เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย - บทที่ 253 เหตุใดเจ้าไม่แสร้งทำต่อ
- Home
- เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย
- บทที่ 253 เหตุใดเจ้าไม่แสร้งทำต่อ
บทที่ 253 เหตุใดเจ้าไม่แสร้งทำต่อ
จากนั้นจี้จือฮวนก็ได้ยินเผยยวนหัวเราะด้วยเสียงแหบห้าวและแฝงความเอาแต่ใจเบา ๆ
นางรู้มาตลอดว่าบุรุษที่อยู่ตรงหน้านั้นหยิ่งยโสและแฝงไว้ด้วยความเฉียบคม ดังนั้นในบางเวลาความดื้อรั้นที่อยู่ภายในก็มักจะเผยออกมาตรง ๆ
ท่าทางเชื่อฟังของเขาล้วนเป็นแผนการที่เขาวางเอาไว้ หากคู่ต่อสู้หลุดเข้ามาในตาข่ายของเขาแล้วล่ะก็ เขาจะกลืนลงท้องโดยไม่เกรงใจเช่นเดียวกับในเวลานี้
แรงที่บังคับนางเกือบจะดูรุนแรง ราวกับว่าเขาเตรียมการล่วงหน้าเอาไว้แล้วหากนางไม่ให้ความร่วมมือ
ว่ากันว่ายามเช้าเป็นช่วงเวลาที่ผู้ชายจะทำตามสัญชาตญาณมากที่สุด ตอนนี้จี้จือฮวนได้เข้าใจความหมายที่แท้จริงของคำกล่าวนี้อย่างลึกซึ้งแล้ว ดวงตาของเขาไม่กระจ่างใสและนุ่มนวลอีกต่อไป แต่กลับแฝงไว้ด้วยความปรารถนาอันแรงกล้า จูบที่นุ่มนวลแตะลงที่แก้มของนาง ขณะที่กลืนน้ำลายนางก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ากำลังถูกเขาชักนำ
ทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา ชายผู้นี้ดูเหมือนปลอดภัยและไร้พิษสง แต่ในพื้นที่ของเขา เขาต้องการอำนาจและเป็นผู้นำอย่างแท้จริง
จี้จือฮวนรู้สึกว่าก่อนหน้านี้ล้วนถูกภาพที่เขาสร้างขึ้นหลอกเอา
น้องชายก็เป็นผู้ชายเหมือนกัน ทั้งยังเป็นผู้ชายที่โตเต็มวัยอีกด้วย
การเล่นละครตบตาของเขาก่อนหน้านี้ คงไม่ใช่เพราะกลัวว่านางจะไล่เขาออกไปหรอกกระมัง?
“เจ้าใจลอย” เขาตำหนิออกมา แต่ฝ่ามือกลับยังคงวางอยู่ที่เอวคอดกิ่วของนาง ปลายนิ้วร้อนดูเหมือนจะไล้ขึ้นไปด้านบน แต่ก็ยังยับยั้งชั่งใจได้จึงดึงกลับมาอย่างช้า ๆ
จี้จือฮวนรู้สึกว่าอย่างน้อยเขาก็ยังรู้ว่าตอนนี้คือเวลาใด นับว่ายังมีความยับยั้งชั่งใจอยู่
ทว่าพริบตาต่อมา ดวงตาของนางก็ต้องเบิกโพลง
สัมผัสที่เปียกชื้นและต้องการกระตุ้นบางอย่างหยุดอยู่ที่ใบหู จี้จือฮวนได้ยินเขาเอ่ยออกมา “ยิ่งข้าอดทนมากเท่าใด ภายหน้าข้าก็ยิ่งจะเรียกร้องรุนแรงขึ้นเท่านั้น”
จี้จือฮวนใจสั่นไหว ขนตางอนยาวกะพริบปริบ ๆ “เหตุใดเจ้าไม่แสร้งทำเหมือนที่ผ่านมาแล้วล่ะ?”
เผยยวนสูงกว่านาง ยามที่สายตานั้นจ้องมาที่ร่างของนาง จึงแฝงไว้ด้วยความเหนือกว่าเล็กน้อย เมื่อมองเขาใกล้ ๆ เช่นนี้ จี้จือฮวนจึงทำตัวไม่ถูกขึ้นมา
นางคิดว่าฮอร์โมนเป็นสิ่งที่อธิบายได้ยากจริง ๆ
นางรู้สึกว่ากำลังถูกล่อลวง ถ้าหากตอนนี้เป็นเวลากลางคืนล่ะก็ ใครจะกินใครก็ยังไม่รู้เลย
“ข้าไม่ได้แสร้งทำ ข้าต้องการเจ้าจริง ๆ เดิมก็ไม่ได้แสร้งทำอยู่แล้ว”
แม้ในตอนแรกเขากลัวว่าจะถูกไล่ออกไปก็จริง แต่เผยยวนจะยอมรับได้อย่างไรกัน?
จี้จือฮวนถึงกับตกตะลึงเมื่อได้ยินความหมายแฝงในคำพูดเหล่านี้
เสียงฝีเท้านอกประตูใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ เผยยวนปล่อยมือที่รั้งนางไว้ออก ลมหายใจกระชั้นขึ้นเล็กน้อย จี้จือฮวนจึงเอ่ยเย้าแหย่ขึ้นมา “เจ้าไม่เห็นต้องทำให้ตัวเองทรมานเช่นนี้เลย”
กลางวันแสก ๆ ในบ้านเต็มไปด้วยผู้คน จะทำให้ตัวเองลำบากทำไมกัน
หลังจากพูดจบก็สะบัดชายกระโปรงราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น และผลักประตูออกไป
เผยยวนหัวเราะออกมาด้วยความโมโห ก่อนจะกัดฟันกรอด พลางครุ่นคิดว่าเมื่อใดพวกฮ่องเต้เซี่ยเจินจะไสหัวไปเสียที
…
แม้ว่าทุกคนจะประหลาดใจกับข่าวการตายอย่างกะทันหันของหานเหม่ยเหริน แต่ดูจากสถานการณ์เมื่อคืนนี้ก็ไม่มีใครกล้าคาดเดา
เพราะคนร่างกายแข็งแรงจู่ ๆ มาตายไปเช่นนี้ มิหนำซ้ำองค์ชายทั้งหลายก็ยังถูกลงโทษให้กักบริเวณเพื่อสำนึกผิดห้ามออกมา จึงทำให้ผู้คนต่างพากันหวาดหวั่น
ฮ่องเต้เซี่ยเจินเองก็ล้มป่วยนอนไม่หลับทั้งคืนจนรุ่งสาง จึงให้ถังกั๋วกงเป็นตัวแทนตัวเองไปคารวะไท่ซ่างหวง
ซูเฟยไปดูแลฮ่องเต้เซี่ยเจินที่ป่วยอยู่ตั้งแต่เช้าตรู่ และถือโอกาสไปสืบเรื่องของหานเหม่ยเหรินด้วย
องค์ชายสิบไม่มีใครดูแล ดังนั้นจึงไปเดินเล่นที่หมู่บ้านตระกูลเฉิน
ทันทีที่ก้าวเข้าไป เขาก็มองสำรวจไปรอบ ๆ อย่างหวาดระแวง “เหตุใดวันนี้ไม่ต้องลงชื่อแล้วล่ะ?”
เมื่อวานนี้แม้แต่มือเล็ก ๆ ของเขาก็ยังต้องประทับลายนิ้วมืออยู่เลย
หมู่บ้านตระกูลเฉินเงียบสงบเช่นนี้ ต้องมีแผนการบางอย่างเป็นแน่
คนรับใช้จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มออกมา “เมื่อวานนี้ได้คารวะไท่ซ่างหวงแล้ว วันนี้การห้ามจึงถูกยกเลิก ดังนั้นนอกจากทหารราชองครักษ์แล้วทุกคนสามารถเข้าไปได้พ่ะย่ะค่ะ แต่ว่าองค์ชายอย่าทำเช่นเมื่อวานเด็ดขาดนะพ่ะย่ะค่ะ กฎของที่นี่เข้มงวดมากพ่ะย่ะค่ะ”
หากถูกเด็กในหมู่บ้านทุบตีอีก ก็จะไม่สามารถเรียกร้องความยุติธรรมให้เขาได้แล้ว คงทำได้เพียงร้องไห้เรียกหาเสด็จพ่อเสด็จแม่เป็นแน่
เมื่อนึกถึงเสียงร้องโหยหวนเหมือนหมูโดนฆ่าเมื่อคืนนี้ คนรับใช้ก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมา โชคดีที่ฝ่าบาททรงพระประชวร อีกทั้งกระโจมก็อยู่ไกลจึงไม่ได้ยิน ไม่อย่างนั้นองค์ชายสิบต้องถูกจับตัวไปโบยเป็นแน่
องค์ชายสิบไม่คิดอย่างนั้น เขาไม่กลัวหรอก เขาเป็นถึงองค์ชาย! ถูกพวกเด็กบ้านนอกทำร้าย ความแค้นนี้เขาจะรับได้อย่างไร ความแค้นครั้งนี้เขาต้องเอาคืนให้จงได้!
“รู้แล้ว ๆ พูดมากจริง ๆ” องค์ชายสิบคิดได้ดังนั้นก็เดินเข้าไป
เมื่อวานนี้เขารู้แล้ว ครั้งนี้จะสู้กับเด็กพวกนั้นตัวต่อตัวไม่ได้เด็ดขาด ดังนั้นเขาจึงพาคนรับใช้ที่ฝีมือดีสองสามคนมาด้วย ถึงเวลาจับตัวมาได้คนหนึ่งค่อยซ้อม! ต้องตีจนพวกเขาคุกเข่าอ้อนวอนให้ได้!
องค์ชายสิบเดินวนรอบหมู่บ้านด้วยท่าทางขึงขัง “จริงสิ พวกเราขึ้นไปบนเนินเขานั่นกัน!”
เขาอยากขึ้นไปบนเนินเขานั่นตั้งแต่เมื่อวานแล้ว แต่มีคนจ้องอยู่ไม่ยอมให้เขาขึ้นไป ทั้งยังทำท่าราวกับบอกว่าที่ข้าทำก็เพราะหวังดีต่อเจ้า
เฮอะ เขาไม่เชื่อหรอก จะมีอะไรกัน!
บนเนินเขานั่นไม่ได้มีสถานที่พิเศษอะไรเสียหน่อย ต่อให้สวยงามเพียงใดจะสวยงามไปกว่าพระราชวังอีกอย่างนั้นหรือ แต่เมื่อเดินไปได้ครึ่งทาง จู่ ๆ องค์ชายสิบก็ลากคนรับใช้เข้าไปซ่อนตัวในพงหญ้า และชะโงกหัวออกมาอย่างเงียบ ๆ
ก่อนจะเห็นว่ามีเด็กคนหนึ่งเดินออกมาจากในรั้ว ด้านหลังมีเสือที่ทั้งตัวเป็นสีขาวราวกับหิมะตัวหนึ่งตามออกมา ขนาดของมันไม่นับว่าใหญ่ และมีสุนัขฝูงหนึ่งวิ่งตามหลังของเสือตัวนั้นมาด้วย
องค์ชายสิบมองด้วยความอิจฉา “ข้าอยากได้เสือตัวนั้น!”
คนรับใช้ตัวสั่นขึ้นมาทันที “หา?”
นี่…นี่กล้าจับอย่างนั้นหรือ “หรือไม่…พระองค์ลองดูสุนัขเหล่านั้นสิพ่ะย่ะค่ะ พวกมันก็น่ารักดีนะพ่ะย่ะค่ะ”
องค์ชายสิบหันมาถลึงตาใส่ “หมาบ้านนอกพวกนั้นหน้าตาน่าเกลียด คอตกเพียงนั้น สง่างามเท่ากับสุนัขล่าเนื้อของเหล่าเสด็จพี่ของข้าก็ไม่ได้ ข้าจะเอาเสือขาว เสือขาวถึงจะดูร้ายกาจ แค่จูงไปที่ลานล่าสัตว์ข้าก็เป็นคนที่เก่งที่สุดแล้ว”
องค์ชายสิบตั้งใจจะพาเมี้ยวเมี้ยวไปให้ได้ เขาเป็นถึงองค์ชาย เรื่องอะไรถึงไม่มีเสือขาว แต่เด็กบ้านนอกคนหนึ่งกลับมีได้?
ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่พอใจ เขาจึงดูจนแน่ใจแล้วว่าในลานบ้านไม่มีคนอื่นอยู่ จึงสั่งคนรับใช้ผู้นั้น “เจ้าไปคุยกับเขา จากนั้นก็ลากเขาเข้าไปในพงหญ้า ส่วนคนอื่น ๆ หากระสอบป่าน…”
ก่อนที่เขาจะพูดจบ ก็รู้สึกว่ามีบางอย่างเปียก ๆ เลียใบหน้าของเขาอยู่ แถมยังมีกลิ่นคาวอีกด้วย
องค์ชายสิบสะดุ้งด้วยความตกใจและหันกลับไปมอง ก็เห็นงูทั้งอ้วนและยาวสองตัวพันกันอยู่ พลางแลบลิ้นใส่เขา
และเจ้าเด็กคนเมื่อครู่ก็กำลังนั่งยอง ๆ อยู่ข้างกายเขา มือเล็ก ๆ ทั้งสองข้างเท้าคางอยู่ เมื่อเห็นเขามองกลับมาก็กะพริบตาปริบ ๆ แล้วเอ่ยขึ้น “เจ้ากำลังจะจับข้าลากเข้าไปในพงหญ้าหรือ?”
องค์ชายสิบ “!!!”
“ย้าก! เจ้า ๆ ๆ เจ้ามาอยู่ข้างหลังข้าตั้งแต่เมื่อใดกัน!”
อาชิงแบมือออก “ตั้งแต่ที่เจ้าบอกว่าจะจับตัวข้าลากเข้าไปในพงหญ้าน่ะสิ”
“เช่นนั้นเหตุใดเจ้าถึงไม่ส่งเสียงเล่า!”
“ท่านแม่ข้าบอกว่า เวลาคนอื่นพูดอย่าพูดแทรกส่งเดช แบบนี้ถือว่าไม่มีมารยาท”
“!!!”
นี่ใช่ประเด็นอย่างนั้นหรือ เจ้าเด็กนี่ทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่ใช่หรือไม่!
ข้าไม่หลงกลเจ้าหรอก
“ในเมื่อเจ้าได้ยินหมดแล้ว เช่นนั้นเจ้าก็รีบเอางูออกไปเสียที! เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร?”
อาชิงส่ายหน้า ก่อนจะเอ่ยด้วยใบหน้าไร้เดียงสา “เจ้าเป็นใครกัน?”
องค์ชายสิบเกือบจะกระอักเลือดออกมา “เช่นนั้นเจ้าฟังให้ดี ข้าคือองค์ชายสิบ ตอนนี้ข้าต้องการเสือของเจ้า เอามันมาให้ข้า”
องค์ชายสิบเอ่ยถึงตรงนี้ก็เชิดคางขึ้น นอกจากพวกเสด็จพี่แล้ว เวลาอยู่ข้างนอกมีอะไรที่เขาอยากได้แล้วไม่ได้บ้าง แม้แต่บรรดาลูกหลานตระกูลขุนนางก็ยังต้องยอมให้เขา เพราะพวกเขาเป็นเพียงทาส ส่วนตนนั้นเป็นนาย
.
.
.