผิดไปแล้ว ต่อให้ตอนนั้นเขารังเกียจจี้จือฮวนที่หน้าตาขี้เหร่ แต่หากเขาเชื่อฟังท่านพ่อยื่นมือเข้าช่วย นางก็คงไม่ถูกคนตระกูลจี้รังแกเช่นนี้
หากฟางจวิ่นเหมยไม่บอกเขาถึงเรื่องเหล่านั้นที่จวนจี้กั๋วกงทำ เขาก็คงไม่รู้ว่าสถานการณ์ของนางจะเลวร้ายถึงเพียงนี้
ช่างเถอะ หากนางไม่แต่งมาจะช่วยเผยยวนได้อย่างไร
เซียวเย่เจ๋อเดินไปที่ข้างกายของจี้จือฮวนด้วยท่าทางหมดอาลัยตายอยาก เมื่อก้มลงมองก็พบว่าสิ่งที่นางถืออยู่ไม่ใช่พู่กัน แต่เป็นของที่เหมือนแท่งไม้เล็ก ๆ และมีขนาดหลากหลาย รูปร่างเช่นไรก็มี
“นี่คืออะไร?”
“วงเวียน” จี้จือฮวนเงยหน้าขึ้นมอง “เจ้ามาได้เวลาพอดี พิมพ์เขียวนี่ข้าให้เจ้า เมื่อครู่เจ้าคงเดินดูด้านล่างแล้วกระมัง ข้าวางแผนที่จะใช้พื้นที่ตรงทางเข้าหมู่บ้านทำเป็นโรงเรือน ถึงเวลาจะได้เอาไว้เพาะเลี้ยงแมลงกระบองเพชร และใช้เป็นฐานการผลิตเวชสำอาง”
ที่ดินว่างเปล่าตรงข้ามกับหมู่บ้านตระกูลเฉิน นางก็วางแผนที่จะซื้อด้วย
เซียวเย่เจ๋อนั่งดูพิมพ์เขียวที่นางวาด “เรื่องนี้ข้าไม่รู้หรอก หากเจ้าคิดว่าดีข้าก็ว่าดี แล้วนี่คืออะไร กล่องสีชาดทาปากหรือ?”