เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย - บทที่ 222 ยุ่งเรื่องของตัวเองก็พอแล้ว
- Home
- เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย
- บทที่ 222 ยุ่งเรื่องของตัวเองก็พอแล้ว
บทที่ 222 ยุ่งเรื่องของตัวเองก็พอแล้ว
จางตงไหลก็ไม่มีทีท่าจะบอกให้เขาลุกขึ้นแต่อย่างใด พลางหันไปเอ่ยกับอาฝูแทน “อาฝูเอ๊ย บอกกฎให้ท่านปู่ท่านนี้ทราบหน่อยสิ”
อาฝูนึกสงสัยอยู่ในใจ บอกไปรอบหนึ่งแล้วยังต้องบอกอีกหรือ? เหตุใดความจำถึงแย่เพียงนี้กันนะ!
เจ้าตัวเล็กตบโต๊ะอย่างหมดความอดทน อัครมหาเสนาบดีหานเงยหน้าขึ้นมองเขา แต่ไม่อาจแสดงท่าทีโมโหต่อหน้าจางตงไหลได้ จึงโค้งตัวลงอย่างนอบน้อม
ตามหลักแล้วเขาไม่จำเป็นต้องเคารพจางตงไหลเพียงนี้ แต่ล่วงเกินผู้ใดก็ไม่สามารถล่วงเกินขันทีได้ สถานการณ์ปัจจุบันต่อให้จะไม่สามารถดึงจางตงไหลมาเป็นพวกได้ ก็ไม่ควรจะเป็นศัตรูกับเขา เพื่อเลี่ยงไม่ให้เป็นการสร้างศัตรูเพิ่มอีกคนหนึ่ง
หานเหล่ยเป็นคนที่มีความอดทนสูงมาโดยตลอด ซึ่งจางตงไหลก็คาดเอาไว้เช่นกันว่าหานเหล่ยจะทำเช่นนี้ ดังนั้นจึงขี้เกียจจะบอกเขาว่าไม่ต้องมากพิธี เพราะตนเป็นเพียงคนรับใช้คนหนึ่งรับการคารวะเช่นนี้ไม่ไหว
“บอกแล้วว่าขุนนางขั้นหนึ่งถึงจะสามารถเข้าไปได้ ฐานะของเจ้ายังไม่ถึง เหตุใดถึงไม่รู้กฎระเบียบเพียงนี้กัน”
หานเหล่ยเอ่ยด้วยรอยยิ้มกับอาฝู “เช่นนั้นยื่นรายชื่อและเข้าแถวรอ จะได้เข้าพบหรือไม่?”
สิ่งนี้อยู่นอกเหนือจากสิ่งที่อาฝูรับรู้มา ดวงตาเล็ก ๆ ของเขากลอกไปมา ก่อนจะเกาหัวแล้วมองไปทางจางตงไหล จางตงไหลก็แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น
อาฝูเบะปากเล็กน้อย “เช่นนั้นเจ้ารอก่อน ข้าจะลงชื่อให้เจ้า”
หลานชายของอัครมหาเสนาบดีหานอยู่ในวัยเดียวกับอาฝูสามารถอ่านออกเขียนได้และเข้าใจหลักเหตุผลตั้งนานแล้ว ดังนั้นอัครมหาเสนาบดีหานจึงไม่สงสัยอะไร เพราะคนที่สามารถอยู่ข้างกายไท่ซ่างหวงได้ คิดว่าก็คงไม่ใช่ชาวนาธรรมดา
ทว่าอาฝูกลับกัดด้ามพู่กัน พลางจ้องกระดาษเก่า ๆ นั่นอยู่เป็นเวลานาน แล้วจึงเอ่ยประโยคหนึ่งออกมา “คำว่าหานเขียนอย่างไร?”
อัครมหาเสนาบดีหานเกือบจะหายใจไม่ออก มุมปากกระตุกเล็กน้อยพลางเอ่ยขึ้นมา “น้องชาย เจ้าเขียนไม่เป็นอย่างนั้นหรือ?”
คงไม่ได้จงใจแกล้งเขาหรอกกระมัง?
อาฝูหน้าแดงขึ้นมา “ข้าเพิ่งจะเรียนถึงต้าเสี่ยวเทียน! ใครบอกว่าข้าเขียนไม่เป็น! เจ้ารอก่อน!”
อาฝูเอ่ยจบก็รีบไปเรียกพวกเสี่ยวฮุยมา ต้องมีสักคนที่เขียนได้กระมัง!
อัครมหาเสนาบดีหานเห็นเขาวิ่งออกไปไกลแล้ว ก็มองไปทางเฉินฉือ ทว่ากลับได้ยินเสียงกรนของเขาแทน…
อัครมหาเสนาบดีหาน “…”
ราชองครักษ์ “…”
คนที่ไม่ไว้หน้าอัครมหาเสนาบดีหานเช่นนี้ พวกเขาก็เพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรก
จางตงไหลจึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ผู้คนที่นี่เป็นคนซื่อ ๆ และเรียบง่าย ท่านอัครมหาเสนาบดีเข้าเมืองตาหลิ่ว ก็ต้องหลิ่วตาตาม ดังนั้นหากจะไม่คุ้นเคยบ้างก็เป็นเรื่องปกติ”
ซื่อ ๆ ที่ใดกัน นี่มันกำเริบเสิบสานชัด ๆ!
“จางกงกงพูดถูกแล้ว ข้าจะอดทนรออยู่ที่นี่ก็ได้ขอรับ”
จางตงไหลพยักหน้ารับรู้ “เช่นนั้นท่านก็รอไปก่อนนะ พวกเราก็เป็นแขกเช่นกัน ไม่สามารถตัดสินใจเองได้”
อัครมหาเสนาบดีหานเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ขอเพียงทราบว่าไท่ซ่างหวงทรงปลอดภัยดี มีพระพลานามัยแข็งแรง ฝ่าบาทและขุนนางทุกคนก็วางใจแล้ว เรื่องแค่นี้ไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไรขอรับ”
จางตงไหลหรี่ตาลง เผยรอยยิ้มหยอกล้อออกมา “เช่นนั้นอัครมหาเสนาบดีหานคงสมปรารถนาแล้ว เพราะพระวรกายของไท่ซ่างหวงแข็งแรงดีทีเดียว”
จะว่าไปแล้วแม่นางจี้ช่างเก่งจริง ๆ นอกจากฝีมือการแพทย์จะดีแล้ว ไท่ซ่างหวงยังกินอาหารได้เอร็ดอร่อยทุกวันไม่บ่นว่ายาขมอีก ปากนั่นก็รอแต่จะกินข้าว ตอนนี้พาเป็ดไปเดินรอบหมู่บ้านสองรอบรวดเดียวก็ยังไม่บ่นเหนื่อยเลย
ไม่เห็นแม่นางจี้จะต้มยาขมอะไรนั่นเลย แต่สิ่งที่น่าแปลกก็คือเมื่อกินยาสูตรของนางแล้ว ร่างกายกลับสบายขึ้น รอยเหี่ยวย่นก็น้อยลงด้วย!
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เขาอาศัยใบบุญของไท่ซ่างหวง อยู่ต่อไปอีกยี่สิบกว่าปีก็ไม่มีปัญหา!
รับรองว่าได้เห็นพระราชนัดดากลายเป็นหวงไท่ซุน และขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้ได้อย่างแน่นอน!
อัครมหาเสนาบดีหานรออยู่ที่ทางเข้าหมู่บ้านได้ครู่หนึ่ง หนึ่งในราชองครักษ์ก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป “ท่านอัครมหาเสนาบดี พวกเราเข้าไปกันเถอะขอรับ ในเมื่อทราบแล้วว่าไท่ซ่างหวงทรงอยู่ด้านใน พวกเราก็แค่พาไท่ซ่างหวงกลับไปเท่านี้ก็จบแล้วมิใช่หรือขอรับ”
อัครมหาเสนาบดีหานปรายตามองเขา “เจ้าชื่ออะไร”
“ผู้น้อยอู๋อวี่ขอรับ”
“เจ้ามีสิทธิ์มาสอนข้าว่าควรทำอะไรตั้งแต่เมื่อใดกัน?”
อู๋อวี่ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา ความคิดที่เขาเสนอไปไม่ดีกว่าการยืนรออยู่ที่นี่หรืออย่างไร? พวกชาวนาบ้านนอกกลุ่มหนึ่ง มีอะไรต้องให้เกียรติพวกเขากัน อัครมหาเสนาบดีหานไม่ฟังที่เขาพูด คนที่ต้องลำบากก็คือตัวเขาเองนั่นแหละ
อู๋อวี่คิดได้ดังนั้นก็ไปยืนอยู่อีกด้านหนึ่ง ตั้งใจว่าอีกเดี๋ยวเจ้าเด็กผีนั่นออกมา จะให้ขุนนางบุ๋นผู้นั้นรู้ว่าขุนนางบู๊ก็มีวิธีการของตัวเองเช่นกัน พินอบพิเทาอยู่อย่างนี้มีประโยชน์อันใดกัน ใครพาไท่ซ่างหวงไปได้ก่อน ก็ถือว่าเป็นคนที่สร้างผลงาน
อัครมหาเสนาบดีหานไม่รู้ว่าอู๋อวี่กำลังคิดอะไร แต่เขากำลังลอบประเมินอยู่ในใจ ดูท่าทุกคนคงจะคิดผิดแล้ว คิดว่าเผยยวนเป็นคนลักพาตัวไท่ซ่างหวง แต่ดูแล้วคงเป็นไท่ซ่างหวงที่เป็นคนอยู่เบื้องหลังต่างหากเล่า
คดีของอดีตองค์รัชทายาท เดิมไท่ซ่างหวงก็ไม่พอใจผลลัพธ์อยู่แล้ว หลังกลับไปเมืองหลวงก็ทรงกริ้วเป็นอย่างมาก บวกกับตำหนักบูรพาถูกไฟไหม้จนวอดทั้งหลัง ทำให้ทรงเสียพระทัยอย่างมากจึงออกจากเมืองหลวงไป เพราะเหตุนี้ทำให้พระวรกายย่ำแย่ลง หมอหลวงยังบอกด้วยว่าจะอยู่ได้อีกไม่กี่เดือนแล้ว
เป็นไปได้ที่เผยยวนอาจจะรู้อะไรบางอย่าง และไท่ซ่างหวงต้องการทรมานฝ่าบาทเพื่ออดีตองค์รัชทายาทในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่?
แต่เขาทำเพื่ออะไรกัน เช่นนี้ก็มีแต่จะทำให้พ่อลูกผิดใจกัน อดีตองค์รัชทายาทก็ไม่มีผู้สืบทอดแล้วนี่นา
อัครมหาเสนาบดีหานไม่ว่าจะคิดเช่นไรก็ไม่เข้าใจ
“พวกเจ้าจะลงชื่อใช่หรือไม่?” มีเสียงเด็กน้อยดังขึ้น
อัครมหาเสนาบดีหานจึงหันไปมอง “ถูกต้อง”
คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเป็นพวกหลี่ต้าจ้วง เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้อาฝูไม่กล้าไปเรียกลูกพี่อินกับอาชิง ดังนั้นจึงเรียกคนที่อยู่ในระดับเดียวกันอย่างหลี่ต้าจ้วงมาแทน
“เจ้าเขียนตัวนั้นเป็นหรือไม่?” อาฝูกระซิบถาม
หลี่ต้าจ้วงปัดมือไปมา “กลัวอะไร ดูข้านะ”
เขาขีดเขียนลงบนกระดาษสามสี่ขีด ตะพาบน้ำขนาดใหญ่ตัวหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า “ประทับลายนิ้วมือซะ”
อัครมหาเสนาบดีหานมองดูแล้ว ก็หนังตากระตุกขึ้นมาทันที!
อู๋อวี่รู้อยู่แล้วว่าผลลัพธ์ต้องออกมาเช่นนี้ สุดท้ายก็ต้องใช้วิธีของเขา!
“เด็กผีอย่างพวกเจ้าช่างกล้าดียิ่งนัก ใครอนุญาตให้พวกเจ้ามาขวางทางเข้าหมู่บ้านกัน? หมู่บ้านอื่น…”
หลี่ต้าจ้วงไม่รอให้เขาเอ่ยจบ “เช่นนั้นเจ้าก็ไปหมู่บ้านอื่นสิ”
“ใช่ หมู่บ้านเราก็คือหมู่บ้านเรา อยากให้เหมือนหมู่บ้านอื่นแล้วมาหมู่บ้านเราทำไมกัน? เจ้าเป็นใครกัน? มีสิทธิ์มายุ่งกับทางเข้าหมู่บ้านคนอื่นด้วยหรือ!”
“พ่อข้าบอกว่าคนเช่นนี้ชอบยุ่งกับคนอื่นไปทั่ว ต่อให้มีรถขนอึผ่านมาก็คงจะเอาหน้าไปขวางไว้เพื่อชิมรสชาติก่อนจึงจะปล่อยไป ดังนั้นยุ่งเรื่องของตัวเองก็พอแล้ว ใครสนใจความเห็นของเจ้ากัน?”
อู๋อวี่ไหนเลยจะรับได้กับการถูกคนตำหนิเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นแค่เด็กผีไม่กี่คนอีกด้วย
ทว่าหลี่ต้าจ้วงขี้เกียจจะสนใจเขาแล้ว ยิ่งสนใจคนประเภทนี้ก็ยิ่งเอาใหญ่
“เจ้าจะประทับลายนิ้วมือหรือไม่ หากไม่ประทับพวกเราจะไปแล้วนะ!”
อัครมหาเสนาบดีหานจึงหยิบกระดาษเปล่าอีกแผ่นหนึ่งขึ้นมา เขียนชื่อของตัวเองลงไป แล้วยื่นให้หลี่ต้าจ้วง “น้องชาย เจ้าคงชอบล้อเล่นกระมัง ข้าจะไม่ถือสากับเจ้า ว่าแต่ลงชื่อแล้วเมื่อใดจึงจะเข้าหมู่บ้านไปได้อย่างนั้นหรือ?”
หลี่ต้าจ้วงเห็นท่าทางของเขายังพอคุยด้วยได้ จึงนับนิ้วไปมาแล้วเอ่ยขึ้น “รอคนของครอบครัวท่านป้าเถียนมาแล้ว คนส่งลูกหมู…คนขายของ…จึงจะถึงตาเจ้า”
รวมก่อนหน้านี้ด้วยยังมีอีกสามสิบกว่าคน
อัครมหาเสนาบดีหานจึงแน่ใจทันทีว่าไท่ซ่างหวงจงใจให้เป็นเช่นนี้ เขาจึงเดินไปด้านหนึ่งแล้วเรียกราชองครักษ์คนหนึ่งมา ให้เขากลับไปบอกฮ่องเต้ว่าควรแสดงความจริงใจให้มากหน่อย จะได้ไม่ต้องมารออยู่ที่หน้าประตูและเข้าไปไม่ได้เช่นนี้
อู๋อวี่ต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่าอัครมหาเสนาบดีหานกลับเอ่ยอย่างหมดความอดทนขึ้นมา “ยุ่งเรื่องของตัวเองก็พอแล้ว”
“ไม่ฟังที่ข้าพูด ไม่ช้าก็เร็วจะต้องเสียใจ” อู๋อวี่จึงเดินไปที่ใต้ต้นไม้คนเดียว
ส่วนอัครมหาเสนาบดีหานไม่สามารถเข้าหมู่บ้านได้ จึงเดินไปมาอยู่ด้านนอก แต่เมื่อมองดี ๆ กลับทำให้เขาได้พบกับคนรู้จักเข้า!
นั่นมันมือสังหารที่เขาส่งไปลอบสังหารองค์หญิงใหญ่มิใช่หรือ?
เหตุใดพวกเขาจึงมาอยู่ที่นี่ได้? แล้วในมือนั่นกำลังถืออะไร??? ผักดำ??
.
.
.