เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย - บทที่ 240 กินข้าวสักคำนั้นไม่ง่าย
- Home
- เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย
- บทที่ 240 กินข้าวสักคำนั้นไม่ง่าย
บทที่ 240 กินข้าวสักคำนั้นไม่ง่าย
คนในราชสำนักจึงนั่งมองพ่อกับลูกต่อสู้กันเท่านั้น ขอเพียงฟ้าไม่ถล่มลงมาก็ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเขาอยู่แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นบ้านเมืองภายใต้การปกครองของตระกูลเซี่ย บัดนี้ก็ยังถือว่ามั่นคงอยู่ ศึกภายในมีเพียงยังไม่ได้แต่งตั้งองค์รัชทายาท และองค์ชายทะเลาะเบาะแว้งกันเองเท่านั้น ส่วนศึกภายนอกก็ไม่เพียงพอที่จะสั่นคลอนรากฐานของบ้านเมืองได้ ชายแดนที่เผยยวนปกป้อง จนตอนนี้ก็ไม่มีพวกป่าเถื่อนมาก่อความวุ่นวายอีก บวกกับทางถู่เจียเป็นพันธมิตรทางการทูตมาหลายสิบปี และมีองค์หญิงใหญ่อยู่ จึงไม่ต้องกังวลว่าถู่เจียจะฉีกข้อตกลงทิ้ง
นานวันเข้าชีวิตก็เริ่มน่าเบื่อ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะได้เห็นฮ่องเต้องค์ปัจจุบันถูกทรมาน คิดเสียว่ากำลังดูละครอยู่ก็พอแล้ว
เดิมพวกเขาคิดว่าเผยยวนจะก่อกบฏ ใต้หล้าจะโกลาหล ทำให้แต่ละคืนไม่สามารถข่มตานอนหลับได้ กังวลเรื่องนี้กังวลเรื่องนั้นไม่หยุด ตอนนี้พวกเขาเข้าใจแล้ว ว่าเผยยวนที่แม้แต่จะก้มลงคารวะก็จะกระอักเลือดนั้นไม่มีความคิดที่จะก่อกบฏ แต่เป็นไท่ซ่างหวงที่ต้องการสั่งสอนฮ่องเต้องค์ปัจจุบันที่ไม่ได้เรื่องแรง ๆ สักทีก็เท่านั้น
เช่นนั้นพวกเขายังจะต้องกังวลอะไรอีก ฮ่องเต้ทุกวันนี้มีคุณธรรมเช่นไร ก็ไม่อาจเทียบเท่ากับตอนที่ยังเป็นหนุ่มได้อีกแล้ว ขุนนางที่คอยตักเตือนอย่างตรงไปตรงมากี่คนแล้วที่ถูกตำหนิ ฝ่ายตรวจการก็กลายเป็นเพียงไม้ประดับเท่านั้น หากไม่ใช่เพราะครั้งนี้เสิ่นฉางซานออกโรงทำให้ราชสำนักสั่นสะเทือน เกรงว่าฝ่าบาทคงจะเลียนแบบทรราชในอดีต นำเงินในท้องพระคลังย้ายเข้าคลังของตนเองไปหมดแล้ว
คิดมาถึงตรงนี้ นอกจากลูกหลานตระกูลใหญ่ที่ชอบโอ้อวดว่าตัวเองสูงศักดิ์ที่รู้สึกว่าไม่สะดวกสบายแล้ว ขุนนางที่มาจากครอบครัวที่ยากจนต่างก็คิดว่าเหมือนได้กลับบ้านเกิดและสัมผัสความอบอุ่นของบ้านเกิดอีกครั้ง
กลิ่นหอมของชนบท นาข้าวที่คุ้นเคย ทำให้พวกเขานึกถึงตอนที่ยังไม่ประสบความสำเร็จ ตอนที่ร่ำเรียนอย่างยากลำบาก ช่วงเวลาที่ยากจนจนต้องกินผักป่ากับข้าวต้ม
อดไม่ได้ที่จะทำให้ผู้คนคิดถึง ในเวลานั้นที่จุดมุ่งหมายยังไม่บรรลุผล บ้านเมืองที่เคยคิดไว้ว่าอยากให้เป็น เป็นเหมือนอย่างตอนนี้หรือไม่ หรือว่าหลายปีมานี้ล่องลอยอยู่ในราชสำนักจนลืมปณิธานเดิมไปหมดแล้ว
ทำให้ภายในใจของแต่ละคนเกิดปณิธานอันยิ่งใหญ่ หากครั้งหน้าจอมปราชญ์เสิ่นเกลี้ยกล่อมอีก พวกเขาก็จะตามไปเกลี้ยกล่อมด้วย
ในราชสำนักจะล่วงเกินผู้ใดก็ไม่สามารถล่วงเกินเอี๋ยนกวน*ได้ เป็นเจ้าหน้าที่ที่ไม่อาจลงโทษได้ หากเขายังมีพู่กันอยู่ในมือก็สามารถทำลายพวกเจ้าได้ ทั้งอำนาจและชื่อเสียง บทความที่งดงามถูกเขียนขึ้นมาในหัวแล้ว เหลือแค่รอฮ่องเต้ที่ไม่ฟังใครอย่างฮ่องเต้เซี่ยเจินทำตัวดื้อดึงกับไท่ซ่างหวงขึ้นมาอีก จะได้เพิ่มชื่อพวกเขาในรายชื่อของขุนนางที่ซื่อสัตย์สุจริต ไม่เกรงกลัวอำนาจและเป็นการสร้างชื่อเสียงให้ตัวเองอีกด้วย
* เอี๋ยนกวน (言官) ชื่อตำแหน่งผู้ตรวจสอบ มีหน้าที่หลักในการกำกับดูแลและให้คำแนะนำเรื่องต่าง ๆ
ฮ่องเต้เซี่ยเจินยังไม่รู้ว่าเหล่าขุนนางตอนนี้ใกล้จะเปลี่ยนข้างแล้ว ส่วนเหล่าองค์ชายที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างดีตั้งแต่เด็ก เพื่อจะได้ขึ้นครองบัลลังก์พวกเขาก็เคยไปชนบทเพื่อสัมผัสกับความยากลำบากในการดำรงชีวิตของผู้คน ไปค่ายทหารเพื่อปลอบขวัญเหล่าทหาร แต่นั่นก็เป็นเรื่องเมื่อหลายปีมาแล้ว พวกเขาลืมมันไปตั้งนานแล้ว
อีกอย่างตอนนั้นก็ไม่ได้ทำงานด้วยตัวเองเกินหนึ่งหรือสองชั่วยาม ทำให้ตอนนี้ร่างกายของพวกเขาสู้ไม่ไหว
หลังจากก้มหน้าไถดินได้ไม่นาน ฮ่องเต้เซี่ยเจินก็รู้สึกว่ากระดูกของเขาแทบจะหักอยู่แล้ว
พลางครุ่นคิดไปว่าเมื่อใดจะได้เวลาอาหาร และได้กินให้อิ่มเสียหน่อย
ตอนนั้นเองไท่ซ่างหวงก็เดินนำเป็ดองครักษ์ของเขา พลางขยับผลมันฮ่อในมือและฝึกรำไท่เก๊กด้วยจิตใจที่สงบอยู่บนคันนา
แสดงออกชัดเจนว่าจะเฝ้าดูฮ่องเต้เซี่ยเจินทำงานอยู่ที่นี่
ฮ่องเต้เซี่ยเจินจึงทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ก้มหน้าก้มตาทำนาต่อไป
ทันใดนั้นในนาก็มีเพียงเสียงคนทำงานเท่านั้น ใครใช้ให้นายใหญ่ยังประทับอยู่ตรงนี้กันเล่า ใครกล้าตะโกนว่าไม่อยากทำก็ลองดูสิ
หลังจากที่รอดชีวิตมาได้จนถึงเที่ยงวัน กลิ่นหอมของอาหารในหมู่บ้านก็ได้ลอยออกมาแล้ว ทุกคนต่างก็กำลังรออยู่
เมื่อเห็นหม้อที่ตั้งอยู่บนเตาด้านนอกถูกยกฝาขึ้น เนื้อนั่นไม่รู้ว่าทำมาจากอะไร มันช่างมันวาวและชุ่มฉ่ำยิ่งนัก จากนั้นมันก็ไปโปะอยู่บนเมล็ดข้าวที่ขาวนุ่มอย่างเรียบร้อย ทหารเกราะเหล็กเข้าแถวอย่างเป็นระเบียบ แต่ละคนถือจานทรงสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ที่ทำจากไม้ พร้อมชามอีกหนึ่งใบ โดยพวกเขาได้รับอาหารสี่อย่างกับน้ำแกงหนึ่งอย่าง มีทั้งเนื้อและผัก
นี่…เสบียงทหารนี่เอามาจากที่ใดกัน!?
เงินของเผยยวนยังไม่หมดอีกหรือ! กินเช่นนี้ทุกมื้อจะอยู่ได้สักกี่วัน ไม่ใช่ว่าตบหน้าตัวเองให้บวมเพื่อให้ดูอ้วนขึ้น**หรอกกระมัง
** ตบหน้าตัวเองให้บวมเพื่อให้ดูอ้วนขึ้น (打肿脸充胖子) คำเปรียบเปรยของคนที่ทําหน้าใหญ่ใจโต
อีกอย่าง เมื่อไรจะถึงตาพวกเขากัน พวกเขาไม่มีจานสี่เหลี่ยมเช่นนั้น ต้องไปเอาจากที่ใดเล่า?
“ข้าอยากกินเนื้อนั่น รู้สึกเหมือนจะอร่อยกว่าที่พ่อครัวทางใต้ที่จวนของข้าเชิญมาทำเสียอีก”
“เจ้าหิวน่ะสิ ข้าว่าอีกเดี๋ยวก็คงถึงตาพวกเราแล้ว จะเข้าแถวตามตำแหน่งหรือว่าอย่างไร?”
“ให้ใครไปสืบดูดีหรือไม่?”
คนทั้งกลุ่มกำลังพึมพำกันอยู่ อาหารทางด้านนั้นก็ตักหมดแล้ว ก่อนจะปิดฝาและเทน้ำทิ้ง เตรียมจะล้างทำความสะอาดแล้ว
อ้าว! ไม่ได้เตรียมเผื่อพวกเขาสักนิดเลยอย่างนั้นหรือ!
เช่นนั้นอาหารของพวกเขาเล่า?
เมื่อคืนก็ไม่ได้กิน ตอนนี้พวกเขาจึงหิวจนมองเห็นเป็ดตัวอ้วน ๆ ของไท่ซ่างหวงฝูงนั้น กลายเป็นน้ำแกงเป็ดไปแล้ว
ฮ่องเต้เซี่ยเจินเองก็หิวเช่นกันและกำลังรอเวลากินข้าวอยู่ สุดท้ายกลับไม่มีอาหารสำหรับเขา
ทางด้านนี้ หย่งกวานโหวที่อ้างว่าแค่คารวะก็จะกระอักเลือดออกมา กลับหิ้วเถาอาหารผ่านหน้าฮ่องเต้เซี่ยเจินไปด้วยท่าทางอ่อนแรง ก่อนจะหยิบอาหารที่หน้าตาน่ากินในเถาออกมา “ท่านผู้เฒ่า ท่านป้า กินข้าวขอรับ”
เดิมทีองค์หญิงใหญ่ไม่อยากกินที่ด้านล่างเนินเขา เพราะหากกลับบ้านไปกอดหลานรักทั้งสามของนาง พลางเถียงกับพ่อตัวเองไปด้วย ต้องกินอร่อยกว่าอยู่แล้ว
แต่หากนางกลับไปบ้าน เจ้าพวกนี้อาจเล่นลูกไม้เพื่ออู้งานเป็นแน่ นางจึงเลือกที่จะนั่งอยู่ตรงนี้ดีกว่า
ซึ่งเผยยวนก็เตรียมอาหารมาส่งให้พวกเขาสามคนเท่านั้น
แน่นอนว่าพวกท่านป้าคนอื่น ๆ ต้องกลับบ้านไปกินข้าว หลี่ฮองเฮาจึงลุกขึ้นไปช่วยเผยยวน
ทั้งสามเพิ่งจะนั่งลง ฮ่องเต้เซี่ยเจินก็ชะเง้อคอมอง “เสด็จพ่อ…”
ฮองเฮายังสามารถนั่งกินตรงนั้นได้ เขาก็ไม่ควรต้องทนหิวเช่นนี้สิ
ไท่ซ่างหวงหันหน้าไป “มีอะไร?”
“…”
จะให้คนพูดออกไปได้อย่างไร?
ตอนนี้ฮ่องเต้เซี่ยเจินใบ้กินไปแล้ว
ทางด้านนี้เผยยวนก็เก็บเถาใส่อาหาร ก่อนจะเดินตัวเบาขึ้นเนินเขาไป เตรียมกินข้าวที่ภรรยาตัวน้อยของเขาเป็นคนทำ
แม้จะไม่เห็นว่าเขามีท่าทางจะกระอักเลือดใด ๆ แต่แน่ชัดแล้วว่าเขาจะไม่เอาอาหารมาส่งอีก
ฮ่องเต้เซี่ยเจินรู้สึกโมโหไม่น้อย ก่อนจะเตะเจียงเต๋อไปหนึ่งที “พ่อครัวหลวงเล่า? ยังไม่ตายก็ให้เขาไปทำอาหารซะ”
แน่นอนว่าพ่อครัวหลวงยังไม่ตายและไม่มีวัตถุดิบด้วย ต้นเหตุจึงไม่ได้อยู่ที่เขา แถมคนที่ไปซื้อผักวันนี้ก็หายตัวไปแล้วด้วย
ดังนั้นความรู้สึกตื่นตระหนกของทุกคนในตอนแรก บัดนี้กลับกลายเป็นความด้านชาไปแล้ว
พ่อครัวหลวงล้วงแป้งอบที่เหลือจากเมื่อคืนออกมา ก่อนจะเอ่ยอย่างไม่ยี่หระต่อความตาย “เจ้ากลับไปกราบทูลฝ่าบาทเถอะ เหลือเพียงแป้งอบเท่านี้แล้ว ต่อให้ฆ่าข้าก็ไม่มีแล้ว”
ลูกสะใภ้ไร้ข้าวสารก็ไม่อาจทำอาหารได้ ไม่มีวัตถุดิบจะทำอาหารได้อย่างไรกัน!
คิดจะไปล่าสัตว์ คนที่จะส่งไปก็ไม่มีแล้ว ให้คนไปจับปลาในแม่น้ำ ก็ถูกคนของหมู่บ้านตระกูลเฉินจับและถูกปรับเงินด้วย
เขาไม่อยากทำแล้ว เขายอมกลับบ้านเก่าไปเปิดร้านเสียยังจะดีกว่า พ่อครัวหลวงใครอยากทำก็ทำไป
…
ฟางจวิ่นเหมยกินข้าวเสร็จกำลังงีบอยู่ในลานบ้านของตัวเอง ทางด้านนี้ก็มีชายหนุ่มสองคนโผล่หน้ามา ดูจากชุดแล้ว อย่างไรเสียฟางจวิ่นเหมยก็ดูไม่ออกว่าเป็นขั้นที่เท่าใดกันแน่ แต่ก็ยังเอ่ยถามออกไป “จะทำอะไร?”
เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มสองคนนั้นก็รู้สึกอายเช่นกัน ก่อนจะบอกว่าตัวเองมาจากสำนักบัณฑิตฮั่นหลิน อยากซื้อของกินสักหน่อย
ฟางจวิ่นเหมยเห็นพวกเขาดูน่าสงสาร จึงลุกขึ้นไปเอาแป้งทอดผักป่ามาให้สองชิ้น “กินที่นี่เถอะ กลับไปไม่แน่ว่าอาจจะต้องเอาให้ผู้ใหญ่กินอีก”
…
แต่ละคนต่างออกไปหาซื้ออาหารกัน ฮ่องเต้อย่างเซี่ยเจินที่นั่งอยู่ตรงนี้ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห “น่าแปลก เจ้าพวกเด็ก ๆ ตระกูลไป๋ ตระกูลเยี่ยน ไปไหนกันหมดแล้ว!”
คนที่หายไปล้วนเป็นลูกหลานของตระกูลขุนศึก เป็นคนที่เขาเลื่อนขั้นให้กับมือ แม้ตอนนี้จะยังไม่สามารถแทนที่เผยยวนได้ แต่อย่างน้อยก็สามารถสนับสนุนเขาได้
เจียงเต๋อเองก็นึกสงสัยเช่นกัน “เมื่อครู่ก็ไม่เห็นเหล่าคุณชายแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นยังไม่ไปตามหาอีก!”
.
.
.