เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย - บทที่ 201 ไท่ซ่างหวงออกโรง เซี่ยเจินฝันร้าย
- Home
- เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย
- บทที่ 201 ไท่ซ่างหวงออกโรง เซี่ยเจินฝันร้าย
บทที่ 201 ไท่ซ่างหวงออกโรง เซี่ยเจินฝันร้าย
เซียวเย่เจ๋อให้พวกเขากับเซียวผิงไปตามจี้จือฮวนและเผยยวนมา ส่วนตัวเขาเองก็ตามงูทั้งสองตัวลงเขาไป วรยุทธ์อื่นของเขาอาจจะไม่เท่าไร แต่ว่าวิชาตัวเบาที่ใช้ในการหลบหนีกลับอยู่ในระดับสุดยอด
“ไป! พวกเราไปตามท่านพ่อกับท่านแม่กัน” อาอินจูงมือของอาชิงและหย่งหนิงไปตามหาพวกจี้จือฮวน
…
เวลานี้จี้จือฮวนกำลังยืนยันจุดที่ต้องขุดกับเผยยวนอยู่ นางต้องการขุดถนนบนภูเขาหลังจากมีการไปสำรวจพื้นที่มาแล้ว และจากตรงนี้ลงไปค่อนข้างปลอดภัย
“ตรงนี้แหละ ลงมือเถอะ”
“ขอรับ!”
เหล่ากองทัพทหารเกราะเหล็กเริ่มทำงานอย่างเต็มกำลัง
“หืม? หินนี้เหตุใดถึงดูแปลก ๆ” มีคนสงสัยขึ้นมา และโกยด้านในออกมาอีกสองสามครั้ง
“อย่าขยับ ให้ข้าดูหน่อย”
คนผู้นั้นพูดจบก็ขุดหินก้อนนั้นขึ้นมา จากนั้นก็เบิกตากว้างและเอ่ยขึ้น “ขุดต่อไป บางทีนี่อาจจะเป็นแร่เหล็ก! ก่อนหน้านี้ข้าเคยถูกส่งไปขุดแร่ในเหมืองเหล็กมา ไม่มีทางจำผิดแน่นอน!”
แร่เหล็ก?!
ต้าจิ้นมีทรัพยากรอย่างแร่เหล็กไม่มากนัก ส่วนหนึ่งถูกครอบครองโดยตระกูลขุนนาง และอีกส่วนหนึ่งเป็นของราชสำนัก แร่เหล็กไม่ใช่สิ่งที่จะหาซื้อได้โดยง่าย ถ้าหากพวกเขามีแร่เหล็ก ยังต้องกลัวว่าจะไม่มีอาวุธใช้อีกอย่างนั้นหรือ?!
เมื่อทุกคนคิดได้ดังนั้นต่างก็เต็มไปด้วยพลัง พลั่วที่ตักลงไปทุกครั้งล้วนใช้พละกำลังทั้งหมดที่มี
“เป็นแร่เหล็กจริง ๆ! ท่านแม่ทัพ นี่เป็นภูเขาสมบัติขอรับ! เป็นเขาแร่เหล็ก!” เหล่าทหารเกราะเหล็กร้องตะโกนขึ้นมาอย่างมีความสุข พลางยกตัวพลทหารตัวเล็ก ๆ ที่ขุดครั้งแรกก็เจอแร่เหล็กขึ้นมา
จี้จือฮวนและเผยยวนเองก็คิดไม่ถึงว่าจะมีเรื่องที่น่ายินดีเช่นนี้ แร่เหล็ก! ในเมื่อมีแร่เหล็ก พวกเขาก็ไม่ต้องกังวลเรื่องอาวุธอีกต่อไปแล้ว
ขณะที่ทุกคนต่างก็กำลังมีความสุขกันอยู่นั้น อาชิงกับอาอินก็มาถึงพอดี ด้านหลังยังมีเซียวเย่เจ๋อที่ทั้งหัวและร่างกายมีแต่หญ้าตามมาด้วย
“ไม่เพียงมีแร่เหล็กเท่านั้น ทางด้านนั้นยังมีแร่ทองคำด้วย! แบ่งคนส่วนหนึ่งตามข้าไปขุดที!”
…
ในคืนนั้น ตำหนักเฉิงเฉียน
ฮ่องเต้เซี่ยเจินจู่ ๆ ก็เลิกผ้าห่มออกและลุกขึ้นนั่ง หานกุ้ยเฟยที่อยู่ข้าง ๆ รีบลุกขึ้นและเอ่ยออกมา “ฝ่าบาท ทรงเป็นอะไรหรือเพคะ?”
ฮ่องเต้เซี่ยเจินใบหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อ จ้องหานกุ้ยเฟยอยู่พักใหญ่
เขาจะบอกได้อย่างไรกัน?
ว่าเมื่อครู่เขาฝันร้าย ฝันถึงเผยยวน ฝันว่าเจ้าเด็กคนนั้นสมรู้ร่วมคิดกับผู้คนมากมาย เป็นเจ้าของเหมืองเหล็กและเหมืองทอง ทั้งยังมีทหารอีกนับไม่ถ้วน มีเสบียงและทรัพยากรทางทหารที่ไม่มีที่สิ้นสุด หาได้สนใจการกดดันของเขาไม่
กองทัพทหารเกราะเหล็กแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ มีชื่อเสียงในหมู่ราษฎรมากขึ้นเรื่อย ๆ ตรงกันข้ามกับฮ่องเต้อย่างเขาที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่!
นี่มันเรื่องอะไรกัน
ยังดี…ยังดีที่เป็นเพียงความฝัน
“ไม่มีอะไร” ฮ่องเต้เซี่ยเจินลุกขึ้นอย่างหมดความอดทน หานกุ้ยเฟยจึงไม่กล้าถามต่อ
เจียงเต๋อได้ยินเสียงก็เข้ามาหลังม่านและเอ่ยถามขึ้น “ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ?”
ฮ่องเต้เซี่ยเจินไม่อยากอยู่ที่นี่ต่ออีก ซึ่งเจียงเต๋อก็รับรู้ได้ทันที จึงให้บรรดานางกำนัลเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าให้พระองค์ หานกุ้ยเฟยเองก็มาช่วยเปลี่ยนให้ด้วย
แต่จู่ ๆ ฮ่องเต้ก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “ข้าเหมือนจะจำได้ว่าสองวันนี้เป็นวันอะไรนะ?”
หานกุ้ยเฟยชะงักมือเล็กน้อย ทว่าไม่ได้เอ่ยอะไร
กลับเป็นเจียงเต๋อที่อยู่ด้านนอกเอ่ยขึ้นมาแทน “เป็นวันสิ้นพระชนม์ของอดีตองค์รัชทายาทเซี่ยอวี้พ่ะย่ะค่ะ”
เซี่ยเจินเงียบไปครู่หนึ่ง “ไปเถอะ”
หานกุ้ยเฟยจะไปส่งเสด็จ แต่เซี่ยเจินห้ามเอาไว้ “กลับไปนอนเถอะ”
จากนั้นก็พาเจียงเต๋อจากไปอย่างรวดเร็ว
ซุ่นไฉประคองหานกุ้ยเฟยกลับไปที่เตียงและนวดขาให้นาง หานกุ้ยเฟยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยออกมา “อีกเดี๋ยวไปที่ห้องเก็บของ ส่งกาน้ำชาที่เพิ่งได้รับบรรณาการมาไปให้เจียงเต๋อ แล้วลองถามดูว่าช่วงนี้ฝ่าบาททรงเป็นอะไรไป”
“เพคะ”
“ทางด้านฮองเฮา เจ้าก็เร่งมือหน่อย”
หลายปีมานี้ไม่รู้ว่าเป็นอะไร ทั้ง ๆ ที่คนหนุนหลังสตรีผู้นั้นล้วนถูกนางจัดการไปหมดแล้ว แต่ในวังหลวงนางกลับไม่สามารถทำอะไรสตรีผู้นั้นได้
ซุ่นไฉเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “ฮองเฮาก็เป็นเพียงฮองเฮาแค่ในนามเท่านั้น อดีตองค์รัชทายาทก็ตายไปแล้ว ตำหนักบูรพาไม่มีคนเหลือรอดอีก ยังมีอะไรสู้กับพระนางได้อีกเล่าเพคะ?”
“ตราบใดที่นางยังมีชีวิตอยู่ ข้าก็ยังเป็นเพียงอนุ ข้าก็ต้องอยากได้ตำแหน่งฮองเฮาน่ะสิ” หานกุ้ยเฟยคิดถึงตรงนี้ จู่ ๆ ก็เอ่ยขึ้นมา “วันสิ้นพระชนม์ของอดีตองค์รัชทายาท เจ้าเอาของขวัญชิ้นใหญ่ไปมอบให้นางด้วย อย่าให้นางผ่านวันนั้นไปได้อย่างสบาย ๆ ข้าไม่เพียงต้องการตำแหน่งของนาง นางมีอะไรข้าก็จะแย่งมาให้หมด!”
…
ทว่าหลังจากฮ่องเต้เซี่ยเจินออกมาจากตำหนักเฉิงเฉียนได้ไม่กี่ชั่วยาม ก่อนว่าราชการในตอนเช้าก็เกิดเรื่องใหญ่ขึ้น
จอมปราชญ์เสิ่นฉางซานพร้อมบรรดาลูกศิษย์ ต่างมาคุกเข่าที่ประตูวังด้วยตัวเอง เพื่อตะโกนเรียกร้องให้ฮ่องเต้เซี่ยเจินไปรับไท่ซ่างหวงกลับมาด้วยพระองค์เอง ยิ่งไปกว่านั้นยังได้เตือนสติฮ่องเต้อีกว่า การจะรักษาเสถียรภาพอำนาจทางการเมืองได้นั้น ฮ่องเต้ต้องมีปรีชาญาณ ขุนนางต้องมีคุณธรรม
เสิ่นฉางซานเป็นปราชญ์อาวุโสที่มีชื่อเสียงของราชวงศ์ต้าจิ้น เมื่อหลายปีก่อนเคยจิบชาและเล่นหมากล้อมกับไท่ซ่างหวง มีลูกศิษย์มากมาย ลูกศิษย์และหลานศิษย์จำนวนไม่น้อยเหล่านั้นตอนนี้ล้วนเป็นขุนนางในราชสำนัก เป็นแบบอย่างของปัญญาชนทั้งใต้หล้า
มีเพียงฮ่องเต้ที่ทำผิดพลาดมหันต์ จึงได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ และสิ่งนี้จะถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์อย่างแน่นอน
ฮ่องเต้เซี่ยเจินฟังเสียงเกลี้ยกล่อมจากด้านนอกก็รู้สึกหน้ามืดขึ้นมา ผลงานทั้งชีวิตหากถูกเรื่องนี้เขียนรวมเอาไว้ด้านบน ชื่อเสียงของเขาก็จะฉาวโฉ่ไปชั่วกัลปาวสาน!!
เสิ่นฉางซานใช้ตัวเองเป็นแบบอย่าง โดยได้ถอดรองเท้าและปล่อยผมยุ่งเหยิงเพื่อขอร้องให้ฝ่าบาทยอมรับผิด มิฉะนั้นจะโขกหัวที่หน้าประตูอู่เหมินจนตาย
“ขอฝ่าบาททรงปกครองบ้านเมืองด้วยพระปรีชาญาณ แม่ทัพเผยเป็นขุนนางที่จงรักภักดี ไท่ซ่างหวงยอมเดินทางไปกับแม่ทัพเผยแต่ไม่ยอมกลับวังหลวง นั่นถือเป็นความผิดของพระองค์ ขอฝ่าบาททรงออกราชโองการยอมรับผิด เพื่อให้ใต้หล้าชื่นชม ฝ่าบาททรงทำผิด แต่ขุนนางมิควรทำตาม กระหม่อมยอมตายเพื่อหวังให้ฝ่าบาททรงได้สติ ขอพระองค์อย่าได้ทรยศจิตใจของปวงประชาในใต้หล้า อย่าทรงเป็นกษัตริย์ที่อกตัญญูมีชื่อเสียงฉาวโฉ่ไปชั่วนิรันดร์เลยพ่ะย่ะค่ะ”
นักปราชญ์จำนวนมากต่างเอ่ยถ้อยคำนี้อยู่ด้านนอก เป้าหมายชี้ให้เห็นว่าฮ่องเต้ทรงกลัวเผยยวน ทำให้ไท่ซ่างหวงโมโหจนต้องจากไป
ฮ่องเต้เซี่ยเจินโมโหจนแทบบ้า ใครกันที่บอกว่าเขาเป็นคนทำให้ไท่ซ่างหวงโมโหจนจากไป เรื่องนี้เป็นเพราะเผยยวนลักพาตัวไท่ซ่างหวงไปต่างหากเล่า
แต่ชื่อเสียงของเสิ่นฉางซานนั้นโด่งดังอย่างมากจริง ๆ เป็นเทพในหัวใจของปัญญาชน ดังนั้นเมื่อฟ้าสางก็มีคนมารวมตัวมากขึ้นเรื่อย ๆ เหลือแค่เพียงราดอุจจาระลงบนหัวฮ่องเต้อย่างเขาเท่านั้น
นับตั้งแต่ราชวงศ์ต้าจิ้นก่อตั้งมา ไม่เคยมีเรื่องอื้อฉาวเช่นนี้มาก่อน
ฮ่องเต้เซี่ยเจินปกติมักจะอ้างตัวว่าเป็นฮ่องเต้ที่ยอมรับฟังคำแนะนำ หากเวลานี้เขาไม่ฟังเสียงพวกเขา สิ่งที่เขาเสแสร้งมาตลอด ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำมาก็จะถูกราษฎรมองข้าม และไปกระตุ้นความโมโหของราษฎรได้
ฮ่องเต้เซี่ยเจินไม่กล้าเสี่ยง
“ฝ่าบาท เรื่องมาถึงขั้นนี้ต้องทรงออกจากวังด้วยพระองค์เอง ไปทูลเชิญไท่ซ่างหวงกลับมานะพ่ะย่ะค่ะ!”
“ฝ่าบาท กระหม่อมเห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“ฝ่าบาท! ขอทรงออกจากวังหลวงไปทูลเชิญไท่ซ่างหวงกลับมาด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้เซี่ยเจินรู้สึกปวดหัวอย่างมาก เขาเป็นคนที่รักหน้าตาเพียงนี้ ให้เขาออกไปเท่ากับยอมรับผิด ไม่ต่างอะไรกับการเอาชีวิตเขาเลย!
แต่ตอนนี้สิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้านี้ ทำให้เขาไม่มีทางเลือกอื่นอีก
และเขาอยากจะรู้เหลือเกินว่า เรื่องทั้งหมดนี้ใครเป็นคนทำ! เขาจะได้ถลกหนัง และตัดเส้นเอ็นของคนผู้นั้นทิ้งซะ!
…
“จางตงไหล!”
ไท่ซ่างหวงตะโกนมาจากด้านนอก จางตงไหลจึงรีบออกไปทันที “มาแล้วขอรับ”
“เอาตราประทับออกมา ประทับให้ข้าซะ”
สิ่งที่ไท่ซ่างหวงถืออยู่เป็นหลักฐานอนุญาตให้จี้จือฮวนและกองทัพทหารเกราะเหล็กเปิดเหมืองทองและเหมืองเหล็กได้ ภายภาคหน้าพวกเขาก็ไม่ต้องสนใจราชสำนัก เพียงแค่นำเอกสารที่เขาอนุญาตและประทับตราออกมาแสดงก็พอแล้ว
จางตงไหลเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เตรียมพร้อมตั้งนานแล้วขอรับ ยังมีฉบับนี้ที่จะทำเป็นทะเลสาบเกลือด้วยขอรับ”
“ประทับให้หมด ประทับให้ใหญ่หน่อย ข้ากลัวจะมีคนตาบอดมองไม่เห็น”
เมื่อท่านผู้เฒ่าเอ่ยจบ ก็หยิบกระดาษขึ้นมาเป่าพร้อมรอยยิ้ม รอหมึกแห้งแล้วจึงยัดใส่มือจี้จือฮวน “เด็กน้อย วันหน้าหากเผยยวนไม่เชื่อฟัง ก็ตัดเสบียงทหารเกราะเหล็กของเขาได้เลยนะ”
เผยยวนเลิกคิ้วขึ้น “ท่านผู้เฒ่าจะลำเอียงเกินไปแล้วนะขอรับ แต่ฮวนฮวนเป็นภรรยาของข้า ข้าจะไม่อิจฉาก็ได้”
หากพูดกันตามตรง ทั้งหมดนั่นก็เป็นของเขาไม่ใช่หรือ ขอเพียงเขารักษาคุณธรรมบุรุษ ฮวนฮวนไม่มีทางจากไปอย่างแน่นอน