เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย - บทที่ 238 ร่างกายอ่อนแอไม่สามารถคารวะได้
- Home
- เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย
- บทที่ 238 ร่างกายอ่อนแอไม่สามารถคารวะได้
บทที่ 238 ร่างกายอ่อนแอไม่สามารถคารวะได้
จี้จือฮวนและเผยยวนไม่ได้คิดจะให้อาฉือตัดสินใจในทันที แต่ว่าพวกเขาเดินมาถึงขั้นนี้ก็ไม่อาจจับมือกับฮ่องเต้เซี่ยเจินและยกโทษให้เขาได้เช่นกัน ดูเหมือนว่าอีกไม่กี่อึดใจก็จะได้แตกหักกันแล้ว
ทั้งสองคนล้วนมีนิสัยเหมือนกัน ให้พวกเขาปิดบังความสามารถ ข่มกลั้นความโกรธเอาไว้ ล้วนเป็นเรื่องที่ไม่มีทางเป็นไปได้
ดังนั้นตอนที่พวกเขาจับมือกันและปรากฏตัวขึ้นบนคันนาของหมู่บ้านตระกูลเฉิน ก็ทำให้กลุ่มคนมากมายต่างก็นิ่งงันไปด้วยความตกตะลึง
เผยยวนที่ฝ่าบาทพูดถึงทุกเมื่อเชื่อวันได้มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าพวกเขาแล้ว ทุกคนล้วนอยากรู้ว่าเผยยวนตอนนี้เป็นเช่นไรกันแน่ แต่ไม่มีใครเคยเห็นเขามาก่อน
บัดนี้เผยยวนตัวเป็น ๆ มายืนอยู่ตรงหน้าพวกเขาแล้ว ทว่ากลับไม่มีใครกล้ายอมรับ
ชายหนุ่มตรงหน้าเมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ ไม่ได้ดูสิ้นหวังเพราะอำนาจทางทหารอ่อนแอลง และไม่ได้มีอาการหวาดระแวงเพราะมาซ่อนตัวกับไท่ซ่างหวงอยู่ในหุบเขาอย่างหมู่บ้านตระกูลเฉินแต่อย่างใด ตรงกันข้ามดวงตาของเขากลับกระจ่างชัดราวกับภาพวาด หากพิจารณาดี ๆ แล้วความโหดเหี้ยมและดุดันในแววตาไม่ได้ด้อยไปกว่าตอนที่เขารับตำแหน่งหย่งกวานโหวตอนอายุสิบเจ็ดเลยแม้แต่น้อย
สุดท้ายเขาก็ยังเป็นเผยยวนคนนั้น ต่อให้ไม่ได้สวมชุดเกราะ ก็ไม่สามารถลดความหยิ่งทะนงของบุตรแห่งสวรรค์ได้
ส่วนสตรีข้างกายของเขา…
เคยมีคำกล่าวว่า บุรุษที่มีหน้าตาดีเช่นเผยยวน หากไม่แต่งงานกับเทพธิดาจันทราแห่งตำหนักกว่างหานบนสวรรค์ก็คงจะเสียของไปเปล่า ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทุกครั้งที่เผยยวนกลับมาจากสนามรบ บรรดาสตรีสูงศักดิ์ในเมืองหลวงต่างก็พากันออกมาจากตรอกซอกซอย ยึดโรงน้ำชาและภัตตาคารทั้งสองฝั่งของถนนจูเชวี่ยเอาไว้
แต่กลับไม่เคยเห็นเผยยวนมีใจให้ใครมาก่อน หรือมีสตรีอยู่ข้างกายเขาเลย
แวบแรกที่เห็นภาพเผยยวนกับสตรีผู้หนึ่งกุมมือกันแน่น กลับทำให้ลมหายใจของผู้คนเย็นเยียบ
สตรีผู้นั้นเพียงปล่อยผมยาวตรงสยาย ไม่ได้มวยผมที่ซับซ้อนเหมือนสตรีทั่วไป นางสวมเพียงชุดกระโปรงสีเขียวน้ำทะเล ยิ่งเป็นชุดที่เรียบง่ายเท่าไร ก็เผยให้เห็นความโดดเด่นตามธรรมชาติของนางมากขึ้นเท่านั้น เมื่อทั้งสองคนยืนอยู่ข้างกัน ราวกับคู่สร้างคู่สม ไม่มีใครโดดเด่นกว่าใครจริง ๆ
หลังจากที่ได้สติก็ไม่รู้ว่าฝ่ายไหนควรจะทักทายกันก่อน ดังนั้นพวกเขาจึงรอให้เผยยวนคารวะฮ่องเต้เซี่ยเจินก่อน เพียงแต่ไม่รู้ว่าฮ่องเต้จะปฏิบัติต่อขุนนางทรยศผู้นี้อย่างไร
ทว่าขณะที่ทุกคนต่างก็กลั้นหายใจและจ้องมองจนลืมงานที่ต้องทำในมืออยู่นั้น ตัวต้นเรื่องกลับทำเหมือนคนที่ไม่เกี่ยวข้อง และเอ่ยแนะนำคนให้สตรีที่อยู่ข้าง ๆ รู้จักทีละคน
“คนนี้คือเจียงเซ่าชิงจากไท่ฉางซือ* ครั้งหนึ่งเคยกล่าวหาว่าข้าดูหมิ่นองค์หญิงสี่
คนนี้คือกวงลู่ต้าฟู** เขาเคยกระทืบเท้าใส่ข้า เพราะข้าลืมชื่อของเขา”
* ไท่ฉางซือ (太常寺) ชื่อหน่วยงานที่ดูแลพิธีในการเซ่นไหว้เทพเจ้าและศาลบรรพชน
** กวงลู่ต้าฟู (光禄大夫) ชื่อตำแหน่งหมอใกล้ชิดของฮ่องเต้
“เช่นนั้นตอนนี้เจ้าจำชื่อได้แล้วหรือไม่?”
“จำไม่ได้”
กวงลู่ต้าฟูหนวดกระตุกเล็กน้อย ก่อนจะเห็นสตรีชุดเขียวผู้นั้นพยักหน้าอย่างครุ่นคิด “หน้าตาจำยากจริง ๆ สามารถขึ้นมาถึงตำแหน่งนี้ได้ คงจะยากลำบากไม่น้อย”
เพียงประโยคเดียวก็เกือบทำให้กวงลู่ต้าฟูร้องไห้ออกมาแล้ว! ความยากลำบากของขุนนางมิใช่สิ่งที่สตรีตัวเล็ก ๆ เช่นนางจะสามารถเข้าใจได้
ข้างกายเริ่มมีคนกระซิบกระซาบกันขึ้นมา “สตรีผู้นี้เป็นใครหรือ?”
“ใช่คนที่ร่ำลือกันก่อนหน้านี้หรือไม่ บุตรีภรรยาเอกของจวนจี้กั๋วกง จี้จือฮวน”
“เหลวไหลอะไรกัน จี้จือฮวนไม่ได้หน้าตาอัปลักษณ์หรอกหรือ ได้ชื่อว่าไร้มารยาทและไม่อาจปรากฏตัวต่อสาธารณชนได้”
“แต่ก่อนหน้านี้ในเมืองหลวงลือกันว่าเป็นจี้จือฮวนนะ”
“หากจี้จือฮวนงดงามเพียงนี้ เช่นนั้นองค์ชายรองยังจะมองบุตรีของอนุในครอบครัวนางอีกหรือ? จี้หมิงซูงดงามได้สักครึ่งของสตรีผู้นี้ที่ใดกัน”
ความงามอยู่ที่ภายในไม่ใช่ภายนอก ใครดีใครด้อยมองแวบเดียวก็รู้แล้ว
ฮ่องเต้เซี่ยเจินเห็นเผยยวนตั้งแต่ที่เขาปรากฏตัวแล้ว เพียงรอให้เจ้าเด็กนั่นมาคารวะเขาก่อน เขาก็จะเล่นแง่บ้าง มองดูเขาคุกเข่ายอมรับผิด เพื่อระบายความโกรธแล้วค่อยว่ากัน
แต่ใครจะไปคิดว่าเผยยวนที่ยืนอยู่ตรงนั้นราวกับคนที่มาท่องเที่ยวก็มิปาน พูดคุยชี้ไปที่ผู้คนในท้องนาและเอ่ยแนะนำไปหนึ่งรอบ แต่กลับไม่มองมาทางเขาเลยแม้แต่น้อย
เจียงเต๋อที่อยู่ข้างกายฮ่องเต้เซี่ยเจินเรียกได้ว่ารู้ใจเปรียบเสมือนพยาธิในท้องของเขาก็ว่าได้ เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็รีบกระแอม และส่งสัญญาณให้เผยยวนรีบมาคารวะทางนี้ก่อน
แต่เผยยวนกลับไม่เหลือบมองมาทางนี้เลย เจียงเต๋อรู้สึกกระวนกระวายขึ้นมาเล็กน้อย กระแอมจนลิ้นเกือบจะหลุดออกมาอยู่แล้ว ในที่สุดชายหนุ่มรูปงามที่ยืนอยู่ตรงนั้นก็ชำเลืองมองมา
เพียงแต่ดวงตาที่อ่อนโยนและจดจ่อนั้นกลับเย็นชาลง และท่าทางก็ไม่เหมือนเมื่อครู่นี้อีกต่อไป
ทำให้เจียงเต๋อรู้สึกราวกับว่าเขากำลังถูกสัตว์ร้ายในป่าจับจ้องอยู่ และพริบตาต่อมาสัตว์ร้ายก็พลันกระโจนเข้ามาขย้ำคอของเขาอย่างไรอย่างนั้น
สายลมเย็นพัดโชยมา ทันใดนั้นเผยยวนก็เผยรอยยิ้มออกมา ก่อนจะเอ่ยอย่างสบายอารมณ์ “กระหม่อมร่างกายอ่อนแอ เคลื่อนไหวมากจะกระอักเลือดได้ ไม่สะดวกที่จะคารวะ”
!!!
บังอาจสิ้นดี! บังอาจสิ้นดี!
กล้าทำเช่นนี้กับฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ไม่เห็นราชสำนักอยู่ในสายตาเลยอย่างนั้นหรือ!
บนใบหน้าของเผยยวนราวกับเขียนเอาไว้ว่า ‘ข้าไม่คารวะและไม่เรียกเจ้าว่าฮ่องเต้ เจ้าจะทำอะไรข้าได้’
มีคนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวเริ่มนินทาลับหลังขึ้นมาแล้ว
“ช่างกล้าดียิ่งนัก ขนาดกับฝ่าบาทยังทำเช่นนี้ มิน่าเล่าถึงกล้าพากองทัพทหารเกราะเหล็กหนีมา”
“ไม่รู้ว่าลับหลังประจบไท่ซ่างหวงเช่นไรบ้าง ถึงทำให้พระองค์คอยหนุนหลังเขาเช่นนี้ได้”
พวกเขาเพิ่งจะพูดจบก็สบกับดวงตาเย็นชาคู่นั้นของหญิงงามข้างกายเผยยวน เมื่อเห็นพวกเขามองมานางก็ยกยิ้มขึ้น สว่างไสวราวกับตะวันจันทรา ทว่าแววตานั้นกลับทำให้คนตกใจจนต้องถอยหลังไปหนึ่งก้าว
ขุนนางทรยศที่อกตัญญูเช่นนี้ ความแค้นทั้งเก่าและใหม่ของฮ่องเต้เซี่ยเจินจึงปะทุขึ้นมา ขณะที่เขากำลังจะเอ่ยตำหนิออกมา เสียงของเซี่ยวั่งซูก็ดังขึ้นอีกครั้ง “รีบมาตรงนี้ มีอะไรให้ยืนกลางแดดกัน มองของสกปรกมาก ๆ เข้า เดี๋ยวก็เสียสายตาหมดหรอก”
เอ่ยจบนัยน์ตาหงส์ของเซี่ยวั่งซูก็หันมา มองฮ่องเต้เซี่ยเจินและเอ่ยขึ้น “น้องสิบแปด เจ้าคงไม่ใจดำปล่อยให้ขุนนางที่มีผลงานยืนอยู่ทั้งที่ป่วยหรอกกระมัง หากพูดออกไปจะเป็นการทำลายขวัญและกำลังใจของคนทั้งใต้หล้า ที่อยากทำงานเพื่อราชสำนักไม่น้อยเลยทีเดียว”
เจ้าพูดน้อยลงสักสองสามประโยค ข้าคงสามารถมีชีวิตอยู่ได้อีกหลายปี!
ฮ่องเต้เซี่ยเจินหอบหายใจหนัก ๆ เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นแววตาเย็นชาของไท่ซ่างหวง ทำให้เขาตกใจจนผมที่เหลือเพียงครึ่งหนึ่งแทบจะตั้งขึ้นมา
เยี่ยมจริง ๆ
ไท่ซ่างหวงปรายตามองเขานิ่ง ๆ ก่อนจะเอ่ยกับจี้จือฮวนด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า “ฮวนฮวนเอ๊ย วันนี้มีอะไรกินหรือ?”
จี้จือฮวนยังไม่ทันได้ร่ายรายการอาหาร ฮ่องเต้เซี่ยเจินก็เอ่ยแทรกขึ้นมาทันที “เสด็จพ่อทรงอยากเสวยอะไรพ่ะย่ะค่ะ ลูกพาพ่อครัวหลวงมาด้วย มีอาหารเจที่เสด็จพ่อทรงโปรดเสวยทั้งนั้นเลยพ่ะย่ะค่ะ”
บ้านเจ้าสิ ข้าชอบกินอาหารเจเมื่อใดกัน
ไท่ซ่างหวงอยากจะหยิบจอบแล้วเอาตัวเจ้าลูกคนนี้ไปฝังไว้ในดินจริง ๆ
“ไม่ต้อง เจ้าเก็บไว้ให้ตัวเองเถอะ”
ฝีมือของห้องเครื่องหลวงใครบ้างจะไม่รู้ ต่อให้เป็นวัตถุดิบที่ดีเพียงใด เมื่อไปถึงในห้องเครื่องหลวงก็จะถูกกฎระเบียบนั่นนี่เปลี่ยน จนสูญเสียรสชาติดั้งเดิมไปจนหมด
ดีสู้ข้างนอกได้ที่ใดกัน
ได้แต่สวยงามเท่านั้น!
ฮ่องเต้เซี่ยเจินเสียหน้าเพราะไท่ซ่างหวง ย่อมต้องไปหาเรื่องกับเผยยวน “ร่างกายไม่แข็งแรงจริงหรือ? ให้หมอหลวงดูอาการให้เจ้าดีหรือไม่?”
หากว่าเขาแกล้งป่วย กลับไปจะต้องสั่งลงโทษเขาข้อหาหลอกลวงเบื้องสูงให้ได้
เผยยวนยังไม่ทันพูดอะไร จี้จือฮวนก็เอ่ยเสียงเรียบขึ้นมาเสียก่อน “ไม่รบกวนดีกว่า”
ดู ๆ เจ้าสองคนนี้เห็นเขาอยู่ในสายตาบ้างหรือไม่?
“เจ้าคือ?”
“อาจารย์ข้า” ไท่ซ่างหวงเอ่ยแทรกขึ้นมา
ฮ่องเต้สะอึกไปทันที “อะไรนะพ่ะย่ะค่ะ?”
ไท่ซ่างหวงเลิกคิ้วขึ้น “มีอะไรแปลกกัน ข้าเรียนรำไท่เก๊กกับนาง ไม่ใช่อาจารย์ข้าแล้วจะเป็นอะไรได้ ยังมีเป็ดสองตัวนั่นที่อยู่ข้าง ๆ เจ้า จะว่าไปแล้วก็นับว่าเป็นลูกรักของข้า เจ้าระวังด้วยล่ะ อย่าไปเหยียบพวกมันเข้า”
.
.
.