เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย - บทที่ 236 สั่งสอนอย่างไร้ความปรานี
- Home
- เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย
- บทที่ 236 สั่งสอนอย่างไร้ความปรานี
บทที่ 236 สั่งสอนอย่างไร้ความปรานี
ฮ่องเต้เซี่ยเจินรู้สึกหนังศีรษะเย็นวาบ และรู้ได้ทันทีว่าไม่สามารถปกป้องผมปลอมบนศีรษะของตัวเองเอาไว้ได้อีกแล้ว ทว่าเพิ่งจะยื่นมือออกไป สุดท้ายก็ถูกห่านตัวใหญ่ที่ยังไม่ได้บินไปไหนชูคอขึ้นและจิกลงบนมือของฮ่องเต้เซี่ยเจิน!
“คุ้มกันฝ่าบาท! มัวอึ้งอะไรกันอยู่! ฆ่าห่านที่โจมตีฝ่าบาทเดี๋ยวนี้!” เจียงเต๋อเมื่อเห็นฮ่องเต้เซี่ยเจินเสียหน้า ก็รู้สึกว่าหัวที่อยู่บนบ่าของตัวเองเกรงว่าคงใกล้จะรักษาเอาไว้ไม่ได้แล้ว!
ทันทีที่เจียงเต๋อร้องตะโกน ห่านตัวใหญ่ก็ตกใจจนอ้าปากกว้าง กระพือปีกขึ้นและกระโดดไปหาเจียงเต๋อทันที
“เร็ว ฆ่าห่านนั่นเร็วเข้า”
“หืม?” องค์หญิงใหญ่ที่นั่งหลังตรงและมีสีหน้ายิ้มแย้มอยู่ตรงนั้น เมื่อได้ยินพวกเขาตะโกนว่าจะฆ่าห่านของนาง นัยน์ตาหงส์ก็กวาดมองพวกเขาเรียบ ๆ “ผู้ใดกล้าลงมือกับแม่ทัพห่านแห่งถู่เจียของข้า”
อะไรกัน? แม่ทัพอะไร? ห่านเนี่ยนะ!?
ตอนนี้ถู่เจียแม้แต่ห่านตัวหนึ่งก็สามารถเป็นแม่ทัพได้แล้วหรือ? ท่านข่านแห่งถู่เจียรู้เรื่องนี้หรือไม่?!
แม้ท่านข่านแห่งถู่เจียจะไม่เห็นด้วย แต่อย่างไรเสียคนก็ไม่อยู่ที่นี่ ไม่มีใครรู้ทั้งนั้น แต่ไทเฮาแห่งถู่เจียนั่งอยู่ตรงหน้านี้แล้ว ไม่เพียงสามารถวางอำนาจของถู่เจียได้ แต่ยังสามารถแต่งตั้งห่านตัวหนึ่งเป็นแม่ทัพได้อีกด้วย อีกทั้งยังสามารถวางอำนาจในฐานะองค์หญิงใหญ่แห่งต้าจิ้นให้เสด็จพ่อของฮ่องเต้หนุนหลังนางได้อีก
สรุปก็คือ ไม่อาจล่วงเกินได้
ไฟโกรธของเจียงเต๋อถูกสะกดลงทันที เขากำลังจะโค้งคำนับให้กับองค์หญิงใหญ่และให้คนมาบังฮ่องเต้เซี่ยเจิน แต่ใครจะไปคิดว่าเพิ่งจะก้มตัวลง ก้นของเขาก็ถูกแม่ทัพห่านนั่นจิกไปสองที เจ็บจนเจียงเต๋อร้องโหยหวนออกมา
เซี่ยวั่งซูดูจนพอใจแล้ว จึงได้หัวเราะออกมาแล้วเอ่ยขึ้น “โบราณมีคำกล่าวว่า ลูกกตัญญูสวมเสื้อผ้าหลากสีให้บิดามารดารื่นเริงใจ น้องสิบแปดโกนหัวครึ่งหนึ่งก็เพื่อให้เสด็จพ่อทรงยิ้มออกใช่หรือไม่?”
เดิมทีคนเหล่านั้นเห็นศีรษะของฮ่องเต้ ก็รู้ว่าลูกตาของตัวเองสมควรโดนควักออกมา ดังนั้นทุกคนจึงทำเป็นมองไม่เห็น สุดท้ายองค์หญิงใหญ่อู๋ซวงกลับเอ่ยทิ่มแทงใจในทุกประโยค!
ไม่รู้ว่าตอนนั้นที่อยู่ในวังไปล่วงเกินอะไรองค์หญิงใหญ่ที่ไม่อาจล่วงเกินได้ผู้นี้เข้ากันแน่ ถึงได้ทำให้ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันไม่มีที่ยืนเช่นนี้
แต่ว่า ผมของฮ่องเต้…ผู้ใดเป็นคนทำกันแน่?
ฮ่องเต้เซี่ยเจินโกรธจนใบหน้าแดงก่ำ แต่ก็ไม่สามารถพูดได้ว่าถูกมือสังหารที่ไม่มีตาคนหนึ่งมาลอบกัด
“ร่างกาย ผม และผิวหนังพ่อแม่เป็นผู้ให้มา น้องสิบแปดคงไม่ได้ตัดผมตัวเองเพื่อสาปแช่งเสด็จพ่อหรอกกระมัง”
ฮ่องเต้เซี่ยเจินดวงตาเบิกโพลง เกือบจะหายใจไม่ออกจนเป็นลมล้มไปบนกองอึเมื่อครู่นี้เสียแล้ว ยังดีที่เจียงเต๋อประคองก้นเขาเอาไว้ได้ทัน
แม่ทัพห่านแห่งถู่เจียจิกเจียงเต๋อเสร็จก็กางปีกและก้าวเท้าออกไป พลางกลอกตาใส่ท่ามกลางฝูงชน ราวกับกำลังเลือกเป้าหมายต่อไปที่จะโจมตี
“เอาล่ะ รีบกลับมาเถอะ อย่าทำให้คนเหล่านี้ตกใจ” เซี่ยวั่งซูกวักมือเรียกเบา ๆ ห่านตัวใหญ่ตัวนั้นก็กระพือปีกกลับไปอยู่ที่ข้างกายของนางอย่างมีความสุข
“องค์หญิงใหญ่ ทรงล้อเล่นเช่นนี้ไม่ดีนะพ่ะย่ะค่ะ ผมของฝ่าบาทที่เป็นเช่นนี้ เป็นเพราะก่อนหน้านี้มีหลวงจีนกล่าวว่าหากตัดผมแล้ว จะสามารถรับความเจ็บปวดแทนไท่ซ่างหวงได้ ผมของฝ่าบาทจึงได้เป็นเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ” คำแก้ตัวของเจียงเต๋อเรียกได้ว่าไหลลื่นเป็นอย่างมาก
แต่หากแค่นี้เซี่ยวั่งซูจะถูกเขาหลอกเอาได้ ก็คงไม่สามารถอยู่ท่ามกลางเขี้ยวเล็บมาได้นานถึงเพียงนี้แน่
“อย่างนั้นหรือ? ผมนี่เพิ่งจะโกนอย่างนั้นหรือ ดูเกลี้ยงเกลาไม่มีผมงอกขึ้นมาใหม่เลย หากไม่รู้คงคิดว่าเพิ่งจะโกนไปเมื่อคืนนี้เสียอีก หรือว่ามาถึงที่นี่แล้วเพิ่งจะคิดได้ว่าเสด็จพ่อร่างกายไม่แข็งแรง?” เซี่ยวั่งซูเอ่ยจบ ฮ่องเต้เซี่ยเจินก็ตะคอกเจียงเต๋อไปสองประโยค ก่อนจะนำผ้ากลับขึ้นมาโพกบนศีรษะใหม่อีกครั้ง พลางมองดูแผ่นหลังของไท่ซ่างหวง ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าคาดเดาความคิดของเขาไม่ออกจริง ๆ
เขาปัดมือของเจียงเต๋อออก ก่อนจะเหยียบลงไปในนา เพื่อจะไปช่วยไท่ซ่างหวง
ฮ่องเต้ลงไปแล้ว เจียงเต๋อย่อมต้องลงไปด้วย
เหล่าสนมต่างก็เอาแต่มองหน้ากัน ทว่าเต๋อเฟยที่เฉลียวฉลาดกำลังคิดว่าจะเข้าไปพูดคุยเพื่อผูกสัมพันธ์กับเซี่ยวั่งซู ก็พลันเห็นองค์หญิงใหญ่ผู้สูงศักดิ์หยิบกระจาดอันเล็ก ๆ ออกมาจากด้านข้าง และเริ่มลงมือคัดถั่วงอก
เต๋อเฟยชะงักฝีเท้าลงทันที เซี่ยวั่งซูมองคนเหล่านั้นด้วยสีหน้าเรียบนิ่งพลางเอ่ยออกมา “ธัญพืชทั้งห้าคือชีวิตของราษฎร และเป็นสินทรัพย์ที่สำคัญที่สุดของบ้านเมือง ไม่รู้ว่ามีขุนนางสักกี่ท่านที่รู้จักธัญพืชที่อยู่ในนาว่ามีทั้งหมดกี่ชนิด?”
ทุกคนก็นึกว่าจะต้องฟังคำตำหนิเสียอีก แต่เมื่อจู่ ๆ ถูกถามเช่นนี้ บางคนก็ลังเลส่วนบางคนก็ตาเป็นประกาย
“บ้านเมืองที่ไม่ปลูกข้าวจะพังพินาศ บ้านเมืองที่ปลูกข้าวและกินใช้จนหมดจะครองอำนาจ บ้านเมืองที่ปลูกและกินใช้ไม่หมดจะได้เป็นราชา การเพิ่มจำนวนอาหารเป็นความสามารถพื้นฐานของกษัตริย์และขุนนาง หากรู้เพียงฐานะสูงต่ำ โดยไม่คำนึงถึงพืชพันธุ์ธัญญาหาร ดูถูกการทำไร่ไถนา เห็นค่าเพียงวัตถุภายนอก ก็จะเห็นค่าเพียงผู้สูงศักดิ์ เช่นนั้นพวกเจ้าดูถูกการทำไร่ไถนาอย่างนั้นหรือ?” เซี่ยวั่งซูขยับมือไม่หยุด แต่คำพูดที่พูดออกมาราวกับฝ่ามือที่ตบลงบนหน้าของคนเหล่านี้
คราวนี้จึงไม่มีใครกล้าพูดอะไรอีก ทำได้เพียงโค้งตัวลงน้อมรับคำสั่ง
ฮ่องเต้เซี่ยเจินฟังเสียงจากทางด้านหลัง จากนั้นก็ค่อย ๆ เดินไปหาไท่ซ่างหวง ก่อนจะก้มตัวลงคารวะ “เสด็จพ่อ”
ไท่ซ่างหวงยืดตัวขึ้นมา ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “มิกล้า ฝ่าบาททรงยิ่งใหญ่ค้ำฟ้า ไหนเลยจะต้องการเสด็จพ่ออีก ตาแก่อย่างข้าต่างหากที่รกหูรกตาเจ้า”
ฮ่องเต้เซี่ยเจินคุกเข่าลงทันที ทางด้านหลังก็มีผู้คนคุกเข่าตามมากมายเช่นกัน
คราวนี้ไม่มีใครรังเกียจว่าโคลนเหล่านี้เดินลำบากอีกแล้ว
“คำกล่าวนี้ของเสด็จพ่อ ลูกมิอาจรับได้จริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ ลูกไม่เคยไม่เคารพเสด็จพ่อเลยนะพ่ะย่ะค่ะ”
ไท่ซ่างหวงมองหน้าเขา ด้วยความรู้สึกแปลก ๆ
ไท่ซ่างหวงไม่เอ่ยอะไร ส่วนฮ่องเต้เซี่ยเจินก็ไม่กล้าลุก ทำได้เพียงคุกเข่าอยู่อย่างนั้น
ทันใดนั้นไท่ซ่างหวงก็ยื่นมือออกไป ฮ่องเต้เซี่ยเจินรีบขยับมาคุกเข่าลงตรงหน้า “เสด็จพ่อ ให้ลูกทำเองเถอะพ่ะย่ะค่ะ”
ไท่ซ่างหวงโยนจอบในมือลงตรงหน้าของฮ่องเต้เซี่ยเจินจริง ๆ “ตอนนี้เป็นช่วงเวลาเก็บเกี่ยวของฤดูใบไม้ร่วง งานในนานี้ข้าทำคนเดียว กินแรงไปมากจริง ๆ”
ฮ่องเต้เซี่ยเจินรีบเอ่ยขึ้นมา “ลูกทำได้พ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อทรงรีบไปพักผ่อนเถอะพ่ะย่ะค่ะ”
เหล่าขุนนางบุ๋นและบู๊ได้ยินดังนั้น ต่างก็รีบพับแขนเสื้อจะลงไปในนาด้วย แต่ว่าไม่มีอุปกรณ์ คนที่ฉลาดหน่อยก็ไปสอบถามขอยืมจากชาวบ้าน
เจ้าคิดจะยืมก็ยืมได้อย่างนั้นหรือ? หากไม่มีเงินเจ้าก็ไม่ต้องมาถาม
มาถึงขนาดนี้แล้วจะไม่พกเงินมาได้อย่างไร แต่ละคนต่างก็รีบล้วงเงินออกมาจากถุงเงิน จึงสามารถยืมเคียวและจอบมาได้นิดหน่อย
เหล่าสนมไม่สามารถถลกขากางเกงลงไปอย่างผู้ชายพวกนั้น จึงทำได้เพียงนั่งลงข้าง ๆ ฮองเฮาด้วยสีหน้าเขินอาย กำลังจะดูว่าฮองเฮาทำอะไรอยู่ จู่ ๆ ก็ต้องตกใจจนเกือบส่งเสียงร้องออกมา
เมื่อเห็นว่าในตะกร้านั้นเต็มไปด้วยหนอนสีขาวมากมาย
“ร้องอะไรกัน ไม่เคยเห็นหนอนไหมหรืออย่างไร ช่างเป็นคนสูงศักดิ์จริง ๆ เสื้อผ้าบนกายพวกเจ้า รู้หรือไม่ว่าทำมาจากอะไร!” เหล่าท่านป้ารู้สึกไม่ชอบพวกผู้หญิงเหล่านี้เท่าใดนัก
ฮองเฮายังสามารถเลี้ยงหนอนไหมกับพวกนางได้เลย พวกนางสนมนี่จะร้องอะไรกัน?
เมื่อคืนทุกคนยังคิดว่าฮองเฮาเป็นญาติของฮวนฮวน ทว่าตอนที่ได้รู้ฐานะที่แท้จริงแล้ว พวกเขายังนึกประหลาดใจอยู่เลย ปรากฏว่าผู้สูงศักดิ์ที่มักจะอยู่เพียงในละครงิ้วกลับเข้าถึงได้ง่ายถึงเพียงนี้ ไม่ได้รังเกียจที่พวกเขาเป็นคนบ้านนอก แต่กลับเป็นนางปีศาจที่ไม่รู้ว่ามาจากที่ใดเหล่านี้ที่วางมาดกับพวกเขาแทน
“เจ้า!”
“เจ้าอะไร ที่นี่ไม่ต้องการพวกเจ้า ทำไม่เป็นก็หลบไปอยู่ข้าง ๆ โน่น” พวกท่านป้านั่งรวมกันเป็นกลุ่ม จึงไม่เหลือที่นั่งให้พวกนางอีก
หลี่ฮองเฮาทำเป็นมองไม่เห็น ทำให้สตรีกลุ่มนั้นถลึงตาใส่ด้วยความโมโห
“พระนางไม่ต้องกลัวนะเพคะ พวกเราเป็นคนกันเอง ไม่ปล่อยให้พวกนางรังแกพระนางได้อย่างแน่นอน”
“ใช่เพคะ ฮวนฮวนบอกพวกเราแล้ว ต่อให้ฟ้าถล่มลงมาก็จะมีนางคอยค้ำอยู่ พวกเราไม่ไปหาเรื่องใครก่อน แต่จะปล่อยให้ใครมารังแกเราไม่ได้ พระนางวางใจเถอะเพคะ”
เซี่ยวั่งซูมองด้วยสายตาเย็นชา “ตอนที่เสด็จแม่ของข้ายังอยู่ ทุกปีจะนำสนมและสตรีในราชสำนักไปสักการะเทพแห่งหนอนไหมเหลยจู่ และจะเก็บหม่อนเลี้ยงหนอนไหมเพื่อกระตุ้นให้เกิดความขยันหมั่นเพียรในการทอผ้า เสด็จพ่อก็จะเป็นผู้นำเหล่าขุนนางทำพิธีแรกนาขวัญ เหตุใดบัดนี้แม้แต่การเลี้ยงหนอนไหมคืออะไรก็ยังไม่รู้ ยุคสมัยนี้สู้อดีตไม่ได้จริง ๆ”
.
.
.