เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย - บทที่ 215 แตกหักกับเซี่ยเจิน ตั้งตัวเป็นศัตรูอย่างเปิดเผย
- Home
- เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย
- บทที่ 215 แตกหักกับเซี่ยเจิน ตั้งตัวเป็นศัตรูอย่างเปิดเผย
บทที่ 215 แตกหักกับเซี่ยเจิน ตั้งตัวเป็นศัตรูอย่างเปิดเผย
ถังกั๋วกงขี้เกียจจะมองฮ่องเต้เซี่ยเจิน จึงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “ขอฝ่าบาททรงลงโทษหานกุ้ยเฟยที่ล่วงเกินเบื้องสูง รวมถึงข้าหลวงทั้งหมดของตำหนักเฉิงเฉียนด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้เซี่ยเจินสูดลมหายใจเข้าลึก สรุปว่าถังกั๋วกงผู้นี้ยืนข้างฝ่ายใดกันแน่ ปกติแทรกแซงเรื่องการสอบสวนคดียังไม่เท่าไร ทว่าเหตุใดแม้แต่เรื่องของวังหลังก็ยังจะเข้ามายุ่งอีก
หานกุ้ยเฟยเป็นสนมที่เขาโปรดปรานและถูกใจเขามากที่สุด อีกอย่างหากทำตามคำพูดของฮองเฮาลงโทษหานกุ้ยเฟยสถานหนัก เช่นนั้นมิเท่ากับว่าเขาถูกฮองเฮากดหัวเอาไว้หรอกหรือ
ฮ่องเต้เซี่ยเจินอายุปูนนี้แล้ว จึงไม่ชอบที่มีคนมาสั่งให้ทำอะไร เขาต่างหากที่เป็นกษัตริย์ เขาอยากจะทำเช่นไรนั่นก็เรื่องของเขาไม่ใช่หรือ? ใช่เรื่องที่คนอื่นจะมาชี้นิ้วสั่งได้อย่างนั้นหรือ?
ถังกั๋วกงรู้ว่าคนอย่างฮ่องเต้เซี่ยเจินไม่มีทางยอมง่าย ๆ เขาเองก็ไม่ร้อนใจ อย่างไรเสียคนที่ร้องโหยหวนอยู่ด้านในก็ไม่ใช่ฮองเฮา แต่เป็นสนมที่เขารักนักรักหนาอย่างหานกุ้ยเฟย อนุใครคนนั้นก็จัดการเองก็แล้วกัน
พ่อบ้านจูเองเดี๋ยวก็มองท้องฟ้าเดี๋ยวก็มองเล็บ กำลังรอให้เรื่องสนุกของราชวงศ์แพร่ออกไป ให้จอมปราชญ์เสิ่นฉางซานที่ตามหลังมา พาลูกศิษย์ของเขามาร้องไห้คร่ำครวญอีกครั้ง ถึงเวลาคนที่ปวดหัวอย่างไรเสียก็ไม่ใช่ท่านกั๋วกงของพวกเขาแน่นอน
หานกุ้ยเฟยยังคงอ้อนวอนอยู่ “ฝ่าบาทเพคะ! ฝ่าบาทรีบช่วยหม่อมฉันด้วยเพคะ”
ถังกั๋วกงเองไม่ยอมถอย ขณะที่ฮ่องเต้เซี่ยเจินจ้องฮองเฮาที่มีสีหน้าเรียบนิ่งอยู่นั้น ด้านนอกก็มีเสียงของพวกเสิ่นฉางซานดังขึ้นมาจริง ๆ “ฝ่าบาท~!”
ชายชราผู้นี้มาพร้อมเสียงร้องไห้คร่ำครวญอีกแล้ว เสียงนี้ทำให้ฮ่องเต้นอนไม่หลับมาหลายวัน ในความฝันก็ยังเห็นใบหน้าแก่ชราของเสิ่นฉางซาน ที่ต้องการให้เขาออกราชโองการยอมรับผิด จะให้เขาไปที่ไท่เมี่ยว* และให้เขาไปรับไท่ซ่างหวง
* ไท่เมี่ยว (太庙) หมายถึง ศาลบูรพกษัตริย์
ทว่าตอนนี้แม้แต่เรื่องของวังหลังเขาก็ยังจะเข้ามายุ่งอีก
“นี่เป็นเรื่องในครอบครัวของข้า พวกไม่มีตาคนไหนกันที่เอาไปพูด”
ถังกั๋วกงยังคงเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง “ฝ่าบาททรงตรัสผิดแล้วพ่ะย่ะค่ะ เรื่องครอบครัวของฝ่าบาทก็คือเรื่องของบ้านเมือง ในฐานะขุนนางควรเป็นห่วงในทุก ๆ เรื่อง และตั้งใจทำทุกอย่างเพื่อแบ่งเบาภาระของฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้เซี่ยเจินเงยหน้าขึ้นด้วยความโมโห นี่เรียกว่าแบ่งเบาภาระของเขาอย่างนั้นหรือ นี่มันเพิ่มภาระให้เขาชัด ๆ!
“ฝ่าบาท ท่านเฉินอายุมากแล้ว พระองค์รีบตัดสินใจเถอะพ่ะย่ะค่ะ ไม่เช่นนั้นอีกเดี๋ยวทุกคนจะดูไม่ดีกันหมดนะพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้เซี่ยเจินถึงกับหน้ามืดขึ้นมา หากไม่ใช่เพราะที่นี่มีคนมากมายจ้องมองอยู่ล่ะก็ เขาจะจับถังกั๋วกงมาถามสักที ว่าจงใจเป็นศัตรูกับเขาใช่หรือไม่!
“ฝ่าบาท?” ถังกั๋วกงกลัวว่าฮ่องเต้จะถ่วงเวลาไปอีก จึงเงยหน้าขึ้นมองเขา
“บอกว่าข้าแทรกแซงวังหลังไม่ได้ไม่ใช่หรือ ยังจะมาถามข้าทำไมอีก?” ฮ่องเต้เซี่ยเจินโมโหอย่างมาก เขาไม่เชื่อว่าฮองเฮาจะกินหัวใจหมีดีเสือเข้าไป และกล้าทำอะไรหานกุ้ยเฟย เพราะอำนาจของตระกูลหลี่ได้พังทลายตามตำหนักบูรพาที่ถูกไฟไหม้ไปนานแล้ว หากฮองเฮารู้จักเอาตัวรอดสักหน่อย ก็ควรปล่อยผ่านไป อย่าคิดว่ามีป้ายเก้ามังกรของไท่ซ่างหวงแล้วจะมาขู่เขาที่นี่ได้
ทว่าถังกั๋วกงได้ยินประโยคนี้ก็รีบหันไปเอ่ยกับฮองเฮาทันที “ฝ่าบาททรงพระปรีชา ขอฮองเฮาทรงตัดสินด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ฮองเฮาสบตากับฮ่องเต้ พลางยกยิ้มมุมปาก “หานกุ้ยเฟยลบหลู่เบื้องสูง ไร้ความเคารพยำเกรง พูดจาหยาบคาย เหยียดหยามราชวงศ์ ปล่อยให้ทาสชั้นต่ำวางอำนาจในวัง ตามความประสงค์ของข้า ลดนางเป็นเหม่ยเหริน ยึดอำนาจดูแลวังหลัง ให้ซูเฟยและเต๋อเฟยดูแลเรื่องภายในวังหลังแทน หลังจากรับไท่ซ่างหวงกลับไปแล้วกักบริเวณหนึ่งปี ทุกวันให้คัดพระคัมภีร์ถวายไปที่ไท่เมี่ยว เพื่อเป็นการปลอบโยนบรรพชน”
จากกุ้ยเฟยลดเป็นเหม่ยเหรินที่เพิ่งเข้าวัง นี่เป็นการลดขั้นที่ไม่สามารถลดได้อีกแล้ว หากต่ำกว่านี้เช่นนั้นก็ตกต่ำกว่านางในเสียอีก
หานกุ้ยเฟยที่อยู่ในกระโจมได้ยินดังนั้นก็ตกตะลึงไปทันที นางอายุปูนนี้แล้วให้ไปเป็นเหม่ยเหริน ยังต้องคารวะพวกที่ต่ำต้อยกว่าตัวเองอีกอย่างนั้นหรือ? เช่นนั้นไม่สู้ให้นางไปตายเสียยังดีกว่า
“ฝ่าบาท~”
น่าเสียดายที่หานกุ้ยเฟยเพิ่งจะขยับ ถังกั๋วกงก็เอ่ยแทรกขึ้นมาทันที “ดูท่าหานเหม่ยเหรินคงไม่พอใจพระประสงค์ของฮองเฮา คิดว่าหลายปีมานี้ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ลบหลู่ฮองเฮาเป็นแน่ ฝ่าบาทจะขาดจริยธรรมไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้เซี่ยเจินโกรธจนตัวสั่น ฮองเฮาผู้นี้กับเขาเป็นสามีภรรยากันมาหลายปี เมื่อครู่ท่าทีของเขาหมายความว่าอย่างไรนั้น เขาไม่เชื่อว่านางจะมองไม่ออก แต่นางก็ยังทำเช่นนี้อีก!
นี่ต้องการจะเป็นศัตรูกับเขาชัด ๆ
“ข้าหลวงของตำหนักเฉิงเฉียนทั้ง ๆ ที่รู้ว่านายทำผิด แต่กลับไม่เกลี้ยกล่อมตักเตือน ลากทั้งหมดออกไป รอกลับวังแล้วให้ไปใช้แรงงาน ส่วนซุ่นไฉและสาวใช้ข้างกายสองคนให้นำตัวไปประหาร”
ฮองเฮาเอ่ยจบ ซุ่นไฉก็ตกใจจนฉี่ราดคิดจะขอร้องฮ่องเต้ แต่ถังกั๋วกงกลับเอ่ยขึ้นมา “มัวอึ้งอยู่ทำไม ไม่ได้ยินที่ฮองเฮารับสั่งหรืออย่างไร?”
ทหารองครักษ์จึงรีบเข้ามาปิดปากซุ่นไฉเอาไว้ และหิ้วคนที่เป็นแขนขาในวังหลวงของหานกุ้ยเฟยออกไป
หานกุ้ยเฟยเมื่อได้ยินคำตัดสินด้านนอก ก็หน้ามืดหมดสติไปทันที
ฉากอันวุ่นวายจบลง ฮ่องเต้เซี่ยเจินไม่แม้แต่จะมองถังกั๋วกง พลางเดินกลับไปด้วยความโมโห
…
อีกด้านหนึ่ง ภายในกระโจมขององค์ชายรอง ตัวปลอมที่เพิ่งกลับมาจากด้านนอก เมื่อเห็นเซี่ยหยางก็เอ่ยถามด้วยความนอบน้อม “องค์ชายรอง กุ้ยเฟยเกิดเรื่องแล้ว กระหม่อมควรไปคุกเข่าที่หน้ากระโจมฝ่าบาทหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
เซี่ยหยางรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นนานแล้ว ช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้หากไปขอร้องแทนหานกุ้ยเฟย มีแต่จะทำให้ฮ่องเต้เซี่ยเจินรำคาญใจ ตอกย้ำฮ่องเต้ว่าเขาไร้ความสามารถก็เท่านั้น
“ไม่ต้อง แต่ทางเสด็จแม่ให้เจ้าไปคอยปรนนิบัติ จะได้ไม่มีคนมาวิจารณ์เอาได้”
“พ่ะย่ะค่ะ แล้วทางด้านท่านมหาอัครเสนาบดี”
“ท่านตาย่อมมีแผนการของตัวเอง เจ้าเพียงทำตามที่สั่งก็พอ”
ตัวปลอมพยักหน้ารับคำและเดินออกไป เซี่ยหยางจึงได้ปาหนังสือในมือทิ้งอย่างแรง นางโง่หานกุ้ยเฟยหาเหาใส่หัวจริง ๆ ทั้งยังทำให้เขาพลอยลำบากไปด้วย เดิมฐานะของนางก็สูงที่สุดอยู่แล้ว ทว่าตอนนี้กลับกลายเป็นแค่เหม่ยเหรินคนหนึ่ง โชคดีที่นางยังมีจวนมหาอัครเสนาบดีหนุนหลังอยู่ ยังไม่ถึงขั้นล้มลงขนาดนั้น
เพียงแต่ตอนนี้อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่จะไปรับไท่ซ่างหวง นางก่อเรื่องเช่นนี้ขึ้น ไม่รู้ว่าพวกเจ้าสามและเจ้าห้าจะใช้เรื่องนี้เล่นงานเขาหรือไม่
“เด็ก ๆ”
มีคนเดินออกมาจากด้านหลังฉากบังลม “ไปสืบดูว่าฮองเฮามีป้ายเก้ามังกรตั้งแต่เมื่อใด”
…
ขณะเดียวกัน ฮ่องเต้เซี่ยเจินเมื่อกลับไปที่กระโจมก็ทำลายข้าวของในกระโจมทั้งหมด “ไป ไปตรวจสอบมาให้ข้า ฮองเฮาติดต่อกับไท่ซ่างหวงตั้งแต่เมื่อใด ป้ายเก้ามังกรนั่นหากว่าเป็นของปลอม ข้าจะสั่งปลดนางเดี๋ยวนี้!”
เจียงเต๋อรีบถอยออกไป
…
ตรงกันข้ามเมื่อหานกุ้ยเฟยถูกลดตำแหน่ง เช่นนั้นเรือนเดิมของนางก็ต้องยกให้ฮองเฮา คลื่นลมเปลี่ยนทิศภายในชั่วข้ามคืน และทุกคนต่างก็กำลังสงสัยว่าเหตุใดฮองเฮาจู่ ๆ ถึงได้เปลี่ยนไปเช่นนี้
แต่ซู่ซินกลับร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจ หลังจากปิดประตูลงก็เอ่ยกับฮองเฮาขึ้นมา “ฮองเฮา ในที่สุดพระองค์ก็คิดได้แล้ว ต่อให้ทำเพื่อพระองค์เองก็ต้องมีชีวิตที่ดีนะเพคะ จะปล่อยให้คนเหยียบย่ำง่าย ๆ ไม่ได้เด็ดขาด”
ฮองเฮาดึงมือซู่ซินมากุมไว้ น้ำตาพลันไหลออกมาทันที “ซู่ซิน อาฉือน้อยของข้ายังอยู่ อวี้เอ๋อร์ยังทิ้งสายเลือดของเขาเอาไว้ให้ข้า เขายังอยู่ ข้าจะวางใจได้อย่างไร ด้านนอกนั่นแต่ละคนล้วนแต่รอจะดูดเลือดกินกระดูกของเขาทั้งนั้น อวี้เอ๋อร์ของข้าถูกพวกเขาทำร้ายจนตายไปคนหนึ่งแล้ว ดังนั้นเลือดเนื้อเชื้อไขคนเดียวของเขา ข้าต้องปกป้องด้วยชีวิต!”
ซู่ซินรู้สึกประหลาดใจ “ฮองเฮา พระองค์ตรัสจริงหรือเพคะ?”
“เป็นความจริง น่าเสียดายที่จดหมายนั่นถูกนกตัวนั้นคาบไปแล้ว แต่ตอนนี้เขาอยู่กับเสด็จพ่อข้าก็วางใจแล้ว เสด็จพ่อรักเขาและอวี้เอ๋อร์มากที่สุด น่าแค้นใจที่เจ้าฮ่องเต้สุนัขนั่นไม่สนใจแม้แต่สายใยพ่อลูก กำจัดอวี้เอ๋อร์อย่างไร้เยื่อใย ข้าอยากจะฆ่าเขาเพื่อระบายความโกรธแค้นยิ่งนัก”
“ฮองเฮา พระดำริเช่นนี้ตรัสออกมาไม่ได้นะเพคะ”
“กลัวอะไร ตอนนี้แม้แต่ความตายข้าก็ไม่กลัวแล้ว ชีวิตของเขาข้าจะเก็บเอาไว้ก่อน รออาฉือของข้าขึ้นครองราชย์ได้อย่างราบรื่นเมื่อใด ข้าค่อยไปเอามันด้วยตัวเอง ซู่ซิน ข้าจะไม่ทำตัวหมดอาลัยตายอยากอีก และจะไม่ยอมให้คนพวกนั้นมาทำร้ายอาฉือของข้าได้อีกแล้ว ข้าจะเอาใต้หล้านี้มามอบให้เขา จากนั้นก็จะเอาฐานะฮ่องเต้คืนให้กับอวี้เอ๋อร์ เซี่ยเจิน ระหว่างเราจะได้เห็นดีกัน!”
.
.
.