เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย - บทที่ 232 เรื่องภูตผีปีศาจ
บทที่ 232 เรื่องภูตผีปีศาจ
“เจ้า ๆ ๆ ๆ!” ในค่ำคืนที่มืดมิด ภาพอันน่าสยดสยองตรงหน้าก็ทำให้ราชองครักษ์กลุ่มนั้นหวาดกลัวเป็นอย่างมาก
ก่อนจะเห็นว่าราชองครักษ์ที่ใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดผู้นั้น จู่ ๆ ก็เริ่มแสยะยิ้ม จากนั้นใบหน้าของเขาก็ค่อย ๆ เปล่งประกายแสงสีเขียวออกมา ผ่านไปครู่หนึ่งดวงตาของเขาก็แทบจะเหลือเพียงตาขาว พลางชี้มือมาทางพวกเขาและกระโจนเข้าใส่ทันที
“ผี ผีหลอก!”
“ตะโกนอะไร ผีที่ใดกัน” มีคนที่มีความกล้าชักอาวุธในมือออกมา และสังหารราชองครักษ์ประหลาดผู้นั้น ศีรษะของเขาร่วงลงบนพื้นทันที เลือดกระเด็นเลอะใบหน้าไปหมด แต่กลับทำให้ดวงไฟในป่าด้านหลังสว่างมากยิ่งขึ้นไปอีก
“มีศพ ศพเต็มไปหมด!” มีคนตะโกนเสียงดังขึ้นมา
ทุกคนจึงเงยหน้าขึ้นมองโดยพร้อมเพรียง ก่อนจะพบว่าในป่าที่เต็มไปด้วยดวงไฟวิญญาณนั้น มีเงาสีขาวจำนวนมากกำลังแกว่งไกวไปมา และมีกรงเล็บของผีโครงกระดูกกำลังโผล่ออกมาจากใต้ดิน
กร๊อบ กร๊อบ…
เหมือนมีบางอย่างกำลังกัดกินกระดูกอยู่
ขณะที่ทุกคนตัวแข็งค้างและไม่กล้าขยับอยู่นั้น จี้จือฮวนก็หยิบกล่องยาน้อยออกมาเพิ่มเสียงประกอบที่น่ากลัว พร้อมทั้งปล่อยเจ้าหมูเหยี่ยวล่าเหยื่อออกไป
เสียงราวกับเกิดความพินาศดังกึกก้องอยู่ในป่า เสียงร้องคร่ำครวญของหญิงสาว เสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดของชายหนุ่ม เสียงร่ำไห้ของเด็กเล็ก และเสียงหัวเราะที่น่ากลัวอย่างแปลกประหลาด
มีคนตื่นจากการหลับใหลขึ้นมา
“พวกเจ้าได้ยินเสียงอะไรหรือไม่?”
“ได้ยินแล้ว ช่างน่ากลัวยิ่งนัก”
“กรี๊ด เหตุใดบนหัวข้าถึงมีเลือดเช่นนี้กัน!!!”
ไม่ใช่แค่คนเท่านั้นที่มีเลือดอยู่บนหัว แต่สัตว์ป่าทั้งหมดที่ถูกส่งมา ทั้งไก่ เป็ด วัว และแกะ จี้จือฮวนก็ได้ให้หมูเหยี่ยวล่าเหยื่อคาบถังใบเล็ก ๆ บินวนไปรอบ ๆ ถึงสิบกว่ารอบ และละเลงเลือดสดไปจนทั่ว สถานที่ที่ควรสาดในค่ายล้วนสาดไปทั้งหมดแล้ว
เมื่อคนพุ่งตัวออกมาจากกระโจม บนกระโจมนั้นก็มีเลือดไหลอาบเช่นกัน
“เป็นใคร! เป็นใครที่กล้าหลอกผีกัน!” สถานการณ์เช่นนี้ ย่อมมีทั้งคนเชื่อ และไม่เชื่อ โดยเฉพาะพวกเหล่าขุนพล ผู้ที่กลับมาจากสนามรบไหนเลยจะสนใจเรื่องเช่นนี้
จี้จือฮวนคิดเอาไว้อยู่แล้วว่าจะต้องมีคนออกมาทำให้จิตใจของเหล่าทหารสงบลง แต่สิ่งที่เห็นด้วยตาของตนเอง มักจะสามารถสั่นคลอนขวัญกำลังใจได้เสมอ
นางตบกล่องยาน้อยเบา ๆ กล่องยาน้อยก็ปิดฝาลง จากนั้นก็เปิดออกอีกครั้ง พร้อมกับฉายภาพขึ้นมา
ทุกคนต่างเห็นภาพลวงตาภาพหนึ่งบนท้องฟ้า ในภาพนั้นเป็นภาพไฟที่กำลังโหมกระหน่ำ ผู้คนมากมายกรีดร้องอยู่ในกองเพลิงและตะโกนขอความช่วยเหลือ
ทุกคนต่างตกใจและตื่นกลัวกับสถานการณ์ตรงหน้า
จนกระทั่งมีคนตะโกนขึ้นมาประโยคหนึ่ง “ตำหนักบูรพา เป็นไฟของตำหนักบูรพา”
“วิญญาณอาฆาตของตำหนักบูรพากลับมาแล้ว”
วิญญาณอาฆาต
เป็นวิญญาณอาฆาต!
ความโกรธแค้นของคนในตำหนักบูรพา วันนี้ได้มาหาถึงที่แล้ว!
สตรีบางคนตกใจกลัวจนร้องไห้ไปตาม ๆ กัน พวกนางต่างก็เคยพบองค์รัชทายาทของตำหนักบูรพา แต่พวกนางเป็นผู้บริสุทธิ์ การที่ตำหนักบูรพาถูกใส่ร้ายนั้นไม่เกี่ยวอะไรกับพวกนางเลย
เมื่อคิดได้ดังนั้น พวกนางต่างก็มองไปที่หานเหม่ยเหรินที่หวาดกลัวจนล้มลงไปกองอยู่บนพื้นตั้งนานแล้ว
“มองอะไร! พวกเจ้ามองอะไรกัน!” เสียงร้องแหลมเล็กของหานเหม่ยเหรินดังก้อง กระตุ้นให้ประสาทของทุกคนสั่นสะท้านขึ้นมาอีกครั้ง
“มีอะไรกลิ้งลงมาด้วย” มีคนตะโกนขึ้นมา ทุกคนต่างก็หันมองไปทางนั้น
“รีบไปดูกันเถอะ”
เมื่อเหล่าราชองครักษ์ได้สติขึ้นมา ก็รีบพุ่งตัวเข้าไปหยิบสิ่งที่กลิ้งออกมาจากในป่าทันที แต่ปรากฏว่าเป็นหินทั้งก้อน เมื่อหยิบคบเพลิงมาส่องดู ด้านบนมีข้อความเขียนเอาไว้ว่า ‘แค้นต้องชำระ!’
ทุกคนในค่ายพักแรมต่างมีสีหน้าที่แตกต่างกันออกไป และเห็นถึงความตื่นตระหนกในแววตาของกันและกันได้อย่างชัดเจน
ไม่ว่าเรื่องนี้จะจริงหรือไม่ เกรงว่าคงเป็นเรื่องยากที่ราชสำนักจะอธิบายได้ เมื่อคนมากมายล้วนเห็นกันหมดแล้ว จะปิดปากทุกคนได้อย่างไร ความลับของราชวงศ์ หากไม่ระวังเผลอไปตกใส่หัวใคร นั่นถือเป็นหายนะล้างตระกูลเลยก็ว่าได้
เกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ อัครมหาเสนาบดีหานก็ไม่อยู่ ทางด้านถังกั๋วกงก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ ไม่มีใครอยากจะออกมาเป็นผู้นำในเวลาเช่นนี้ แม้แต่องค์ชายองค์ที่โดดเด่นที่สุดในตอนนี้ ก็ยังซ่อนตัวอยู่ในฝูงชน ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
หลังจากเจียงเต๋อได้รับข่าวก็รีบเข้ามาหาฮ่องเต้เซี่ยเจินทันที แต่กลับพบว่าฮ่องเต้เซี่ยเจินหลับลึกเป็นอย่างมาก
“ฝ่าบาท ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ” เจียงเต๋อเรียกด้วยเสียงที่สั่นเทาอยู่สองครั้ง
เมื่อเห็นฮ่องเต้เซี่ยเจินไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ เขาจึงเดินอ้อมฉากบังลมเพื่อเข้าไปดูใกล้ ๆ ทว่าทันทีที่เห็นภาพตรงหน้า เจียงเต๋อก็เกือบจะกลืนลิ้นตัวเองลงไป!
หลังจากผ่านไปหนึ่งเค่อ ฮ่องเต้เซี่ยเจินที่ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นก็มองตัวเองในกระจก พลันนั้นเส้นเลือดบนขมับก็เต้นตุบ ๆ
ภาพสะท้อนในกระจกเวลานี้ ผมของฮ่องเต้เซี่ยเจินถูกโกนออกไปครึ่งหนึ่ง ในฐานะฮ่องเต้เขายังจะออกไปพบปะผู้คนได้อย่างไร!
ใครกันแน่! ใครกันที่สามารถทำราวกับว่าในค่ายพักแรมนี้เป็นที่ที่ไม่มีคนอยู่เช่นนี้ได้!
“ไปตรวจสอบมาเดี๋ยวนี้! ตรวจสอบมาให้ได้ว่าผู้ใดกันแน่ที่มาก่อกวน!” ฮ่องเต้เซี่ยเจินอยากจะเผาทำลายที่นี่เสียให้สิ้นซาก และฆ่าทุกคนให้หมดสิ้นไป
เจียงเต๋อไม่กล้ามองหน้าเขา “พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทโปรดวางพระทัย แต่ตอนนี้ยังมีอีกเรื่องที่รอให้ฝ่าบาททรงตัดสินพระทัยอยู่พ่ะย่ะค่ะ”
เรื่องหลอกผีข้างนอกฮ่องเต้เซี่ยเจินทราบแล้ว เพียงแต่เขาหัวโล้นไปครึ่งหนึ่งเช่นนี้ จะเรียกคนมาเข้าพบเพื่อสอบถามเรื่องราวได้อย่างไร “มอบหมายให้ถังกั๋วกง ให้เขาพาราชครูไปดูว่าผู้ใดกันแน่ที่มาเล่นตลกเช่นนี้!”
วิญญาณอาฆาตของตำหนักบูรพาอะไรกัน? เขาไม่เชื่อว่าจะมีวิญญาณอาฆาตอะไรนั่น ก็แค่สตรีกลุ่มหนึ่งที่ตกใจกลัวกันไปเองก็เท่านั้น
ต่อให้เป็นผีของตำหนักบูรพาแล้วอย่างไรเล่า เซี่ยอวี้ก็ยังเป็นลูกชายของเขาอยู่ดี
แค่ลูกเนรคุณคนหนึ่ง ตายแล้วก็ตายไป ฮ่องเต้อย่างไรเสียก็ยังเป็นฮ่องเต้อยู่วันยังค่ำ และเขาก็เป็นคนมอบชีวิตให้ ตอนนี้แค่เอาคืนกลับมาแล้วจะทำไม?
ใครใช้ให้องค์รัชทายาทโลภมากอยากได้บัลลังก์กันเล่า!
ความเกลียดชังที่ฮ่องเต้เซี่ยเจินมีต่อองค์รัชทายาทนั้นซึมลึกเข้าไปจนถึงกระดูกดำ เจียงเต๋อเองก็รับรู้ได้เช่นกัน แต่สถานการณ์ปัจจุบันไม่สู้ดีเท่าใดนัก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระโจมของฮ่องเต้เซี่ยเจิน ที่มีราชองครักษ์ห้อมล้อมมากมายเพียงนั้น ใครจะยังสามารถลักลอบเข้ามาได้อีก ยิ่งคิดก็ยิ่งน่ากังวล เช่นนี้จะนอนหลับอย่างสบายใจได้อย่างไรกัน
หากบอกว่าวิญญาณอาฆาตเป็นคนทำ เช่นนั้นทุกอย่างล้วนได้รับคำอธิบายแล้ว
เรื่องที่ตำหนักบูรพาถูกใส่ร้ายหรือไม่ เมื่อก่อนก็เคยมีการปรึกษาหารือกัน แต่ไม่มีใครตรวจสอบอย่างถี่ถ้วน เพราะอย่างไรเสียแพ้เป็นพระชนะก็เป็นมาร ก่อนจะขึ้นครองราชย์ย่อมมีการเปลี่ยนแปลงได้เสมอ ใครสามารถบอกได้บ้างว่า ตนเองจะได้หัวเราะเป็นคนสุดท้ายกัน
แต่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ เรื่องของตำหนักบูรพากลับปรากฏขึ้นมาต่อหน้าทุกคนอีกครั้ง รวมถึงพวกเสิ่นฉางซานด้วย คดีภาษีเกลือขององค์รัชทายาท เกรงว่าคงจะมีการรื้อคดีขึ้นมาใหม่เป็นแน่
ถึงเวลาหากเรื่องอื้อฉาวที่ว่าฮ่องเต้รีบปิดคดี และบีบบังคับจนทำให้องค์รัชทายาทสิ้นพระชนม์แพร่ออกไป เช่นนั้นจะทำเช่นไรกันดี?
บัดนี้ฮ่องเต้เซี่ยเจินยิ่งอายุมากก็ยิ่งดื้อรั้น หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป…
“ยังไม่รีบไปอีก มัวอึ้งอะไรอยู่”
“พ่ะย่ะค่ะ ๆ ๆ” เจียงเต๋อกำลังจะถอยออกไป ฮ่องเต้เซี่ยเจินก็เอ่ยออกมาอีกครั้ง “หาคนมาสองสามคน เจ้ารู้ดีว่าต้องทำอย่างไร”
เขามีผมเพียงครึ่งศีรษะเช่นนี้ พรุ่งนี้จะออกไปที่ใดได้? คืนนี้อาจจะสามารถปิดบังเอาไว้ได้ แต่พรุ่งนี้จะให้สวมหมวกคลุมทั้งวันก็คงจะไม่ได้กระมัง
หากทำผมปลอมขึ้นมา จากนั้นก็ใช้กาวปลาที่ทำจากกระเพาะปลาติดเอาไว้อาจจะสามารถตบตาได้บ้าง เจียงเต๋อพยักหน้ารับคำ “กระหม่อมทราบว่าควรทำเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาททรงวางพระทัยได้”
ตอนนี้ด้านนอกแม้ว่าจะวุ่นวายไปหมด ทว่าฮ่องเต้เซี่ยเจินกลับสงบเป็นอย่างมาก
“เซี่ยอวี้ ข้าไม่สนใจว่าเจ้าจะตายตาหลับหรือไม่ หรือว่าคืนนี้เจ้าจะถูกราชครูปลุกขึ้นมาจนอยากจะมาร้องขอความเป็นธรรมจากข้า วันนี้ข้าจะขอพูดเอาไว้ตรงนี้เลยว่า ข้าจะไม่มีวันยอมให้เจ้าล้างมลทินได้ตลอดไป”
ตำแหน่งองค์รัชทายาทข้ามอบให้เจ้าได้ ก็สามารถเอาคืนมาได้เช่นกัน ข้าต่างหากที่เป็นฮ่องเต้ ทำผลงานโดดเด่นจนคุกคามตำแหน่งฮ่องเต้ถือเป็นความผิด อยากให้ข้าเสื่อมเสียชื่อเสียงอย่างนั้นหรือ ไม่มีทางเสียหรอก
เขาไม่มีทางให้คนเขียนบันทึกประวัติศาสตร์เช่นนี้ลงไปได้แน่นอน ไม่ว่าอย่างไรตำหนักบูรพาก็ไร้ผู้สืบทอด ไม่สามารถพลิกฟ้าได้อีกแล้ว!
.
.
.