เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย - บทที่ 216 ข่มขู่บ้านเจ้าน่ะสิ
บทที่ 216 ข่มขู่บ้านเจ้าน่ะสิ
วันต่อมาตอนออกเดินทาง สีหน้าบึ้งตึงของฮ่องเต้เซี่ยเจินก็ไม่ได้คลายลงเลย หานเหม่ยเหรินอับอายผู้คน ดังนั้นจึงซ่อนตัวอยู่แต่ในรถม้า ตามตำแหน่งของนาง ตอนนี้ทำได้เพียงนั่งรวมกับพวกที่เพิ่งเข้าวัง อาศัยที่มีอัครมหาเสนาบดีหานหนุนหลัง หานเหม่ยเหรินจึงไม่ได้ให้ความสำคัญกับเด็กสาวพวกนั้น
แต่อย่างไรเสียนางก็ทำใจไม่ได้อยู่ดี เมื่อมองดูราชรถของฮองเฮาอีกครั้ง เมื่อวานยังเป็นของนางอยู่เลย แต่วันนี้ขณะที่นางกำลังจะขึ้นไปก็ถูกถังกั๋วกงให้คนมาขวางเอาไว้ บอกว่าไม่เหมาะสมกับฐานะ และต่อว่านางทั้งแบบตรง ๆ และแบบอ้อมค้อม!
ฝ่าบาทก็ไม่ช่วยนาง นางจึงทำได้เพียงเก็บความแค้นนี้เอาไว้ รอรับไท่ซ่างหวงกลับมาแล้ว นางจะคืนความอัปยศทั้งหมดในวันนี้ให้กับฮองเฮาอย่างแน่นอน!
“ฝ่าบาท ด้านหน้านี้ก็เป็นตำบลฉาซู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ” เจียงเต๋อเข้ามารายงานข่าวดีให้กับฮ่องเต้เซี่ยเจินได้ทรงทราบ เพื่อไม่ให้เขาโมโหจนตายไปเสียก่อน
ฮ่องเต้เซี่ยเจินขมวดคิ้วแล้วเอ่ยขึ้น “คนที่ส่งไปสืบได้ความหรือยัง ว่าเจ้าโจรเผยยวนนั่นอยู่ที่ใด?”
“ตอนนี้ยังไม่กลับมากันเลยพ่ะย่ะค่ะ”
“ยังไม่กลับมา? มันมีปีกบินไปแล้วหรืออย่างไร?” ฮ่องเต้ยกเท้าขึ้นเตะ เจียงเต๋อจึงรีบเอ่ยด้วยรอยยิ้มประจบทันที “ฝ่าบาทเสด็จมารับด้วยพระองค์เอง คาดว่าเผยยวนนั่นก็คงไม่กล้าเป็นปฏิปักษ์กับพระองค์หรอกพ่ะย่ะค่ะ”
“เขาไม่กล้าอย่างนั้นหรือ ขนาดไม่กล้ายังพากองทัพทหารเกราะเหล็กหนีมา หากเขามีความกล้าจะไม่ขึ้นสวรรค์ไปแล้วหรืออย่างไร” ฮ่องเต้เซี่ยเจินเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ก็โมโหขึ้นมาอีก
เจียงเต๋อรีบปลอบองค์ฮ่องเต้ด้วยรอยยิ้ม โดยคาดไม่ถึงว่าคนที่พวกเขาส่งไปจะถูกคนปิดปากปิดจมูก ลากเข้าไปในพงหญ้าหมดแล้ว
…
“ฮูหยิน เชลยครั้งนี้ดีว่าครั้งก่อนอีกขอรับ เป็นถึงสายลับของราชสำนักเลยนะขอรับ”
จี้จือฮวนสวมชุดจิ้นจวง*และรองเท้ายาวที่สะดวกในการเคลื่อนไหว มัดผมหางม้าสูงไว้ที่ด้านหลัง เมื่อได้ยินเช่นนี้ก็พ่นหญ้าหางสุนัขในปากออกมา ก่อนจะลุกขึ้นมองดูเหล่าสายลับที่นอนอยู่บนพื้น พลางหรี่ตาลงก่อนจะพูดขึ้นมา “เป็นเชลยที่ดีหรือไม่ ให้ไปทำนาดูก็จะรู้เอง”
* ชุดจิ้นจวง (劲装) ชุดจีนโบราณที่เน้นความคล่องตัว ตัวชุดเข้ารูป ชายแขนเสื้อจะรวบมัดไว้กับข้อมือ
หากทำงานไม่เป็นเอาแต่กินอย่างเดียวก็ต้องฝึกอบรมคนงานกันอีก ยุ่งยากยิ่งนัก
“ไป!”
…
เดิมชาวบ้านที่สัญจรบนถนนหลวงต่างถูกคนของราชสำนักไล่ไปนานแล้ว ระหว่างทางจึงไม่พบผู้คนสัญจรผ่านไปมาแม้แต่คนเดียว แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด คนที่ส่งไปตำบลฉาซู่ก่อนหน้านี้ยังไม่มีใครกลับมาก็แล้วไป แต่ยิ่งเข้าใกล้ตัวตำบลมากเท่าใด คนที่เดินผ่านไปผ่านมากลับมากขึ้นเรื่อย ๆ
มีคนขับเกวียนวัวผ่านไปมา ทั้งยังมีฝูงเป็ด ฝูงแกะอีกมากมาย ด้วยเพราะกลัวว่าจะพบกับเหตุการณ์เช่นนี้ ดังนั้นราชสำนักจึงได้ส่งคนไปไล่ชาวบ้านก่อน เพื่อไม่ให้เป็นการลบหลู่พระเกียรติของฮ่องเต้ ทว่าสุดท้ายก็ถูกชาวบ้านชั้นต่ำเหล่านี้ขัดขวางขบวนเสด็จเข้าจนได้
ทหารองครักษ์กำลังจะเข้าไปไล่คน ทว่ากลับถูกถังกั๋วกงตะคอกขึ้นมาเสียก่อน “พวกเขาล้วนเป็นราษฎรของต้าจิ้น จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร!”
คนทั้งหมดจึงต้องรออยู่ตรงทางแยก รอเจ้าสัตว์กินหญ้านั่นกระดิกหาง อึออกมาเป็นทางแล้วเดินลงไปในนา
พวกเขาไหนเลยจะรู้ว่า นี่เป็นคนที่ไท่ซ่างหวงตั้งใจส่งมา
คนธรรมดาเมื่อเห็นขบวนเกียรติยศเช่นนี้ ต่อให้ไม่รู้ว่าเป็นฮ่องเต้ก็ไม่มีทางล่วงเกินผู้สูงศักดิ์เด็ดขาด
ขบวนเกียรติยศนี้เดิมมีความน่าเกรงขามอย่างมาก ทว่าตอนนี้ต้องเหยียบมูลแกะเพื่อเดินไปข้างหน้าต่อ ฮ่องเต้เซี่ยเจินโมโหจนพูดอะไรไม่ออก อยากจะลากคนที่รับผิดชอบออกไปตัดหัวซะ
“ถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ด้านหน้าก็เป็นตำบลฉาซู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้เซี่ยเจินตอนนี้จะมีอารมณ์มาสนใจว่าเป็นตำบลอะไรที่ไหนกัน เพราะทิวทัศน์ด้านนอกก็ดูคล้าย ๆ กันไปหมด
ยิ่งไปกว่านั้นหากให้คนรู้ว่าล้อรถม้าของฮ่องเต้เปื้อนมูลแกะ เขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ใดกัน
“รีบไป!”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เจียงเต๋อกำลังจะสั่งคนให้รีบเคลื่อนขบวนผ่านตำบลฉาซู่ไป แต่ใครจะไปคาดคิด ขณะกำลังจะลอดใต้ป้ายชื่อตำบลจะมีห่านฝูงหนึ่งเดินเรียงแถวผ่านมา นอกจากนี้ยังมีลาแคระตัวหนึ่งที่แต่งตัวฉูดฉาด เมื่อมันขยับก็มีเสียงกระดิ่งดังขึ้นมาอีกด้วย
ข้าง ๆ ลาแคระมีโรงน้ำชาชั่วคราวแห่งหนึ่ง ดูเหมือนจะมีคนนอนอยู่ในนั้น
เจียงเต๋อหรี่ตาลง “ไปดูสิว่าเป็นใคร ให้เขารีบหลีกทางไป”
ขวางทางเข้าตำบลใหญ่โตเช่นนี้ ไม่เท่ากับจะเข้าก็เข้าไม่ได้ จะออกก็ออกไม่ได้หรอกหรือ
ทหารองครักษ์รีบเดินไปที่โรงน้ำชาชั่วคราวนั่น ก่อนจะตบลงที่โต๊ะน้ำชาจนสั่นสะเทือน หนังสือที่นายอำเภอเจียงเอาปิดหน้าไว้ร่วงลงพื้นทันที เขาลืมตาขึ้นมองคนที่มาครู่หนึ่ง ก็รู้ได้ทันทีว่าราชามังกรที่รอมาถึงแล้ว น่าเสียดายที่พ่อของราชามังกรต้องการทำความสะอาดบ้าน พวกลูกปลา ลูกกุ้ง อย่างพวกเขาก็ทำได้เพียงกอดมังกรตัวใดตัวหนึ่งเอาไว้ เพราะถ้าหากเลือกทั้งสองฝ่ายต้องร่วงหล่นเป็นแน่
เมื่อคิดถึงตรงนี้ นายอำเภอเจียงก็กัดฟันพลางเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้ม “ใช่ขบวนเสด็จของฮ่องเต้หรือไม่? ผู้น้อยคือนายอำเภอของที่นี่ แซ่เจียง…”
ทหารองครักษ์กลับเอ่ยอย่างหมดความอดทนขึ้นมา “ในเมื่อรู้ว่าเป็นขบวนเสด็จของฝ่าบาท เหตุใดยังไม่รีบหลีกทางไปอีก!”
นายอำเภอเจียงลุกขึ้นยืน “พี่ชายท่านนี้อย่าได้ร้อนใจไป ข้ายังพูดไม่จบเลย ขอพี่ชายช่วยหลบไปหน่อย”
ทหารองครักษ์มีสีหน้างุนงง ก่อนจะเห็นนายอำเภอเจียงเดินไปตรงฆ้องที่อยู่ข้าง ๆ หลังจากออกแรงตีแล้วก็เอ่ยเสียงดังขึ้นมา “ไท่ซ่างหวงมีราชโองการ โปรดคุกเข่าเพื่อรับราชโองการ!”
เสียงที่ดังกังวานนี้ นายอำเภอเจียงฝึกฝนที่บ้านอยู่หลายครั้งทีเดียว! ต้องตะโกนจนคนพวกนี้ตัวสั่นเทาถึงจะดี
ผู้คนที่เดิมง่วงงุนอยู่ในรถม้าเมื่อได้ยินเสียงตีฆ้องก็ตกใจตื่นขึ้นมาทันที
ใคร ราชโองการของใคร?
“ไท่ซ่างหวง ของไท่ซ่างหวง”
ไม่รู้ว่าใครเป็นคนตะโกนขึ้นมา ทว่าแต่ละคนก็รีบลงมาจากรถม้าและคุกเข่าลงกับพื้นเป็นกลุ่มใหญ่อย่างรวดเร็ว
ทางด้านตำบลฉาซู่ นายอำเภอเจียงได้แจ้งล่วงหน้าแล้วว่าไม่มีเรื่องอะไรห้ามออกมาด้านนอก หากล่วงเกินอะไรเข้าต้องรับผิดชอบเอง ดังนั้นบนถนนจึงไม่มีใครสัญจรผ่านไปผ่านมา และเขาจะได้สะดวกเล่นใหญ่ด้วย
ภายในรถม้า ฮ่องเต้เซี่ยเจินลืมตาขึ้น “ด้านนอกพูดว่าอะไรนะ?”
เจียงเต๋อเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก “ราชโองการของไท่ซ่างหวงพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้เซี่ยเจินคิดไม่ถึง “ไม่มีทาง! เสด็จพ่อถูกเผยยวนจับตัวเอาไว้ ราชโองการนี้เป็นของเผยยวนหรือเป็นของไท่ซ่างหวงนั่นก็ยังไม่แน่!”
ในตอนนั้นเอง ก็มีเสียงของฮองเฮาที่อยู่ด้านนอกรถม้าเอ่ยขึ้นมาเสียงดังฟังชัด “ขอเชิญฝ่าบาทลงจากรถม้า คุกเข่ารับราชโองการของเสด็จพ่อด้วยเพคะ”
ฮ่องเต้เซี่ยเจินจึงได้สติขึ้นมา นี่ฮองเฮาตั้งใจจะเป็นปฏิปักษ์กับเขาจริง ๆ ใช่หรือไม่! ไท่ซ่างหวงจะส่งคนเช่นนี้มาประกาศราชโองการอย่างนั้นหรือ?
แต่เขายังไม่สามารถอาละวาดตอนนี้ได้ หากยังไม่ลงจากรถม้าอีก เดี๋ยวเสิ่นฉางซานก็จะต้องมาร้องไห้คร่ำครวญตรงหน้าเขา ให้สื่อกวน**มีเรื่องให้บันทึกลงไปอีก
** สื่อกวน (史官) หน่วยงานที่ทำหน้าที่บันทึกประวัติศาสตร์
คิดถึงอะไรก็ได้อย่างนั้น เสียงร้องไห้ของเสิ่นฉางซานก็ดังขึ้นมาจริง ๆ
ฮ่องเต้เซี่ยเจินตกใจจนรีบลงมาจากรถม้า ก่อนจะถลึงตาใส่ฮองเฮาไปหนึ่งทีแล้วเอ่ยขึ้นมา “ไปเรียกอัครมหาเสนาบดีหานและขุนนางเก่าแก่มา ไปดูก่อนว่าราชโองการนั่นเป็นของจริงหรือของปลอม”
ฮ่องเต้เซี่ยเจินไม่เชื่อว่าราชโองการนั่นจะเป็นของจริง
เหล่าขุนนางเองก็สงสัยเช่นกัน นายอำเภอเจียงรู้ถึงปัญหานี้อยู่ก่อนแล้ว ดังนั้นไท่ซ่างหวงจึงได้เตรียมกระดาษมาหนึ่งกล่องใหญ่ทีเดียว พิสูจน์เถอะ พิสูจน์ให้เต็มที่ไปเลย อย่างไรซะก็เป็นไท่ซ่างหวงที่เป็นคนเล่นงานลูกชายตัวเองอยู่ดี
เมื่อเห็นพวกอัครมหาเสนาบดีหานเดินมา นายอำเภอเจียงก็คิดว่าชาตินี้อย่างน้อยตนก็สามารถกลั่นแกล้งทำให้ฮ่องเต้และอัครมหาเสนาบดีหานลำบากได้ ต่อให้จะไม่ได้เลื่อนขั้นก็ต้องสลักเอาไว้บนป้ายหลุมศพอยู่ดี
เขาส่งกล่องที่ไท่ซ่างหวงมอบให้ด้วยรอยยิ้ม “เชิญใต้เท้าทุกท่านตรวจสอบอย่างละเอียดได้เลยขอรับ”
อัครมหาเสนาบดีหานนำกล่องใบนั้นส่งให้คนข้าง ๆ ก่อนจะเอ่ยปากถาม “ไม่ทราบว่านายอำเภอเจียงได้รับราชโองการของไท่ซ่างหวงเมื่อใด และไท่ซ่างหวงตอนนี้อยู่ที่ใดอย่างนั้นหรือ?”
นายอำเภอเจียงหลับตาลง พร้อมกับทำปากจู๋และส่ายนิ้วไปมา พลางเอ่ยขึ้น “บอกมิได้ ๆ”
อัครมหาเสนาบดีหานจึงแค่นเสียงเย็นออกมา คนในตำบลฉาซู่ไปกินหัวใจหมีดีเสือกันมาหรืออย่างไร ถึงได้มีความกล้าเพียงนี้
อัครมหาเสนาบดีหานดึงจดหมายที่เป็นลายมือของไท่ซ่างหวงที่อยู่ในกล่องออกมา จากนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที ลายมือของไท่ซ่างหวงมีพลังและชดช้อย หากเป็นขุนนางเก่าแก่ไม่มีใครที่จำไม่ได้อย่างแน่นอน แม้แต่คนที่รับผิดชอบแช่พู่กันให้ไท่ซ่างหวงเมื่อก่อน ก็มองไม่ออกว่ามีการปลอมแปลงแม้แต่น้อย
ยิ่งไปกว่านั้นยังมีตราประทับส่วนพระองค์ของไท่ซ่างหวงด้วย
“ไท่ซ่างหวงกับเจ้า ถูกเผยยวนข่มขู่หรือ? บอกข้ามาตามตรง!” อัครมหาเสนาบดีหานตะคอกออกมาเสียงเข้ม
นายอำเภอเจียงยิ้มจนตาหยี พลางยื่นมือล้วงเอาจดหมายออกมา ทว่ายังมีกระดาษอีกสองสามแผ่นเหลืออยู่ที่ด้านล่างกล่องใส่ราชโองการ เมื่อใต้เท้าทุกท่านได้อ่านก็มีสีหน้าที่แตกต่างกันไป
โดยบนนั้นเขียนเอาไว้ว่า ‘ข่มขู่บ้านเจ้าน่ะสิ!’
.
.
.