เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย - บทที่ 322 ปรึกษากันให้ดีก่อน
บทที่ 322 ปรึกษากันให้ดีก่อน
ตอนที่เจียงเช่อมาถึงวังหลวง เจียงเต๋อก็กำลังให้คนมาตามเขาอยู่พอดี
“โอ๊ย ท่านราชครูของข้า ในที่สุดท่านก็มาเสียที ฝ่าบาทกำลังตามหาท่านอยู่พอดีขอรับ”
เจียงเช่อหันหน้าไปเล็กน้อย “อย่างนั้นหรือ ข้าเองก็มีเรื่องด่วนที่จะเข้าเฝ้าฝ่าบาท เป็นเรื่องเกี่ยวกับบ้านเมือง”
เจียงเต๋อตกใจทันที ตอนนี้ฮ่องเต้เซี่ยเจินเชื่อถือเจียงเช่อผู้นี้เพียงใดก็เห็นกันชัด ๆ อยู่แล้ว เขาพูดแค่ประโยคเดียวได้ผลว่าคนภายนอกพูดสิบประโยค เรื่องเกี่ยวกับบ้านเมืองไม่ใช่เรื่องที่จะพูดส่งเดชได้ ยังไม่ต้องสนใจว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ แค่อีกเดี๋ยวเขาพูดออกไป ไม่แน่อาจจะมีการนองเลือดบนแผ่นดินก็เป็นได้
เจียงเต๋อตั้งใจจะเตือนให้เจียงเช่อระวังคำพูด ทว่าเจียงเช่อกลับเดินไปที่ตำหนักบรรทมของฮ่องเต้เซี่ยเจินแล้ว
เจียงเต๋อหนังตากระตุก ก่อนจะรีบตามเข้าไป
“ท่านราชครู!” หมอหลวงกลุ่มหนึ่งคุกเข่าอยู่ในตำหนัก ฮ่องเต้เซี่ยเจินพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียง เส้นเลือดบนขมับปูดโปน เจียงเช่อถูกคนพามาที่ข้างเตียงอย่างรวดเร็ว เขาหยิบกำยานในแขนเสื้อออกมา “ไป รีบจุดให้ฝ่าบาทเร็วเข้า”
“ขอรับ”
เขาเอ่ยจบก็ให้ฮ่องเต้เซี่ยเจินกินยา โดยยัดเขาไปในปากของฮ่องเต้หนึ่งเม็ด หลังจากนั้นไม่นานฮ่องเต้เซี่ยเจินก็สงบลง
โอรสแห่งสวรรค์บัดนี้นอนนิ่งอยู่บนเตียงด้วยการพึ่งพาเขา ทำให้ความไม่พอใจของเจียงเช่อที่ถูกทหารองครักษ์เย้ยหยันก่อนหน้านี้หายไปเกินครึ่ง
“ท่านราชครู ข้าขาดท่านไม่ได้แม้แต่วันเดียว”
เจียงเช่อเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “กำยานอวยพรวันนี้มาช้าไปหน่อย แต่โชคดีที่พระองค์มีพระพลานามัยแข็งแรง แต่อาการประชวรของพระองค์จะทรงหนักขึ้นเรื่อย ๆ กระหม่อมได้ลองคำนวณดวงดาวดู จึงพบเบาะแสบางอย่างพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้เซี่ยเจินฝืนตัวลุกขึ้น “อย่างนั้นหรือ ท่านราชครูรีบบอกข้ามาเถอะ”
เจียงเช่อขมวดคิ้ว “ดาวจื่อเวยตกลง แสงดาวมืดสลัว มีดาวกาลกิณีกำลังเข้าใกล้วังหลวง จำเป็นจะต้องกำจัดดาวกาลกิณีดวงนั้น จึงจะสามารถทำให้พระพลานามัยของฝ่าบาทแข็งแรงขึ้นพ่ะย่ะค่ะ”
คำพูดนี้ราวกับพูดสิ่งที่อยู่ในใจฮ่องเต้เซี่ยเจินออกมา “ท่านราชครูพูดได้ถูกต้อง! ดาวกาลกิณีนั่น…!”
“ตามที่กระหม่อมคำนวณดู ดาวกาลกิณีนั่นก็คือหย่งกวานโหว คนผู้นี้หมายปองบัลลังก์ ถนัดการปลอมตัว ฝ่าบาทต้องระวังคนผู้นี้เอาไว้ให้ดีนะพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้เซี่ยเจินหวาดกลัวเผยยวนมาหลายปี แต่ไม่เคยมีขุนนางคนใดบอกว่าเผยยวนคือตัวปัญหาต่อหน้าเขา มีเพียงคำพูดของท่านราชครูที่พูดตรงกับสิ่งที่เขาคิด ฮ่องเต้เซี่ยเจินจับมือของเจียงเช่อเอาไว้ “ท่านราชครู เป็นสหายที่รู้ใจข้าจริง ๆ”
เผยยวนเข้ามาเมืองหลวงโดยไม่ได้รับราชโองการครั้งแล้วครั้งเล่า ใครจะรู้ว่าเผยยวนกำลังรวบรวมคนเพื่อจะทำร้ายเขาหรือไม่ นับตั้งแต่ไปหมู่บ้านตระกูลเฉิน แม้แต่การนอนหลับก็กลายเป็นเรื่องยากสำหรับเขา
ต้องเป็นเพราะเผยยวนแอบทำอะไรบางอย่างเป็นแน่!
“ท่านราชครู ท่านต้องช่วยข้านะ”
เจียงเช่อยกยิ้มมุมปาก “ฝ่าบาทวางพระทัย กระหม่อมจะปกป้องฝ่าบาทอย่างแน่นอน บัดนี้หย่งกวานโหวผู้นั้นอยู่ในเมืองหลวง มิสู้ฝ่าบาททรงมีรับสั่งกำจัดเขาเสียแต่ตอนนี้?”
พูดถึงเรื่องนี้ฮ่องเต้เซี่ยเจินไม่กล้ารับปาก เผยยวนจะบุกเดี่ยวเข้ามาอย่างนั้นหรือ? ไม่มีทาง ไม่แน่ด้านนอกอาจจะมีกองทัพทหารเกราะเหล็กรออยู่ หากเผยยวนเกิดเป็นอะไรขึ้นมา กองทัพทหารเกราะเหล็กเหล่านั้นจะต้องบุกเข้ามาอย่างแน่นอน ถึงเวลาจะมาฮึดสู้ก็คงไม่ทันแล้ว
ฮ่องเต้เซี่ยเจินไม่เคยคัดค้านคำพูดของเจียงเช่อ ทว่าตอนนี้แค่จัดการเผยยวนคนเดียวกลับทำให้ฮ่องเต้เซี่ยเจินเงียบไป สิ่งนี้ทำให้เจียงเช่อไม่พอใจอย่างมาก
“ฝ่าบาทจะปล่อยให้ดาวกาลกิณีลอยนวลอย่างนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ฮ่องเต้เซี่ยเจินปัดมือไปมา “เรื่องนี้จำเป็นจะต้องปรึกษากันให้ดีก่อน เพราะไม่ได้ง่ายเช่นนั้น”
เจียงเช่อโมโหอย่างมาก อยากจะไปหาจี้หมิงซูเพื่อด่าฮ่องเต้สุนัขที่ไร้ความสามารถเสียเดี๋ยวนี้
…
ส่วนจี้หมิงซูในเวลานี้ กำลังอยู่ที่ตำหนักของเซี่ยหยาง
“ธิดาหงส์บัญชาสวรรค์เชิญขอรับ องค์ชายรออยู่ด้านในแล้วขอรับ”
จี้หมิงซูก้าวเข้าไปด้านใน เมื่อเห็นเซี่ยหยางนั่งอยู่บนเก้าอี้ น้ำตาจึงค่อย ๆ ไหลออกมาจากดวงตาทั้งสองข้าง
“พี่เซี่ยหยาง”
เมื่อน้ำเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น เซี่ยหยางก็ผงะไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยด้วยความเหลือเชื่อ “หมิงซู?”
เขากับจี้หมิงซูมีช่วงเวลาที่ดีร่วมกันมากมาย แค่รูปร่างของอีกฝ่ายก็สามารถจำได้แล้ว
จี้หมิงซูย่อมไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ นางพุ่งเข้าไปในอ้อมแขนของเซี่ยหยาง เมื่อเห็นว่าข้อมือและข้อเท้าของเขามีผ้าพันแผลพันเอาไว้ จึงได้เอ่ยถามพร้อมขอบตาที่แดงก่ำ “พี่เซี่ยหยาง เกิดอะไรขึ้นกับท่านอย่างนั้นหรือเจ้าคะ?”
เซี่ยหยางเองก็คิดไม่ถึงว่าจี้หมิงซูจะเป็นธิดาหงส์บัญชาสวรรค์ เขาคิดว่านางยังพักผ่อนอยู่ในเรือนที่หานกุ้ยเฟยเตรียมเอาไว้ให้เสียอีก
“ใบหน้าเจ้าเป็นเช่นไรบ้าง? หลังจากเกิดเรื่องข้าไม่ได้อยู่ข้างกายเจ้า รีบเปิดให้ข้าดูหน่อย” เซี่ยหยางทำท่าจะเปิดผ้าคลุมหน้าของนางออก
จี้หมิงซูกลับถอยไปด้านหลัง ก่อนจะส่ายหน้าแล้วเอ่ยขึ้นมา “ใบหน้าของหมิงซูตอนนี้ เกรงว่าพี่เซี่ยหยางเห็นแล้วจะฝันร้ายเอาได้เจ้าค่ะ”
แม้ว่านางจะเสียโฉมไปแล้ว แต่ตอนนี้นางเป็นธิดาหงส์บัญชาสวรรค์ หากได้แต่งงานกับนางจะสามารถเป็นฮ่องเต้ได้ เช่นนั้นเทียบกันแล้วหน้าตาจะสำคัญอะไร?
เพราะเหตุนี้จี้หมิงซูจึงยอมมาพบเซี่ยหยาง
อย่างไรเสียความรู้สึกนานวันเข้า เมื่อเซี่ยหยางมีสตรีคนใหม่ย่อมเปลี่ยนไปอยู่แล้ว
เซี่ยหยางจึงรีบสาบานทันที “น้องหมิงซู หัวใจที่ข้ามีต่อเจ้า ฟ้าดินรับรู้ เจ้าเป็นคนเดียวที่เข้าใจข้า ภายหน้าต่อให้ข้ามีสตรีมากมายเพียงใด คนรู้ใจข้าก็จะมีเจ้าเพียงคนเดียวเท่านั้น”
จี้หมิงซูรู้ว่าเซี่ยหยางอยากจะขึ้นเป็นฮ่องเต้ ในวังหลวงไม่มีทางที่เขาจะมีนางเพียงคนเดียวได้ แต่สิ่งที่นางต้องการคือตำแหน่งฮองเฮา และเป็นคนพิเศษในใจของเซี่ยหยาง
“พี่เซี่ยหยาง เรื่องของข้าตอนนี้ยังไม่สะดวกที่จะเล่าให้ท่านฟัง ส่วนเรื่องคนที่ทำร้ายท่าน ข้าจะช่วยท่านล้างแค้นอย่างแน่นอน และนี่คือแบบร่างเรือรบที่ข้าได้วาดเอาไว้ในช่วงที่ผ่านมา เอาไว้ใช้ต่อกรกับโจรสลัดในทะเลตะวันออกโดยเฉพาะ ตอนนี้ท่านเก็บตัวอยู่ในตำหนัก ท่านต้องระวังให้ดีนะเจ้าคะ ทางด้านองค์ชายสามกับองค์ชายห้า ข้ากับราชครูจะหาทางถ่วงเวลาเอาไว้ ตำแหน่งองค์รัชทายาทต้องเป็นของท่านอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
คำพูดนี้ของจี้หมิงซู ทำให้เซี่ยหยางที่รู้สึกหมดอาลัยตายอยากมีพลังขึ้นมาอีกครั้ง “ตอนนี้เจ้าอยู่ข้างกายฝ่าบาท มีคนรู้ตัวตนที่แท้จริงของเจ้าหรือไม่?”
“ยังไม่มีผู้ใดรู้เจ้าค่ะ”
หากถูกคนจับได้ว่านางคือจี้หมิงซู ไม่แน่อาจมีคนใช้เรื่องนี้มาเล่นงานองค์ชายรอง โดยอ้างว่าเซี่ยหยางตั้งใจส่งมาก็เป็นได้
ฮ่องเต้เซี่ยเจินเป็นคนขี้ระแวง หากเขาเชื่อคำพูดเหล่านี้ ทุกสิ่งที่เจียงเช่อกับนางพยายามอย่างหนักก็จะสูญเปล่า
เซี่ยหยางเองก็คิดเช่นนั้น เขากุมมือของนางเอาไว้แล้วเอ่ยขึ้นมา “คนของตระกูลหมอเทวดาอยู่ระหว่างทางมาที่นี่แล้ว ข้าจะให้พวกนางช่วยรักษาใบหน้าของเจ้า หมิงซูเจ้าวางใจเถอะ ใจของข้าไม่เคยเปลี่ยนแปลง”
จี้หมิงซูพยักหน้ารับ พลางร้องไห้ออกมา “เพียงคำพูดนี้ของท่าน หมิงซูก็ไม่กลัวอะไรทั้งนั้นแล้วเจ้าค่ะ”
…
หอเต๋อเยว่ที่เซียวเย่เจ๋อเลือกเป็นภัตตาคารอันดับหนึ่งของเมืองหลวง เนื่องจากอาคารมีสามชั้นทำให้สามารถมองเห็นหอคอยของวังหลวงได้ ดังนั้นจึงมีชื่อเสียงอย่างมาก
ผู้ที่สามารถขึ้นไปยังชั้นสามได้ต้องเป็นขุนนางชั้นสูงหรือผู้มีอำนาจ เพียงแค่มีเงินนิดหน่อยไม่สามารถขึ้นไปได้อย่างแน่นอน
อีกทั้งเซียวเย่เจ๋อยังจงใจเอ่ยชื่อของเผยยวน จึงสามารถขึ้นไปนั่งบนชั้นสามได้
“ไม่มาก็คงไม่รู้ ว่าภัตตาคารของเมืองหลวง บรรยากาศสำคัญกว่าอาหารเสียอีก”
เมื่อครู่ตอนเดินผ่านชั้นล่างมีทั้งการร้องงิ้ว เต้นรำ ด้านนอกยังสามารถนั่งกินบนเรือได้ด้วย เทียบกันแล้วในด้านนี้เค่ออวิ๋นไหลไม่มีความน่าสนใจเลย
“เดิมคนที่มาก็ไม่ได้มาเพื่อรับประทานอาหารอยู่ แต่มาเพราะต้องการพูดคุยต่อรองผลประโยชน์กัน ถึงเวลาพวกเจ้าเอาด้านนี้ไปเลียนแบบ บวกกับอาหารที่มีรสชาติอร่อย ไม่มีทางแพ้หอเต๋อเยว่อย่างแน่นอน”
ฮวาเซียงเซียงเลิกคิ้วขึ้น “แน่นอนอยู่แล้ว ให้ข้าลองชิมอาหารของพวกเขาหน่อยสิ”
.
.
.