เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย - บทที่ 268 ก็แค่เรียกร้องความเป็นธรรม
- Home
- เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย
- บทที่ 268 ก็แค่เรียกร้องความเป็นธรรม
บทที่ 268 ก็แค่เรียกร้องความเป็นธรรม
คนของตระกูลเยี่ยนต่างร้องไห้ฟูมฟาย แต่ก็ไม่สามารถหยุดการโจมตีของกองทัพทหารเกราะเหล็กได้ ทั้งในและนอกจวนต่างถูกรื้อค้นจนราบเป็นหน้ากลอง โดยเฉพาะห้องหนังสือ สิ่งของทั้งหมดที่เดิมไม่เคยถูกแตะต้องมาก่อนก็ถูกเคลื่อนย้ายออกมา และขนขึ้นไปบนรถม้าของตระกูลเยี่ยน
สตรีของตระกูลเยี่ยนถูกมัดรวมกันไว้ที่ลานด้านใน มีเสียงฆ่าฟันจากลานด้านนอกดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง กลิ่นคาวเลือดสามารถทะลุกลิ่นน้ำมันเข้ามาได้
สตรีที่อยู่ในลานบ้านร้องไห้ไม่หยุด บางคนก็ตะโกนด่าเสียงดังลั่นเป็นระยะ ๆ
จนกระทั่งจี้จือฮวนเข้ามา พวกนางจึงจ้องมองด้วยสายตาโกรธแค้น จี้จือฮวนมองพวกนางเล็กน้อย ก่อนจะถอนสายตากลับมา ซูอิ่งยกเก้าอี้มาให้นางนั่งอยู่ใต้ชายคา
“ออกไปแจ้งท่านแม่ทัพด้วยว่าให้ระวังไฟไหม้”
ละแวกนี้เต็มไปด้วยที่อยู่อาศัย หากเกิดไฟไหม้ขึ้นมาก็สามารถเผาทั้งเมืองได้ ต้องระวังไม่ให้ผู้บริสุทธิ์ต้องเสียชีวิตหรือบาดเจ็บไปด้วย
ซูอิ่งกวาดตามองบรรดาสตรีที่คุกเข่าอยู่ที่พื้นด้วยสายตาข่มขู่ ก่อนจะเดินออกไป
“เจ้าเป็นผู้หญิงของเผยยวนอย่างนั้นหรือ?”
เมื่อเห็นว่าคนที่ถามนางเป็นสตรีวัยกลางคนที่ดูแลตัวเองอย่างดี จี้จือฮวนจึงพยักหน้ารับ “ใช่”
“วันนี้พวกเจ้ามาเข่นฆ่าพวกเราถึงจวน เคยคิดถึงผลที่จะตามมาหรือไม่? ตระกูลเยี่ยนของข้าไม่มีทางยอมง่าย ๆ อย่างแน่นอน!”
“ท่านอา จะเปลืองน้ำลายกับนางไปทำไมกันเจ้าคะ! เจ้าฟังข้าให้ดี ความอัปยศในวันนี้ วันหน้าตระกูลเยี่ยนของเราต้องเอาคืนเป็นร้อยเท่าแน่”
“ถูกต้อง พวกเราจะไม่มีวันลืมทุกความอัปยศอดสูที่เจ้าทำกับเรา”
จี้จือฮวนมองดูท่าทางโกรธแค้นและสภาพสะบักสะบอมของพวกนาง ทันใดนั้นก็เปล่งเสียงหัวเราะออกมา นางวางมือข้างหนึ่งบนเก้าอี้แล้วใช้ปลายนิ้วมืออีกข้างเคาะที่ขมับ “ฟังดูแล้ว พวกเจ้าเหมือนจะโกรธแค้นมากทีเดียว แค่ถูกคนโต้กลับก็ไม่สบายใจแล้วอย่างนั้นหรือ? แต่เรื่องราวบนโลกนี้มีอะไรที่ง่ายเช่นนี้กัน”
ทันทีที่สิ้นเสียงของนาง ถ้วยชาที่อยู่ใกล้มือก็ถูกปาลงตรงหน้าสตรีกลุ่มนั้น ถ้วยชาแตกละเอียดจนไม่เหลือชิ้นดี ทำให้บางคนกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจ
จี้จือฮวนลุกขึ้นยืน และค่อย ๆ เดินลงบันไดมา
“เจ้าคิดจะทำอะไร? ข้าจะบอกเจ้าให้ ตระกูลเยี่ยนของพวกเราไม่มีทางยอมแพ้ให้คนอย่างเจ้าเด็ดขาด”
“ถูกต้อง!”
จี้จือฮวนได้ยินดังนั้นก็รู้สึกขันยิ่งนัก “ข้าอยากให้พวกเจ้ายอมแพ้ที่ใดกัน? ของแบบนั้นใครอยากได้ก็เอาไปเถอะ”
สตรีตระกูลเยี่ยนยังไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ “เจ้าก็แค่ทำตัวอวดเก่งก็เท่านั้น เผยยวนวันนี้ทำความผิดร้ายแรง ฮ่องเต้ย่อมให้ความเป็นธรรมกับเรา พวกเจ้าก็แค่พวกที่มีแต่จะโรยรา! ตระกูลเยี่ยนของเรา…”
“ตระกูลเยี่ยนของพวกเจ้า? ตระกูลเยี่ยนของพวกเจ้าสกปรกจนข้าไม่อยากพูดถึงด้วยซ้ำ”
“เจ้า! เจ้าว่าใครสกปรก? เจ้าต่างหากที่เป็นคนต่ำช้า!”
จี้จือฮวนเลิกคิ้วขึ้น แล้วนั่งยอง ๆ จ้องมองนาง “เจ้าคงเป็นลูกสาวของเยี่ยนหงอวิ๋นกระมัง”
สาวน้อยเงยหน้าขึ้น แววตาเต็มไปด้วยความเคียดแค้น “ใช่แล้วอย่างไร พ่อข้าตายแล้วก็ยังมีพี่ชายข้า ไม่ช้าก็เร็วเผยยวนต้องตายด้วยน้ำมือของพวกเรา เจ้าคิดว่าถึงเวลานั้นพวกเจ้าจะดีกว่าพวกเราตอนนี้เพียงใดกัน?”
“เจ้าแค้นที่วันนี้กองทัพทหารเกราะเหล็กมาทำลายตระกูลของเจ้า ฆ่าพ่อของเจ้า ถึงขนาดอยากจะแก้แค้น แต่เจ้ามีสิทธิ์อะไร? เช่นนี้ความอยุติธรรมที่กองทัพทหารเกราะเหล็กของเราได้รับใครจะชดใช้กัน?” จี้จือฮวนกระชากสาบเสื้อของนางออกทันที
สาวน้อยกรีดร้องออกมา พยายามปิดเสื้อของตัวเอง หลบเข้าไปในอ้อมกอดของท่านแม่ของนางด้วยความอับอายและโกรธแค้น
เห็นได้ชัดว่าเยี่ยนฮูหยินก็คิดไม่ถึงว่าจี้จือฮวนจะทำเช่นนี้ นางเอ่ยด้วยความโมโหออกมา “เจ้าจะทำอะไร!”
“สงสารมาก? เสียใจมาก? อับอายมาก? ขนาดข้าเป็นสตรีกระชากเสื้อของเจ้า เจ้าก็แทบจะมุดดินหนีแล้ว เช่นนั้นครอบครัวของกองทัพทหารเกราะเหล็กที่ถูกลักพาตัว ถูกคนบังคับให้ประทับลายนิ้วมือเพื่อขายตัวเล่า พวกนางจะหวาดกลัวเพียงใดกัน!?”
“ข้าไม่รู้ว่าเจ้ากำลังพูดเรื่องอะไรอยู่! ไสหัวไป ไสหัวเจ้าไปซะ!”
“เจ้ายังมีแม่ให้พึ่งพิง แต่พวกนางบางคนอายุเพิ่งจะแปดขวบเท่านั้น พวกนางคิดว่าเมื่อมาถึงเมืองหลวงแล้ว พวกนางจะสามารถเลี้ยงดูครอบครัวได้ ด้วยการเป็นช่างปักผ้าที่ดี แต่ใครจะไปคิดว่าสิ่งที่พวกนางใช้เลือดเนื้อแลกมา เป็นเพียงเสื้อผ้าที่แม้แต่สาวใช้ก็ยังไม่สวมใส่ และจะรู้ได้อย่างไรเล่าว่าคนที่พ่อและพี่น้องของพวกนางใช้ชีวิตเพื่อปกป้องไว้ในสนามรบ เป็นคนชั่วช้าและโหดเหี้ยมเช่นไร?”
สายตาของจี้จือฮวนแฝงไว้ด้วยการดูถูกเหยียดหยาม “คิดว่าตัวเองสูงส่งมากใช่หรือไม่? คนอื่นล้วนต่ำต้อย พวกเจ้าเกิดมาก็เป็นคนสูงศักดิ์อย่างนั้นหรือ? ถุย เกิดเป็นคนหากจะเทียบเรื่องสูงต่ำกันแล้ว ทั้งใต้หล้านี้มีใครสกปรกกว่าพวกเจ้าอีกอย่างนั้นหรือ?!”
“เจ้าพูดจาเหลวไหล ผิดถูกอย่างไร ราชสำนักย่อมตัดสินเอง เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าพวกนางไม่ได้ยินยอมขายตัว แล้วเกี่ยวอะไรกับตระกูลเยี่ยนของเราด้วย?”
“เช่นนั้นตามที่เจ้าพูด ใครจะรู้ว่าตระกูลเยี่ยนของพวกเจ้าเบื่อที่จะมีชีวิตอยู่แล้ว ก็เลยเปิดประตูให้พวกเราเข้ามาฆ่าพวกเจ้า เช่นนั้นก็ฆ่าให้หมดเลยก็แล้วกัน เนื่องจากสกปรกเกินไป สกปรกมากจนต้องล้างด้วยเลือดของตระกูลพวกเจ้าเอง เช่นนี้ถึงจะพอบรรเทาความแค้นภายในใจลงได้”
“เจ้าบ้าไปแล้ว! เจ้ามันบ้าไปแล้ว พวกเจ้าคิดจะก่อกบฏหรืออย่างไร?”
“ก่อกบฏแล้วจะอย่างไร ในใจข้าก็ไม่ได้มีฮ่องเต้กับขุนนางอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นตั้งแต่โลกถือกำเนิดขึ้นมาก็แซ่เซี่ยแล้วอย่างนั้นหรือ? นิสัยยอมตกเป็นทาสของเจ้านี่ช่างมั่นคงจริง ๆ มิน่าเล่าจนถึงบัดนี้ตระกูลเยี่ยนก็ยังเป็นได้แค่สุนัขของเซี่ยเจิน” จี้จือฮวนปล่อยมือที่บีบคางของนางออก
“แทนที่จะเอาเวลามาด่าว่าข้า ไม่สู้ไปคิดถึงเรื่องงานศพของตัวเองจะดีกว่า”
คนตระกูลเยี่ยนชาวาบไปทั้งตัว ได้แต่หวังว่าอีกสามตระกูลหรือคนจากหน่วยลาดตระเวนในเมืองหลวงจะมาช่วยพวกเขาได้ทัน
น่าเสียดายที่ผู้ชายในตระกูลเยี่ยนถูกตัดหัวจนหมดแล้ว และถูกโยนทิ้งลงบนพื้นอย่างไม่ไยดี
ลำดับต่อไปก็คืออีกสามตระกูลที่เหลือ
คืนนี้มีเสียงกรีดร้องดังขึ้นเป็นระยะ ๆ สักพักก็อยู่ทางใต้ของเมือง สักพักก็อยู่ทางเหนือของเมือง จนกระทั่งคนตีเกราะบอกเวลาเดินผ่านไป เห็นเลือดไหลออกมาจากประตูจวนก็ตกใจกลัวจนฉี่ราด
อู๋ซิ่วมองดูแสงไฟที่สว่างไสวของบ้านหลังนี้ เสียงตะโกนด้วยความโกลาหลจากบ้านหลังนั้น ก็กลัวว่าต่อไปจะเป็นตาของตัวเอง
“ท่านนายกอง ครั้งนี้พวกเรา…ยังจะมีโอกาสรอดอีกหรือไม่ขอรับ?”
เพราะพวกเขาเป็นคนปล่อยเผยยวนเข้าไป
อู๋ซิ่วลุกขึ้นยืน พลางเอ่ยพร้อมกับมือที่สั่นเทา “ร้านโลงศพ เปิดตอนไหน?”
“เอ่อ…ปกติจะเป็นยามเฉิน*ขอรับ” เช้าเกินไปใครจะมาซื้อกัน
* ยามเฉิน (辰时) หมายถึงช่วงเวลา 7.00 – 9.00 น.
“ได้ ข้าจะรอจนถึงยามเฉินแล้วค่อยไป”
“ไป…ไปทำไมขอรับ?”
“จัดงานศพให้ตัวเองน่ะสิ ข้าจะเลือกโลงศพที่สวยที่สุดไม่ได้หรือ!” อู๋ซิ่วถอนหายใจออกมา ตั้งแต่โบราณมา คนรูปงามมักอาภัพ เขาเป็นนายกองที่มีอนาคตที่สุดในบรรดายามเฝ้าประตู แต่ดูท่าคงจะตายตั้งแต่ยังหนุ่มเสียแล้ว
หวังเพียงว่าตอนที่แม่ทัพเผยฟันคอเขาจะฟันได้อย่างเฉียบคม อย่าฟันติด ๆ ขัด ๆ หากกรีดหนังเป็นชั้น ๆ ออกมาจะยิ่งทรมานเข้าไปใหญ่
จนกระทั่งรุ่งสาง เมื่อมีคนออกมาเดินถนน ทันใดนั้นพวกเขาก็ได้ยินเสียงเกือกม้ากลุ่มหนึ่ง อู๋ซิ่วชะโงกหน้าออกไปดู
นั่นเผยยวนนี่นา
เมื่อคืนมองเห็นไม่ชัด ทว่าตอนนี้เมื่อมองดูดี ๆ ก็พบว่ามีสตรีตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งอยู่ในอ้อมแขนของเขาด้วย
อู๋ซิ่วได้สติขึ้นมาทันที “ไปชิงแม่นางบ้านใดหนีมากันล่ะเนี่ย รีบเปิดประตูกว้าง ๆ หน่อย ส่งนายท่านผู้นี้ออกไป!”
อู๋ซิ่วยืนอยู่ที่ข้างประตูเมือง อยากจะจุดประทัดให้รู้แล้วรู้รอด ในที่สุดก็ส่งเทพสังหารออกไปได้เสียที แต่ใครจะไปรู้ว่าเมื่อเผยยวนมาถึงตรงหน้าเขา จู่ ๆ ก็ดึงบังเหียนเพื่อหยุดม้า “นายกองอู๋ เป็นเจ้าหรือ?”
อู๋ซิ่วแข้งขาอ่อนแรงในทันใด ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงราวกับจะร้องไห้ “เป็น…เป็นผู้น้อยเองขอรับ”
“ช่างบังเอิญจริง ๆ”
บังเอิญกับผีน่ะสิ ท่านรีบไปเถอะ!
“ท่านโหว ท่าน…”
“ของสิ่งนี้ฝากเจ้าด้วย ต้องติดให้ทั่วถนนและทุกตรอกซอกซอยของเมืองหลวง”
อู๋ซิ่วรับมาด้วยสีหน้างุนงง และมองดูเผยยวนควบม้าออกไปโดยมีจี้จือฮวนอยู่ในอ้อมแขน ตามด้วยกองทัพทหารเกราะเหล็ก ทั้งยังลากรถม้าอีกหลายคันซึ่งเต็มไปด้วยสตรีและเด็กที่ส่งเสียงร้องไห้ระงม
อู๋ซิ่วเม้มริมฝีปาก ถ้าเผยยวนมาปราบโจรแบบนี้อีกครั้ง จะมีกี่ตระกูลในเมืองหลวงกันที่จะทนความจองหองเช่นนี้ได้
.
.
.