เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย - บทที่ 221 อยากเข้าหมู่บ้านตระกูลเฉิน เป็นขุนนางขั้นหนึ่งหรือไม่
- Home
- เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย
- บทที่ 221 อยากเข้าหมู่บ้านตระกูลเฉิน เป็นขุนนางขั้นหนึ่งหรือไม่
บทที่ 221 อยากเข้าหมู่บ้านตระกูลเฉิน เป็นขุนนางขั้นหนึ่งหรือไม่?
บนเส้นทางเล็ก ๆ จากตำบลฉาซู่ไปยังหมู่บ้านตระกูลเฉิน
ลาแคระเดินนำอยู่ด้านหน้า เสียงกระดิ่งนั่นฟังแล้วทำให้คนรู้สึกหงุดหงิดยิ่งนัก ฮ่องเต้เซี่ยเจินที่เดินสามก้าวคุกเข่าคำนับหนึ่งครั้ง หมดเรี่ยวแรงและตาลายตั้งนานแล้ว แม้แต่ทางข้างหน้าก็เริ่มจะมองเห็นไม่ชัดเข้าไปทุกที แต่นายอำเภอเจียงบัดซบนั่น ไม่รู้ว่าไปล้วงดอกไม้สีแดงขนาดใหญ่สองดอกจากไหนมาวางไว้ข้าง ๆ เขา
“ฝ่าบาท พยายามเข้านะพ่ะย่ะค่ะ ไท่ซ่างหวงรอพระองค์อยู่ด้านหน้านี้แล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
ฮ่องเต้เซี่ยเจินขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ประโยคนี้เจ้าพูดมาตั้งแต่เมื่อสามชั่วยามก่อนแล้ว!”
ที่น่าแค้นใจยิ่งกว่าก็คือเดินสามก้าวคุกเข่าคำนับหนึ่งครั้ง เมื่อใดจะเดินไปถึงกัน!!!
ไท่ซ่างหวงอยู่ที่ใด! อยู่ที่ใดกันแน่!
เกรงว่าคงใกล้จะได้พบต้าหลัวจินเซียนแล้วกระมัง! ส่วนเจ้าขุนนางต๊อกต๋อยสมควรตายนี่ ฮ่องเต้เซี่ยเจินอยากจะชักกระบี่ออกมาฟันเขาให้ตายไปซะ
นายอำเภอเจียงเอ่ยด้วยสีหน้าเป็นกังวลขึ้นมา “ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ พระองค์คุกเข่ามาครึ่งทางแล้ว อีกเดี๋ยวราษฎรทั้งใต้หล้าก็จะได้รู้ถึงความกตัญญูของพระองค์แล้ว พระองค์จะล้มเลิกกลางทางไม่ได้เด็ดขาดนะพ่ะย่ะค่ะ”
เซี่ยเจินรู้สึกท้อแท้ เขาอายุปูนนี้แล้ว เป็นปู่คนแล้ว! ยังให้เขามาคุกเข่าไปเดินไปเช่นนี้ กว่าเขาจะได้พบเสด็จพ่อ เกรงว่าเสด็จพ่อคงจะต้องเป็นคนแก่ผมขาวทั้งหัว ที่มาส่งศพคนผมขาวครึ่งหัวอย่างเขาเสียแล้ว!
เซี่ยเจินหอบหนัก ๆ และเอ่ยออกมา “ไปเรียกอัครมหาเสนาบดีหานมา”
อัครมหาเสนาบดีหานจึงรีบนำคนเข้ามา “ฝ่าบาท”
“เจ้าพาคนไปตรวจสอบด้านหน้า ว่ามีเบาะแสของไท่ซ่างหวงหรือไม่ หากว่าไม่มี…” ฮ่องเต้เซี่ยเจินจ้องหน้านายอำเภอเจียง เขาจะสับเจ้าขุนนางลาผู้นี้เป็นชิ้น ๆ รวมถึงเจ้าลาตัวนี้ด้วย! จับลงหม้อกินให้หมดเลย!
อัครมหาเสนาบดีหานเองก็สงสัยเช่นกัน หากให้คนทั้งใต้หล้ารู้ว่า ขุนนางทั้งราชสำนักถูกนายอำเภอขั้นเจ็ดคนหนึ่งหลอกเข้า ฆ่าเขาเป็นเรื่องเล็ก แต่ทำให้ทุกคนหัวเราะเยาะต้าจิ้นต่างหากที่เป็นเรื่องใหญ่
“พ่ะย่ะค่ะ”
นายอำเภอเจียงเห็นอัครมหาเสนาบดีหานพาคนไปที่หมู่บ้านตระกูลเฉินก่อนก็ถูคางเล็กน้อย ก่อนจะทำได้เพียงล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมา “อัครมหาเสนาบดีหาน รักษาเนื้อรักษาตัวให้ดีนะขอรับ”
อัครมหาเสนาบดีหานไม่ได้สนใจเขา รักษาเนื้อรักษาตัวอะไรกัน! เป็นห่วงชีวิตน้อย ๆ ของตัวเองก่อนเถอะ
นายอำเภอเจียงเห็นท่าทางของอัครมหาเสนาบดีหาน ก็รู้ว่าเขาไม่ได้ใส่ใจคำพูดของตนเลย
ช่างเถอะ สิ่งที่ควรพูดก็พูดไปแล้ว ไม่ใช่ว่าเขาไม่เตือนนะ
เมื่อเห็นอัครมหาเสนาบดีหานพาคนเดินนำไปก่อนแล้ว นายอำเภอเจียงก็หยิบดอกไม้สีแดงเล็ก ๆ สองดอกออกมา พลางนั่งยอง ๆ มองฮ่องเต้เซี่ยเจินด้วยรอยยิ้ม “ฝ่าบาท พยายามเข้านะพ่ะย่ะค่ะ!”
ฮ่องเต้เซี่ยเจิน “…”
(╯‵□′)╯
เดิมก็เดินทางมาถึงครึ่งทางแล้ว แต่เนื่องจากฮ่องเต้เซี่ยเจินต้องคุกเข่าคารวะไปด้วย จึงทำให้การเดินทางล่าช้า ตอนที่อัครมหาเสนาบดีหานขี่ม้าและนำคนมา ไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็เห็นหมู่บ้านที่คึกคักแห่งหนึ่งแล้ว แผ่นป้ายที่ประตูล้วนเป็นของใหม่ ยังมีสิงโตหินด้วย ทุ่งนามีการเพาะปลูก ชายฉกรรจ์เดินเป็นแถว พวกผู้หญิงนั่งอยู่รอบ ๆ บ่อน้ำที่ใต้ต้นไม้กำลังพูดคุยและทำเสื้อผ้ากันอยู่
มีโต๊ะตัวหนึ่งวางอยู่ข้างถนน มีชายชราร่างเล็กสวมหมวกฟางและชุดพอดีตัวนอนอยู่ตรงนั้น ข้าง ๆ ยังมีสุนัขสีเหลืองตัวใหญ่ถูกมัดเอาไว้ และกำลังใช้หางไล่แมลงวันออกไปอย่างเบื่อหน่าย
อัครมหาเสนาบดีหานส่งสัญญาณให้คนที่อยู่ข้างกายเข้าไปถามว่าที่นี่คือที่ใด
“นี่! นี่!” ราชองครักษ์ตบโต๊ะสองครั้ง
เฉินฉือลืมตาขึ้น และเปิดหมวกฟางออก พลางหรี่ตาตี่ ๆ แล้วถามขึ้น “ทำอะไรกัน?”
ราชองครักษ์ไม่คิดว่าจะมีชาวบ้านที่ตาบอดเช่นนี้ ดูจากจำนวนคนในหมู่บ้านแห่งนี้ก็ถือว่าเป็นหมู่บ้านใหญ่ เหตุใดถึงได้ไร้ระเบียบเพียงนี้ ไม่เห็นว่าเขาสวมเครื่องแบบทหารหรืออย่างไร? ขนาดคนรับใช้ของขุนนางทั่วไปเห็นแล้วยังต้องเรียกว่านายท่านเลย ทว่าเจ้าคนผู้นี้กลับทำท่าทางเช่นนี้ใส่เขาอย่างนั้นหรือ?
“ไม่ได้ยินที่นายทหารถามหรืออย่างไร? ยังไม่รีบลุกขึ้นมาอีก!” ราชองครักษ์วางอำนาจในฐานะขุนนาง
เฉินฉือเบ้ปากใส่ พลางชี้ไปที่แผ่นป้ายไม้ที่อยู่ข้าง ๆ “ดูเอาเอง!”
จากนั้นเขาก็เอาหมวกฟางปิดหน้าอีกครั้ง เสียเวลาคนอาบแดด น่ารำคาญจริง ๆ
ราชองครักษ์มองดูป้ายไม้นั่น ด้านบนเขียนเอาไว้ว่า ‘ไม่ใช่ขุนนางขั้นหนึ่งไม่ให้เข้า’
นี่มันหมู่บ้านอะไรกัน? เป็นบ้ากันไปหมดแล้วหรืออย่างไร!
“ว่าอย่างไรบ้าง เหตุใดแค่ไปสอบถามถึงได้นานเพียงนี้” อัครมหาเสนาบดีหานเอ่ยด้วยความหงุดหงิด
ราชองครักษ์กลับมาและเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เขาฟัง อัครมหาเสนาบดีหานจึงสังเกตดูหมู่บ้านแห่งนี้อีกครั้ง แม้ว่าจะดูมีคนอาศัยอยู่จำนวนมาก แต่ละคนต่างทำหน้าที่ของตัวเอง อีกทั้งชายฉกรรจ์เหล่านั้นก็ดูไม่เหมือนชาวนาในชนบทเลยสักนิด แววตาไม่มีท่าทีหวั่นเกรงเลยแม้แต่น้อย
แต่คนที่ทำงานในนานั่น เหตุใดถึงมีผิวที่บอบบางเนียนนุ่มเช่นนั้นได้เล่า?
อัครมหาเสนาบดีหานอายุมากแล้ว สายตาอาจมองเห็นไม่ชัดเจน ดังนั้นเขาจึงลงจากม้าและเดินไปตรงหน้าเฉินฉือ “ไม่ใช่ขุนนางขั้นหนึ่งไม่ให้เข้า?”
เฉินฉือแง้มหมวกฟางขึ้นเล็กน้อย พิจารณาอัครมหาเสนาบดีหานตั้งแต่หัวจรดเท้า “ใช่ แล้วเจ้ามีตำแหน่งอะไร?”
อัครมหาเสนาบดีหานปัดชุดขุนนางเล็กน้อย “หานเหล่ย อัครมหาเสนาบดีคนปัจจุบัน”
เฉินฉือจึงลุกขึ้นหยิบพู่กันเก่า ๆ กับกระดาษขาด ๆ บนโต๊ะออกมา “อัครมหาเสนาบดีใหญ่เพียงใด ใช่ขั้นหนึ่งหรือไม่?”
หากต่ำกว่านี้สำหรับหมู่บ้านตระกูลเฉินไม่มีค่าพอให้สนใจ อยากเข้าไปอย่างนั้นหรือ ต้องต่อแถวก่อน
อัครมหาเสนาบดีหานเกือบสำลักน้ำลายตาย “ขุนนางขั้นหนึ่งระดับล่าง”
เฉินฉือขมวดคิ้ว “เช่นนั้นเจ้ามาทำไม ฐานะยังต่ำไปอยู่ไม่ใช่หรือ!”
อัครมหาเสนาบดีหานหรี่ตาลง คิดจะตะคอกออกไปว่า ‘บังอาจ’ อาฝูก็บังเอิญเอาน้ำชามาส่งให้เฉินฉือพอดี เมื่อเห็นอัครมหาเสนาบดีหานก็เอ่ยถามขึ้นมา “ท่านปู่ นี่ผู้ใดหรือขอรับ?”
เฉินฉือเบ้ปากเล็กน้อย “ใครจะไปรู้ว่าเขาเป็นใครกัน”
เขารู้แค่จางกงกงสั่งเอาไว้ว่า นอกจากขุนนางขั้นหนึ่ง คนอื่น ๆ ล้วนต้องคุกเข่าอยู่ที่ทางเข้าหมู่บ้าน
อัครมหาเสนาบดีหานเลิกคิ้วขึ้น ก่อนจะเอ่ยอย่างหมดความอดทน “ท่านผู้เฒ่า ข้าเพียงอยากถามว่าที่นี่คือที่ใด”
“หมู่บ้านตระกูลเฉินน่ะสิ ป้ายนั่นเขียนอยู่ไม่ใช่หรืออย่างไร?” ไม่ลืมตาดูเสียบ้าง ไท่ซ่างหวงเขียนด้วยพระองค์เองเชียวนะ!
อัครมหาเสนาบดีหานจึงเงยหน้าขึ้นมองอย่างชัด ๆ อีกครั้ง ก็พบว่าบนซุ้มประตูยังมีดอกไม้ที่ทำจากผ้าลายดอกขนาดใหญ่จำนวนมาก ทั้งสีแดง สีม่วง สีเหลือง สีเขียวติดอยู่ ไหนเลยจะสังเกตเห็นว่าเขียนตัวอะไรเอาไว้ แค่รู้สึกว่าเกิดมาไม่เคยเห็นป้ายที่อัปลักษณ์เช่นนี้มาก่อน
แต่ว่าตัวอักษรบนนั้น…
อัครมหาเสนาบดีหานตกใจขึ้นมาทันที ก่อนจะรีบเอ่ยออกมา “ท่านผู้เฒ่า ที่นี่มีชายชราท่าทางสง่างาม…”
“ไม่รู้ ไม่รู้จัก ไม่อยากพูด” เฉินฉือรีบปฏิเสธทันควันสามครั้งติด แสดงให้เห็นว่าไม่อยากสนใจเขา
อาฝูยกน้ำชาวางลง จากนั้นก็ได้ยินอัครมหาเสนาบดีหานแค่นเสียงเย็น พลางพูดออกมา “ข้าว่าเจ้า สุราคำนับไม่ดื่ม ชอบดื่มสุราลงทัณฑ์*”
* สุราคำนับไม่ดื่ม ชอบดื่มสุราลงทัณฑ์ (敬酒不吃吃罚酒) เป็นสำนวนหมายความว่า พูดดี ๆ ไม่ชอบ ชอบให้ใช้ไม้แข็ง
อาฝูได้ยินดังนั้นก็ตะโกนเสียงดังไปทางด้านหลังของตัวเอง “มีคนมาหาเรื่องแล้ว!”
ท่านป้าที่อยู่รอบ ๆ บ่อน้ำรีบลุกขึ้นยืน พลางตะโกนไปทางด้านหลัง “มีคนมาหาเรื่องแล้ว!”
“มา! หา! เรื่องแล้ว!”
เพียงพริบตาก็มีคนจำนวนมากโผล่ออกมาจากทุกซอกทุกมุมของหมู่บ้าน และมองไปที่อัครมหาเสนาบดีหานเป็นตาเดียวกัน
อัครมหาเสนาบดีหานก้าวถอยหลังด้วยความตกใจ ก่อนจะกระแอมในลำคอและเอ่ยออกมา “เด็กน้อยอย่าพูดจาเหลวไหล ข้าเพียงแค่จะถามทางเท่านั้น”
“เจ้าเป็นคนพูดเองว่าพวกเราเป็นพวกสุราคำนับไม่ดื่ม ชอบดื่มสุราลงทัณฑ์ ตอนที่เชลยของพวกเราเพิ่งมาถึง คนในหมู่บ้านล้วนพูดถึงพวกเชลยเช่นนี้กัน ต้องไม่ใช่พวกที่มีเจตนาดีอย่างแน่นอน หากเจ้าจะสมัครเป็นเชลยก็ลงชื่อ แต่ถ้าจะหาเรื่องพวกเราก็จะไม่เกรงใจอีก” อาฝูพับแขนเสื้อขึ้นทันที!
“สู้ก็สู้ ท่านอัครมหาเสนาบดีขอรับ ภูผาวารีที่ยากแค้นหล่อเลี้ยงพวกดื้อด้าน**เช่นนี้จะเป็นการทำให้พวกเขาได้ใจและโอหัง แถมบั่นทอนศักดิ์ศรีของพวกเรานะขอรับ” ราชองครักษ์ทนไม่ไหวอีกแล้ว
** ภูผาวารีที่ยากแค้นหล่อเลี้ยงพวกดื้อด้าน (穷山恶水出刁民) เปรียบเปรยว่าสภาพแวดล้อมที่ไม่ดีอาจส่งผลต่อนิสัยใจคอของผู้ที่อยู่อาศัยได้
“ไอ้หยา ช่างมีอำนาจเสียเหลือเกิน” จางตงไหลเดินออกมาจากห้องเล็ก ก่อนมองอัครมหาเสนาบดีหานยิ้ม ๆ “ไม่พบกันเสียนาน ท่านอัครมหาเสนาบดีอวดเบ่งถึงที่นี่เชียวหรือ เอาล่ะ ทุกคนกลับไปได้แล้ว นับว่าเป็นคนที่รู้จักกันดี”
ทุกคนจึงถอยกลับไปโดยพร้อมเพรียงกัน
อัครมหาเสนาบดีหานร่างกายสั่นเทา และรีบคารวะทันที “จางกงกง”
ดูท่าไท่ซ่างหวงคงจะอยู่ที่นี่จริง ๆ เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะมาไม้ไหน ส่วนคนเหล่านี้ก็คือกองทัพทหารเกราะเหล็กที่เผยยวนพาไปด้วยอย่างนั้นหรือ?
.
.
.