เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย - บทที่ 249 ถูกใส่ร้าย
บทที่ 249 ถูกใส่ร้าย
‘เซี่ยหยาง’ ไปเยี่ยมฮ่องเต้เซี่ยเจินก่อน หลังจากคารวะแล้วจึงได้เตรียมกลับกระโจม
ตอนนี้ข่าวที่ว่าเซี่ยฉือทายาทของอดีตองค์รัชทายาทยังมีชีวิตอยู่ก็ปิดไม่มิดแล้ว หรือจะบอกว่าคนเบื้องบนก็ไม่อยากจะปิดบังอีกต่อไป
เขาต้องไปรายงานข่าวนี้ให้องค์ชายรองทรงทราบ
“เป็นเพราะเรื่องของอัครมหาเสนาบดีหานหรือพ่ะย่ะค่ะ ถึงทำให้หลายวันมานี้เสด็จพี่รองพูดน้อยลงมาก”
“บัดนี้เรื่องของตำหนักบูรพาไม่ได้เป็นไปอย่างที่คิดเอาไว้ อัครมหาเสนาบดีหานก็มาเกิดเรื่องขึ้น เสด็จพี่คงไม่ได้จะนั่งรออยู่เฉย ๆ หรอกกระมังพ่ะย่ะค่ะ”
‘เซี่ยหยาง’ คิดเอาไว้อยู่แล้วว่าสองคนนี้เป็นพวกที่ชอบสร้างความยุ่งยาก
“น้องชายทั้งสองไม่ต้องเป็นกังวลแทนข้าหรอก เสด็จแม่ไม่สบาย ข้าต้องไปเยี่ยมนางก่อน ขอตัวล่ะ”
เซี่ยเซวียนกับเซี่ยซั่วสบตากัน ในแววตาของทั้งคู่ล้วนมีความระแวงพาดผ่าน
ที่ ‘เซี่ยหยาง’ ตัวปลอมบอกว่าจะไปเยี่ยมหานเหม่ยเหรินนั้นก็เป็นเพียงข้ออ้าง เมื่อเดินไปได้ครึ่งทางเขาก็หันหลังกลับ
โชคดีที่กระโจมของ ‘เซี่ยหยาง’ อยู่ห่างจากองค์ชายสามและองค์ชายห้าอยู่พอสมควร ห่างไปไม่ไกลก็เป็นผู้ติดตามของเขา อีกครู่หนึ่งเขาค่อยหาข้ออ้างให้หานฉีมาพบและส่งข่าวให้ก็คงเหมือนกัน
คนรับใช้ข้างกายจุดเทียนเสร็จ ‘เซี่ยหยาง’ ก็โบกมือไล่ให้คนออกไป เมื่อเขาเดินอ้อมฉากบังลมไปแล้ว จึงสังเกตเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติ
แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้สายไปเสียแล้ว
เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ‘เซี่ยหยาง’ ตัวปลอมก็ตกอยู่ในความมืด เขามองไม่เห็นอะไรเลย และไม่ได้กลิ่นอะไรด้วย เขาเพียงรู้สึกว่ามีร่างนุ่มนิ่มร่างหนึ่งนอนอยู่บนกายของเขา มือที่อ่อนนุ่มกำลังจุดไฟในร่างของเขา
กระแสความร้อนมากมายหลั่งไหลลงไปรวมอยู่เบื้องล่าง เซี่ยหยางตัวปลอมแยกไม่ออกแล้วว่าตอนนี้เป็นวันอะไร เขาแค่อยากหาความสุขให้ตัวเองเท่านั้น
ภายในมุมหนึ่งของกระโจม มีคนค่อย ๆ ล่าถอยออกมา และมุ่งหน้าไปยังกระโจมขององค์ชายสาม
เซี่ยเซวียนกำลังพูดคุยเรื่องต่าง ๆ กับขุนนางคนสนิทสามสี่คนอยู่ คนรับใช้คนหนึ่งก็เดินมาทางพวกเขาด้วยความตื่นตระหนก จนเตะโดนเหล้าไหหนึ่งล้มลงกับพื้น และหกใส่รองเท้าของเซี่ยเซวียน
“ไม่มีตาหรืออย่างไรกัน!” องครักษ์ของเซี่ยเซวียนเตะคนผู้นั้นออกไป คนรับใช้ผู้นั้นตกใจจนรีบคุกเข่าคารวะอยู่ที่พื้น “กระหม่อมไม่รู้อะไร กระหม่อมไม่รู้อะไรพ่ะย่ะค่ะ”
เซี่ยเซวียนขมวดคิ้ว “พูดอะไรของเจ้ากัน เจ้ามาจากที่ใด!”
องครักษ์ดึงคนขึ้นมา “เป็นคนของกระโจมองค์ชายรองพ่ะย่ะค่ะ”
เซี่ยเซวียนเลิกคิ้วขึ้น “เห็นอะไรมาถึงได้ตกใจเพียงนี้?”
เสียงดังเอะอะจากทางด้านนี้ ทำให้องค์ชายห้าที่อยู่ใกล้ ๆ ก็ชะโงกหน้าออกมาดูด้วย “มีอะไรหรือ?”
“ไม่รู้สิ เป็นคนของพี่รอง ตัวสั่นงันงกอย่างกับเห็นผีมา”
คนรับใช้ปัดมือไปมา “กระหม่อมไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้อะไรเลยพ่ะย่ะค่ะ”
ทั้งหมดสบตากัน “ข้าว่าคนผู้นี้คงสติไม่สมประกอบ ไม่แน่พี่รองอาจมีปัญหาอะไรก็เป็นได้ เจ้าไปดูหน่อยสิ”
องครักษ์ผู้หนึ่งรับคำสั่ง ทว่าคนรับใช้ผู้นั้นจู่ ๆ ก็ดึงรองเท้าขององครักษ์เอาไว้แน่น “ไม่มี ไม่มีอะไรทั้งนั้น!”
พยายามปกปิดความจริงเช่นนี้ ต่อให้เป็นคนที่ความรู้สึกช้าเพียงใดก็ย่อมสังเกตเห็นถึงความผิดปกติได้
เซี่ยซั่วไม่ได้มีความอดทนเพียงนั้น “ดูท่าพี่รองคงเกิดเรื่องขึ้นจริง ๆ ลากเจ้าคนซื่อบื้อนี่ไป แล้วตามข้าไปดู”
จุดอ่อนของเซี่ยหยางไม่ใช่จะหาเจอง่าย ๆ เกิดเรื่องในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ เขารนหาที่ตายเองชัด ๆ
…
“อย่าเข้ามา ไม่ใช่ข้า เจ้าอย่าเข้ามา
เจ้ามาหาข้าทำไม!
เจ้ากลับมาแล้วใช่หรือไม่ เจ้ากลับมาก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้…”
“ฝ่าบาท ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ!” เสียงเรียกไกลบ้างใกล้บ้างดังอยู่ข้างหู ฮ่องเต้เซี่ยเจินลืมตาขึ้นมาทันที แสงเทียนในกระโจมซ้อนทับกับภาพที่มืดและนองเลือดเมื่อครู่
ฮ่องเต้เซี่ยเจินราวกับสามารถได้กลิ่นคาวเลือดนั่นอีกครั้ง
“มีอะไร” เขาไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำว่าน้ำเสียงของเขาเวลานี้แหบแห้งเพียงใด
เจียงเต๋อคุกเข่าลงทันที “ฝ่าบาท…องค์ชายสามและองค์ชายห้าบอกว่ามีเรื่องสำคัญจึงมาขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้เซี่ยเจินเอ่ยด้วยความไม่พอใจ “พวกเขาจะมีเรื่องสำคัญอะไรได้”
เจียงเต๋อกังวลจนแทบจะร้องไห้ออกมาอยู่แล้ว เขาคุกเข่าและคลานเข้าไปข้างหน้าสองก้าว “เรื่องเกี่ยวกับองค์ชายรองกับ…หานเหม่ยเหรินพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้เซี่ยเจินคลึงหว่างคิ้ว “พวกเขาสองแม่ลูกทำไม เป็นเพราะอาการป่วยของหานเหม่ยเหรินใช่หรือไม่ หมอหลวงตรวจดูแล้วหรือยัง?”
เจียงเต๋อส่ายหน้า “มิใช่เพราะเรื่องนั้นพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทมิสู้ให้พวกเขาเข้ามาก่อนดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ เรื่องนี้พูดยากจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้เซี่ยเจินจ้องหน้าเขา “ให้พวกเขาเข้ามาได้”
หนึ่งเค่อต่อมา มีเสียงเกรี้ยวกราดดังขึ้นในค่ายพักแรมของฮ่องเต้ ทุกคนที่ยังอยู่นอกกระโจมล้วนถูกไล่กลับไป รู้สึกได้แค่ว่าไฟด้านนอกสว่างไสว ทหารองครักษ์ถูกส่งออกไปโดยพร้อมเพรียงกัน หลังจากเสียงร้องไห้ของสตรีผู้หนึ่งดังขึ้น ทุกอย่างก็กลับมาอยู่ในความสงบ
ฮ่องเต้เซี่ยเจินให้ทุกคนรออยู่ด้านนอก ส่วนเขากลับถือดาบเข้าไปในกระโจมของเซี่ยหยาง
เมื่อครู่ตอนที่เซี่ยเซวียน เซี่ยซั่วเข้ามา เนื่องจากตื่นตระหนกอย่างมาก และไม่อาจตัดสินใจเองได้ จึงมัดทั้งสองคนไว้ในผ้าห่มผืนเดียวกัน และออกไปขอความคิดเห็นจากฮ่องเต้เซี่ยเจิน
โอกาสที่หาได้ยากเช่นนี้ยื่นมาตรงหน้าของพวกเขา แม้แต่พวกเขาทั้งสองคนก็คาดไม่ถึง
เซี่ยหยางปกติมักเป็นคนทำอะไรรอบคอบ สหายที่เป็นหญิงงามด้านนอกก็มีไม่น้อย แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะชอบแม่บุญธรรมของตัวเอง
แม้หานเหม่ยเหรินจะงดงาม แต่อย่างไรเสียก็ยังต้องเรียกว่าแม่
คิดไม่ถึงว่าทั้งสองคนจะกระสันอยากกันถึงเพียงนี้ ฮ่องเต้เซี่ยเจินยังป่วยอยู่ พวกเขาก็ไม่สนใจอะไรและอยากจะเป็นคู่ยวนยาง*กันแล้ว ปกติเวลาอยู่ในตำหนักไม่แน่อาจจะเคยทำเช่นนี้มาแล้วก็ได้
* ยวนยาง (鸳鸯) หมายถึง เป็ดแมนดาริน โดยคนจีนถือเป็นสัญลักษณ์ของสามีภรรยาที่รักใคร่กัน
แต่หลังจากผ่านคืนนี้ไป คู่แข่งของพวกเขาสองคนก็นับว่าลดไปหนึ่งคนแล้ว
ฮ่องเต้เซี่ยเจินจ้องไปที่ผ้าห่มที่ถูกม้วนเอาไว้บนพื้น คำอ้อนวอนของสตรียังดังก้องอยู่ในหูของเขา และเป็นสตรีที่เขาโปรดปรานมาเกือบยี่สิบปี
เรื่องอื้อฉาวในราชวงศ์เช่นนี้ หากแพร่ออกไป เพียงแค่คิดถึงจุดจบและผลที่ตามมา ฮ่องเต้เซี่ยเจินก็แทบอยากจะฆ่าสองคนนี้ในทันที!
“สาดน้ำใส่พวกเขาสองคนจนกว่าจะได้สติ!”
เวลานี้ภายในกระโจมมีเพียงคนที่ฮ่องเต้เซี่ยเจินและเจียงเต๋อพามาเท่านั้น เรื่องสกปรกภายในวังเหล่านั้น พวกเขาถนัดมากที่สุด
เจียงเต๋อคิดว่าคืนนี้หานเหม่ยเหรินคงไม่สามารถหนีความตายพ้นเป็นแน่ เพียงแต่องค์ชายรอง…เดิมมีอนาคตที่สดใส แต่ตอนนี้คงจบลงแล้ว
เจียงเต๋อให้คนสาดน้ำเย็นใส่พวกเขาหนึ่งถัง จากนั้นจึงได้แกะยวนยางคู่นี้ออกจากผ้าห่ม
หานเหม่ยเหรินในเวลานี้ก็ได้สติขึ้นมาหลายส่วน เมื่อเห็นสถานการณ์ตรงหน้า และตัวนางเองที่มีเพียงผ้าห่มคลุมไว้ หลังจากกรีดร้องอยู่ครู่หนึ่งก็รู้ตัวทันที นางร้องไห้และรีบคลานไปหาฮ่องเต้เซี่ยเจิน
“ฝ่าบาท ฝ่าบาทหม่อมฉันถูกใส่ร้ายนะเพคะ หม่อมฉันไม่มีทางทำเรื่องเช่นนี้ได้! ได้โปรดทรงตรวจสอบด้วยเพคะ!”
ฮ่องเต้เซี่ยเจินไม่อยากพูดอะไรกับนางแม้เพียงประโยคเดียว “เจียงเต๋อ ประหาร”
“ฝ่าบาท ฝ่าบาทฟังหม่อมฉันอธิบายก่อนเพคะ หม่อมฉันจะเลอะเลือนจนทำเรื่องอับอายเช่นนี้ได้อย่างไรกัน มีคนใส่ร้ายหม่อมฉันเพคะ”
แต่ฮ่องเต้เซี่ยเจินรู้ดีว่าเรื่องนี้ไม่ได้ง่ายเช่นนั้น และบัดนี้นางก็ได้กระทำความผิดใหญ่หลวงไปแล้ว เขาจะปล่อยให้สตรีเช่นนี้อยู่ข้างกายได้อย่างไรกัน! ก็แค่สตรีผู้หนึ่ง ตายแล้วก็ตายไป!
หานเหม่ยเหรินอยู่กับฮ่องเต้เซี่ยเจินมาหลายปี จะมองว่าเขาต้องการสังหารตนเองไม่ออกได้อย่างไรกัน
ขณะที่นางเตรียมร้องไห้อ้อนวอนเป็นครั้งสุดท้าย เสียงของเซี่ยหยางอีกคนก็ดังขึ้นมาจากด้านนอก “เสด็จพ่อ ลูกมาขอรับผิดพ่ะย่ะค่ะ”
เจียงเต๋อชะงักไปครู่หนึ่ง หานเหม่ยเหรินก็คิดขึ้นมาได้ทันที นางดึงรองเท้าของฮ่องเต้เซี่ยเจินพลางเอ่ยขึ้นมา “ฝ่าบาท องค์ชายมาแล้วเพคะ ต้องมีคนใส่ร้ายหม่อมฉันแน่เพคะ หม่อมฉันไม่มีทางทรยศฝ่าบาทเด็ดขาดเพคะ”
ฮ่องเต้เซี่ยเจินเองก็นึกกังขาอยู่ในใจ ทั้ง ๆ ที่เซี่ยหยางคุกเข่าอยู่ที่พื้น เซี่ยหยางอีกคนมาจากที่ใดกัน “เข้ามาพูดข้างใน”
หานฉีพาเซี่ยหยางเข้ามาในกระโจมด้วยตัวเอง มือและเท้าของเขามีผ้าพันเอาไว้ไม่สามารถขยับได้ ดูก็รู้ว่าได้รับบาดเจ็บสาหัส ฮ่องเต้เซี่ยเจินขมวดคิ้ว เซี่ยหยางจึงเอ่ยปากขึ้นมา “เสด็จพ่อ ลูกเกือบไม่ได้พบเสด็จพ่อแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ! ขอเสด็จพ่อทรงตรวจสอบด้วย ลูกกับเสด็จแม่ล้วนถูกคนชั่วใส่ร้ายพ่ะย่ะค่ะ”
.
.
.