เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย - บทที่ 213 ความน่าเกรงขามของฮองเฮา
- Home
- เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย
- บทที่ 213 ความน่าเกรงขามของฮองเฮา
บทที่ 213 ความน่าเกรงขามของฮองเฮา
จางตงไหลที่ยืนอยู่ด้านหลังของไท่ซ่างหวงส่งผ้าเช็ดหน้าให้ แต่ไท่ซ่างหวงกลับส่ายหน้า
อาฉือไม่ได้พูดอะไรอีก บางทีความในใจทั้งหมด เขาอาจบอกเสด็จพ่อกับเสด็จแม่ของเขาอย่างเงียบ ๆ ไปแล้วก็ได้
เผยยวนตบที่บ่าของเขา “พ่ออยู่ตรงนี้เสมอ”
อาฉือหันหน้าไปมองเขา “ยังมีท่านแม่ด้วยขอรับ”
“ใช่แล้ว พ่อกับแม่จะอยู่เคียงข้างเจ้า”
…
ในเขตชานเมืองไม่ไกลจากตำบลฉาซู่มากนัก กองเกียรติยศของฮ่องเต้ได้หยุดพักในหมู่บ้านบริเวณใกล้เคียงเป็นการชั่วคราว
พระสนมที่ได้รับความโปรดปรานย่อมมีเรือนพักให้ ภายในได้รับการทำความสะอาดจากนางกำนัล ปูพรม แขวนผ้าม่าน จุดเครื่องหอมเอาไว้ ส่วนคนที่ไม่ได้เข้าเฝ้าฝ่าบาทมาหลายปี ย่อมทำได้เพียงอยู่ในกระโจมรอบนอก
ตอนที่ซู่ซินยกอ่างน้ำออกมาจากกระโจม ก็เจอกับหานกุ้ยเฟยที่เดินนำนางกำนัลและขันทีมา
ใบหน้าของซู่ซินเผยความรังเกียจออกมา แต่กลับจำต้องคารวะ
หานกุ้ยเฟยยิ้มเหยียดก่อนจะกล่าวขึ้น “ฮองเฮาไม่ได้ออกจากวังมานาน ร่างกายยังแข็งแรงดีใช่หรือไม่ ข้ามาพบพระนาง”
ซู่ซินเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง “ไม่รบกวนกุ้ยเฟยดีกว่าเพคะ ฮองเฮาทรงสบายดีเพคะ”
หานกุ้ยเฟยลูบจี้ไข่มุกบนศีรษะเล็กน้อย แววตาเปล่งประกายวาวโรจน์ขึ้นมา “ดีหรือไม่ข้าต้องเข้าไปดูเองถึงจะรู้ ซุ่นไฉ”
“เพคะ”
ซู่ซินมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที “กุ้ยเฟย ฮองเฮาจะพักผ่อนแล้วเพคะ”
ซุ่นไฉผลักซู่ซินออกไป ก่อนจะเปิดม่านกระโจมออก และเชิญหานกุ้ยเฟยเข้าไปด้านใน
เมื่อเห็นการตกแต่งภายในที่ดูซอมซ่อ หานกุ้ยเฟยก็หัวเราะเย้ยหยันครั้งแล้วครั้งเล่า เมื่อเดินอ้อมฉากกั้นไปก็เห็นสตรีร่างกายผ่ายผอมในชุดธรรมดา นางยิ่งได้ใจขึ้นไปอีก
คิดถึงตอนนั้นที่นางเข้าวังครั้งแรก นางยังต้องคุกเข่าคารวะให้กับสตรีผู้นี้อยู่เลย ทว่าตอนนี้กลับถูกนางดึงลงมาจากตำแหน่งฮองเฮาได้ง่าย ๆ เลยมิใช่หรือ?
ฮองเฮาช่างเรียบง่ายจริง ๆ ไม่มีเก้าอี้อะไรให้นางนั่งเลย หานกุ้ยเฟยจึงทำได้เพียงยืนอยู่อย่างนั้น
แต่สตรีที่คุกเข่าตรงหน้าพระพุทธรูปก็ยังคงหลับตาแน่น หลังตั้งตรง ท่าทางสง่างามไม่ได้ด้อยไปกว่าเมื่อก่อนเลยสักนิด เสื้อผ้าเนื้อหยาบและหน้าที่ไม่แต่งไม่ได้ทำให้นางดูโทรมลงแม้แต่น้อย
เดิมหานกุ้ยเฟยตั้งใจว่าจะมาเบ่งอำนาจ แต่เมื่อเห็นฮองเฮาที่เป็นเช่นนี้ ก็รู้สึกกระวนกระวายใจขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
หานกุ้ยเฟยเอ่ยขึ้น “วันนี้เป็นวันอะไรฮองเฮาทรงจำได้หรือไม่เพคะ? วันนี้ฮ่องเต้กำลังจะไปทูลเชิญไท่ซ่างหวงกลับวัง ทว่าพระนางกลับมาขอพรให้คนผิดเช่นนี้ ระวังจะทำให้ฝ่าบาททรงกริ้วเอานะเพคะ ทำให้คนที่ตายไปแล้วในปรโลกพลอยไม่สงบสุขไปด้วยนะเพคะ”
หานกุ้ยเฟยเอ่ยจบ ทว่าฮองเฮาก็ยังคงนับลูกประคำต่อ ปากก็ท่องบทสวดไปด้วย ทำราวกับนางเป็นแจกันดอกไม้ เป็นแค่ของตกแต่งชิ้นหนึ่งก็เท่านั้น
เส้นเลือดบนขมับของหานกุ้ยเฟยเต้นตุบ ๆ ซุ่นไฉจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พระนางเพคะ วาสนาของท่านกำลังรออยู่ จะไปพูดกับคนอัปมงคลเช่นนี้อีกทำไมเล่าเพคะ”
ซู่ซินเข้ามาก็ได้ยินประโยคนี้พอดี จึงตะคอกขึ้นมาทันที “บังอาจ เหตุใดเจ้าถึงกล้าไร้มารยาทกับฮองเฮาเช่นนี้”
ซุ่นไฉหาได้เห็นนางอยู่ในสายตาไม่ เขาเอ่ยกับหานกุ้ยเฟยต่อ “พระนาง ท่านดูสิเพคะ นางกำนัลซู่ซินที่อยู่ข้างกาย หลังจากต้องไปอยู่ตำหนักเย็น เมื่อออกมาอีกครั้งแม้แต่มารยาทก็ลืมไปจนสิ้น”
“ช่างเถอะ หากไม่ใช่เพราะครั้งนี้ต้องไปรับไท่ซ่างหวง คนผิดบาปเช่นนี้ไหนเลยจะยังสามารถออกมาได้อีก โชคดีที่คนตำหนักบูรพาตายไปหมดแล้ว ข้าก็ไม่ต้องกังวลว่าจะมีคนก่อกบฏอีกมิใช่หรือ?”
หานกุ้ยเฟยเอ่ยถึงตรงนี้ ก็ปิดปากหัวเราะอย่างมีความสุข
วันนี้ต่อให้นางจะพูดล่วงเกินไปมากเพียงใด ฮองเฮาก็ทำได้เพียงทำเหมือนไม่ได้ยิน โอ๊ย! หลี่ฮองเฮาที่เดิมเคยเป็นแม่ของแผ่นดิน บัดนี้ยังสู้สนมที่เพิ่งเข้าวังมาใหม่พวกนั้นไม่ได้ด้วยซ้ำ
ทว่าในตอนนั้นเอง นกตัวอ้วนกลมตัวหนึ่งก็มุดเข้ามาในกระโจมพักแรม มันชะเง้อชะแง้มองดูอยู่ครู่หนึ่ง จึงได้มาหยุดตรงหัวเข่าของฮองเฮา ใช้อุ้งเท้าดึงดูดความสนใจของพระนาง
หานกุ้ยเฟยเองก็เห็นนกตัวนี้แล้วเช่นกัน แต่ในที่ห่างไกลเช่นนี้ ขอเพียงไม่ใช่สัตว์ร้ายอะไรนางย่อมไม่สนใจอยู่แล้ว นางยังคงพูดในสิ่งที่ตัวเองอยากพูดต่อไป
“หม่อมฉันเองก็พูดมาจากใจ อดีตองค์รัชทายาทหากไม่ใช่เพราะท่านตอนนั้น…”
หานกุ้ยเฟยเอาแต่พูดจี้ใจดำฮองเฮา นางจะเล่นงานสตรีที่ฮ่องเต้รังเกียจผู้นี้จนลุกขึ้นมาไม่ได้อีก ดังนั้นจึงพูดน้ำไหลไฟดับไม่ยอมหยุด โดยไม่ได้สังเกตเลยว่าบัดนี้ฮองเฮาได้ลืมตาขึ้นมาแล้ว
หมูเหยี่ยวล่าเหยื่อกะพริบตาปริบ ๆ วางม้วนจดหมายเล็ก ๆ ลงบนพระคัมภีร์ ซู่ซินผงะไปเล็กน้อย ก่อนจะรีบก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวเพื่อบังสายตาของซุ่นไฉเอาไว้
ฮองเฮายังไม่ยอมขยับ หมูเหยี่ยวล่าเหยื่อจึงกระวนกระวายใจขึ้นมาทันที มันจึงคายป้ายหยกชิ้นหนึ่งออกมาจากปาก และวางลงบนตักของฮองเฮา
เมื่อเห็นป้ายหยกนั้น ฮองเฮาจึงได้สะดุ้งขึ้นมา นี่เป็นป้ายหยกประจำตัวของไท่ซ่างหวง!
เมื่อมองดูจดหมายอีกครั้ง ฮองเฮาก็รีบอ่านอย่างรวดเร็ว จดหมายนั้นอาฉือเป็นคนเขียนด้วยตัวเอง บอกว่าตอนนี้ตัวเขาปลอดภัย หวังว่านางจะรักษาเนื้อรักษาตัวให้ดี
ฮองเฮาไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตัวเองเห็น อาฉือยังมีชีวิตอยู่ ลูกชายของนางได้ทิ้งเลือดเนื้อเชื้อไขเอาไว้!
ตำหนักบูรพายังมีผู้สืบทอด และสิ่งที่ทำให้ฮองเฮาตกใจยิ่งกว่าก็คือตอนนี้อาฉืออยู่กับไท่ซ่างหวง
ซุ่นไฉเห็นซู่ซินขวางตนเองเอาไว้ กำลังคิดจะเข้าไปตรวจสอบ หมูเหยี่ยวล่าเหยื่อก็นั่งทับจดหมายนั่นทันที บังจดหมายเอาไว้ได้อย่างพอดิบพอดี อีกทั้งยังจ้องซุ่นไฉเขม็งด้วยดวงตาที่เฉียบคม
ฮองเฮาเห็นการเคลื่อนไหวของนกตัวนี้ ก็รู้ว่ามันต้องได้รับการเลี้ยงดูโดยคนที่มีความสามารถข้างกายของไท่ซ่างหวงเป็นแน่
นางถือป้ายหยกไว้ในมือ ใบหน้าที่เคยสงบนิ่ง ในที่สุดก็เริ่มมีร่องรอยของความโกรธ
หานกุ้ยเฟยยังคงพูดเป็นต่อยหอย ฮองเฮาจึงลุกขึ้นยืน ซุ่นไฉเลิกคิ้วขึ้นกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ฮองเฮาก็หมุนกายกลับมา นัยน์ตาหงส์เชิดขึ้นเล็กน้อย ใบหน้าเคร่งขรึม
ซุ่นไฉใจสั่นขึ้นมาตามสัญชาตญาณ ก่อนที่ฮองเฮาจะเอ่ยขึ้นมา “ซู่ซิน ลากนางออกไป ตบปากห้าสิบที”
หานกุ้ยเฟยกำลังสาธยายว่าอดีตองค์รัชทายาทไร้ความสามารถเช่นไรบ้าง ทำให้ฮ่องเต้โมโหเช่นไรบ้าง ใช้วิธีการไม่ชอบเพื่อให้ได้มาซึ่งชื่อเสียงเกียรติยศเช่นไรบ้าง ก็ได้ยินน้ำเสียงที่หนักแน่นของฮองเฮาขึ้นมาเสียก่อน ความน่าเกรงขามเมื่อหลายปีก่อนยังคงอยู่ หานกุ้ยเฟยจึงหันไปมอง พลางเอ่ยอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ฮองเฮา? เจ้ากำลังพูดกับใครกัน”
ทว่าในตอนนั้นเอง ซู่ซินก็ได้ผลักซุ่นไฉออกและกระชากหานกุ้ยเฟยมาเตะเข้าที่ข้อพับเข่าของนางอย่างแรงหนึ่งที หลังจากทำให้หานกุ้ยเฟยคุกเข่าลงไปได้แล้ว ก็ตบลงบนใบหน้าของนางครั้งแล้วครั้งเล่า
ซุ่นไฉกรีดร้องออกมา สะบัดแส้ไปมาพลางกล่าว “เจ้าช่างกล้าดียิ่งนัก กล้าตบหน้ากุ้ยเฟยอย่างนั้นหรือ?”
“ข้าเป็นมารดาของแผ่นดิน หานกุ้ยเฟยพูดจาหยาบคาย ยั่วยุข้าครั้งแล้วครั้งเล่า ตบก็ตบ คนรับใช้เช่นเจ้ากล้าตั้งคำถามกับนายหญิงแห่งวังหลังอย่างนั้นหรือ? นี่เป็นกฎของหานกุ้ยเฟยอย่างนั้นหรือ?”
ฮองเฮาตะคอกออกมา หลี่ฮองเฮาในอดีตปรากฏตัวต่อหน้าทุกคนอีกครั้ง
เสียงกรีดร้องของหานกุ้ยเฟยดังออกไปทันที ทหารองครักษ์ที่ลาดตะเวนอยู่ด้านนอกก็พุ่งตัวเข้ามา กำลังจะชักอาวุธออกมาถามว่าเกิดอะไรขึ้น ก็เห็นมือของฮองเฮาถือป้ายเก้ามังกรของไท่ซ่างหวงอยู่
ทหารองครักษ์ตกใจและรีบคุกเข่าลงทันที “คารวะไท่ซ่างหวง ขอจงทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นหมื่นปี!”
ฮองเฮาเก็บป้ายหยกลง “หานกุ้ยเฟยยั่วยุมารดาของแผ่นดิน เป็นความผิดที่ไม่อาจให้อภัยได้ ลากออกไปตบปากแปดสิบครั้ง คนรับใช้ข้างกายไม่รู้จักตักเตือน ไม่รู้จักกฎระเบียบ นำตัวไปตัดหัวซะ!”
หานกุ้ยเฟยถูกซู่ซินตบจนตาลาย เมื่อได้ยินคำพูดนั้นก็ตะโกนขึ้นมา “เจ้ากล้าหรือ เจ้าเป็นแค่ฮองเฮาที่ถูก…”
ตอนนั้นเอง ซุ่นไฉก็รีบพุ่งตัวออกไป พลางร้องตะโกนโวยวายไปทางกระโจมพักบรรทมของฮ่องเต้ “ฝ่าบาท เกิดเรื่องใหญ่แล้วเพคะ ฮองเฮาจะฆ่าพระนางกุ้ยเฟยแล้วเพคะ”
.
.
.