เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย - บทที่ 337 สภาพของหลูโจว
บทที่ 337 สภาพของหลูโจว
หลูโจว
หลังจากรีบเร่งเดินทางมาหลายวัน คนกลุ่มใหญ่กลับดูไม่เหน็ดเหนื่อยอะไรเลย แต่เมื่อคำนึงถึงองค์หญิงใหญ่ที่อายุมากแล้วในรถม้า จึงได้ชะลอความเร็วลง
หลังจากที่เซี่ยวั่งซูอาเจียนทั้งวันทั้งคืนตลอดสองวันแรก อาการก็ค่อย ๆ ดีขึ้น
เผยจี้ฉือหยิบลูกอมให้นางอมไว้ใต้ลิ้น พลางลูบหลังให้นางด้วยความสงสาร “หรือไม่อีกเดี๋ยวพวกเราหาโรงเตี๊ยมพักสักหน่อยเถอะขอรับ”
เซี่ยวั่งซูเปิดม่านรถม้าออก “ที่นี่มีโรงเตี๊ยมที่ใดกัน พวกเรามาถึงหลูโจวแล้วหรือ”
ผ่านป้ายเขตแดนมาแล้ว ที่นี่ก็คือหลูโจว
ตั้งแต่ราชวงศ์ก่อนมีการซ่อมแซมและเกิดน้ำท่วมซ้ำ ๆ นานวันเข้าเมื่อถึงฤดูฝนน้ำก็จะเข้าท่วมสถานที่ต่าง ๆ ดังนั้นที่ที่ได้รับผลกระทบหนักบางแห่ง หรือบางหมู่บ้านผู้คนล้วนย้ายออกไปหมดแล้ว ที่นาไม่มีคนหว่านไถ ในเมืองก็มีผู้คนแออัด
ตอนนี้เป็นหน้าฝนบนพื้นดินจึงมีน้ำเอ่อออกมา บริเวณโดยรอบไร้ซึ่งผู้คนยิ่งทำให้ดูรกร้างเข้าไปอีก
ก่อนมาหลูโจวเผยจี้ฉือไม่คิดว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นนี้ จากที่มู่หรงจาวผู้นั้นเล่าให้ฟัง เขาคิดว่าเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองไม่น้อยไปกว่าเมืองหลวง แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะเจริญรุ่งเรืองแค่พื้นที่เล็ก ๆ เท่านั้น ราษฎรก็ไม่รู้ว่าเป็นเช่นไรบ้าง
ในเมืองเล็ก ๆ ยังมีรูปปั้นหินของต้าอวี่* ตั้งอยู่ แต่น่าเสียดายที่ไม่สามารถสยบแม่น้ำที่ไหลเชี่ยวได้
* ต้าอวี่ (大禹) หมายถึง ท่านอวี่ผู้ยิ่งใหญ่ที่เป็นคนจัดการระบบน้ำและแก้ปัญหาอุทกภัยครั้งใหญ่จนสำเร็จในสมัยโบราณของจีน
“ที่นี่เมื่อสองสามปีก่อนเกิดน้ำท่วมหนัก เขื่อนกั้นน้ำจึงถูกน้ำซัดหายไปจนหมด พื้นที่อุดมสมบูรณ์มากมายกลายเป็นหาดทราย จะยังมีคนทำไร่ไถนาได้อย่างไร” ทหารเกราะเหล็กที่ยังจำได้บ่นอยู่ข้าง ๆ
ฝนยังคงโปรยปรายลงมาไม่ขาดสาย สามารถมองเห็นหลังคาของบ้านเรือนที่ทรุดโทรม มีหญ้าขึ้นรกครึ้มได้ราง ๆ
เผยจี้ฉือยังคงมองด้านนอกอย่างนิ่งงัน เซี่ยวั่งซูที่อยู่ด้านหลังก็เอ่ยขึ้นช้า ๆ “ที่ราชวงศ์ล่มสลายก็เริ่มมาจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ จากนั้นก็มีการก่อจลาจลในทุกหนทุกแห่ง”
“ไม่มีวิธีการแก้ไขเลยหรือขอรับ?”
“ผู้ที่มีความสามารถจะเป็นแม่ทัพหรือเสนาบดีอาจจะหาได้ไม่ยาก เพราะการปกครองและการดูแลราษฎรเป็นพื้นฐานที่บัณฑิตทุกคนล้วนต้องเรียนรู้และฝึกฝนอยู่แล้ว แต่ผู้ที่มีความสามารถเรื่องการจัดการน้ำนั้นกลับยากที่จะได้พบ”
การจัดการน้ำนั้นยากยิ่งกว่าการปกครองบ้านเมืองเสียอีก
เผยจี้ฉือไม่ได้พูดอะไรอีก เพราะรู้ว่าฮ่องเต้ทุกยุคทุกสมัยก็ไม่สามารถจัดการที่นี่ได้ การซ่อมแซมเขื่อนที่ไม่มีทางแตกเป็นการสิ้นเปลืองทั้งทรัพยากรและกำลังคน หลังจากผ่านไปหลายสิบปีการโยนเงินลงไปจำนวนมากก็ยังไม่เห็นผล บางทีภัยธรรมชาติอาจทำให้ทุกอย่างกลับไปเป็นเหมือนเดิมอีก
เมื่อตรงไปข้างหน้าอีก ในที่สุดก็เริ่มเห็นผู้คนและก็ได้ยินเสียงน้ำไหล
เซี่ยวั่งซูนั่งจนเส้นยึดไปหมดแล้ว จึงต้องการลงไปเดินเล่น
เผยจี้ฉือจึงช่วยประคองนาง บรรดาทหารเกราะเหล็กก็เห็นร้านน้ำชาโทรม ๆ แห่งหนึ่ง จึงคิดจะเข้าไปสอบถามถึงสถานการณ์ด้วยสักหน่อย
“นายหญิง เข้ามาเถอะขอรับ” เมื่ออยู่ด้านนอกทหารเกราะเหล็กก็ไม่ได้เรียกเซี่ยวั่งซูว่าองค์หญิงใหญ่ เพียงใช้คำเรียกเช่นนายบ่าวสามัญชนเท่านั้น และพวกเขาก็ล้วนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าของชาวบ้านทั่วไป
ในร้านน้ำชามีคนผ่านทางนั่งกันอยู่จำนวนหนึ่ง แต่ละคนหน้าตามอมแมมไปด้วยฝุ่น เผยจี้ฉือกำลังจะยกม่านเพื่อเข้าไป ก็เห็นสาวน้อยที่มีใบหน้าขาวคนหนึ่งเดินออกมาจากม่านไม้ไผ่
เนื่องจากมีไฝเม็ดหนึ่งอยู่กลางหว่างคิ้ว ดวงตาคู่นั้นกระจ่างใส จึงทำให้เขาจำอีกฝ่ายได้ทันทีบราวนี่ออนไลน์
“เยี่ยนชิว รีบไปเรียกพ่อเจ้ากลับมาเถอะ ข้าว่าน้ำใกล้จะมาแล้ว” เถ้าแก่ร้านน้ำชากำลังรีบเก็บของ เมื่อเห็นพวกเผยจี้ฉือเข้ามาก็รีบเอ่ยขึ้น “ไม่รับแขกแล้ว รีบขึ้นไปหลบบนเนินเขาเถอะ! ใกล้จะถึงช่วงที่น้ำขึ้นสูงแล้ว!”
ได้ยินดังนั้นคนผ่านทางที่กำลังกินดื่มกันอยู่ก็รีบสูดของกินในชามไปอีกสองที ก่อนจะวางเงินทิ้งไว้และหยิบห่อผ้าจากไปเช่นกัน
สาวน้อยที่ชื่อเยี่ยนชิวผู้นั้นวิ่งออกไปพร้อมร่ม เผยจี้ฉือจึงคว้าแขนนางเอาไว้โดยไม่รู้ตัว นางมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขา เสื้อผ้ามีรอยปะเต็มไปหมด แต่ท่าทางของนางกลับดูไม่เหมือนชาวนาเลย
แม้ว่าการกระทำของเขาจะดูหยาบคาย แต่ในเมื่อเป็นเรื่องอันตราย เขาจึงไม่สามารถมองดูนางวิ่งออกไปได้
“เจ้าไม่ได้ยินที่คนเขาบอกว่าน้ำจะขึ้นสูงหรือ รีบไปหาที่ปลอดภัยหลบเร็วเข้า”
เสิ่นเยี่ยนชิวเอ่ยด้วยความร้อนใจ “ปล่อยนะ ข้าจะไปตามพ่อข้ากลับมา”
เถ้าแก่ร้านน้ำชาตากฝนออกมาและช่วยพูดด้วย “เจ้าเป็นสตรีจะไปที่เขื่อนได้อย่างไร ลมพัดทีก็ร่วงลงไปแล้ว”
เซี่ยวั่งซูขมวดคิ้วแล้วเอ่ยขึ้นมา “พ่อเจ้าเวลานี้ไปที่เขื่อนอีกทำไมกัน?”
“พ่อนางเป็นผู้ว่าการมณฑล ผู้ว่าการมณฑลเสิ่น เสิ่นหงเหวิน”
เซี่ยวั่งซูรู้สึกประหลาดใจ “ผู้ว่าการมณฑลของพวกเจ้าไม่ได้ชื่อเมิ่งซื่อหรอกหรือ?”
“นั่นเป็นคนที่ราชสำนักแต่งตั้ง แต่พวกเราไม่ยอมรับ พวกเราประชาชนชาวหลูโจวยอมรับแค่เพียงเสิ่นหงเหวินคนเดียวเท่านั้น!” เถ้าแก่ร้านน้ำชาเอ่ยถึงตรงนี้ ก็เอ่ยด้วยความตื่นเต้น “กลับมาแล้ว ๆ!”
จากนั้นก็เห็นว่ามีคน ๆ หนึ่งกำลังเดินมาท่ามกลางสายฝนที่ตกหนัก เสื้อกันฝนที่สวมก็ขาดรุ่งริ่ง ทั้งตัวเหมือนขึ้นมาจากน้ำก็มิปาน รองเท้าฟางก็จมลึกลงไปในดินโคลน เสิ่นเยี่ยนชิวสะบัดเผยจี้ฉือออก ก่อนจะวิ่งเข้าไปกางร่มคันนั้นให้เขา ทว่าก็ไม่สามารถบังอะไรได้
“ท่านพ่อ”
“เร็ว รีบไป เขื่อนกำลังจะพังแล้ว” เสิ่นหงเหวินตะโกนขึ้นมา ก่อนจะเอ่ยกับพวกเซี่ยวั่งซู “พวกเจ้ามาจากต่างถิ่นอย่างนั้นหรือ? มากันมากเพียงนี้เชียว?”
เซี่ยวั่งซูพยักหน้ารับ “ผ่านมาทางนี้พอดี”
“รีบตามพวกเราขึ้นไปบนเนินเขาเถอะ”
ทั้งหมดไม่ได้สร้างปัญหาแต่อย่างใด ตามสองพ่อลูกขึ้นไปบนเนินเขาแต่โดยดี ทหารเกราะเหล็กคิดว่าพวกเขาเดินช้า จึงยกตัวเสิ่นหงเหวินขึ้นไปบนหลังม้าเพื่อให้เขานำทาง
เซี่ยวั่งซูดึงเสิ่นเยี่ยนชิวขึ้นมาบนรถม้า เห็นสาวน้อยเปียกไปทั้งตัว ริมฝีปากซีดขาวและสั่นเทา จึงส่งเตาอังมือให้นางด้วยความสงสาร และกำลังจะถอดเสื้อคลุมให้นางคลุมเอาไว้
ทว่าเผยจี้ฉือกลับไวกว่า เขาหยิบเสื้อผ้าที่สะอาดของตัวเองออกมา “เจ้าคลุมเอาไว้ก่อนนะ”
เสิ่นเยี่ยนชิวหลุบตาลง ก่อนจะรับเอาไว้ “ขอบคุณมาก”
เซี่ยวั่งซูรู้สึกสงสารจับใจ นางโตกว่าอาอินไม่เท่าไรนัก กลับต้องมาวิ่งตามก้นพ่อของนางเช่นนี้ บอกว่าเป็นลูกสาวขุนนางแต่รองเท้าปักที่สวมกลับขาดไปนานแล้ว เห็นได้ชัดว่าฐานะครอบครัวคงลำบากมากจริง ๆ
เหมือนสังเกตเห็นสายตาของเผยจี้ฉือกับเซี่ยวั่งซู เสิ่นเยี่ยนชิวจึงหดเท้ากลับไปในกระโปรง ก่อนจะเอ่ยด้วยใบหน้าแดงเรื่อขึ้นมา “ทางลาดบนเนินเขานั้นสูงและค่อนข้างปลอดภัย รอน้ำระลอกนี้ผ่านไปแล้ว พวกท่านก็สามารถเดินทางต่อไปได้แล้ว”
เซี่ยวั่งซูประหลาดใจ “เจ้ารู้เรื่องนี้ด้วยหรือ?”
“ข้าฟังเสียงน้ำมาตั้งแต่เด็กจนโต แม่น้ำที่นี่กว้างกว่าห้าร้อยจั้ง ลึกถึงแปดเชียะ เมื่อมีน้ำขึ้นสูงก็มักจะไม่เกินสองเชียะ หาดทรายและเนินสูงที่ใหญ่ขนาดนั้นจึงเป็นกันชนชั้นดีเมื่อกระแสน้ำซัดขึ้นมา เพียงแต่ตะกอนที่พัดมาครั้งแล้วครั้งเล่าก็เริ่มสูงขึ้น แม้จะไม่ถึงขนาดทำให้ปลายน้ำทั้งหมดกลายเป็นมหาสมุทร แต่ปัญหาที่ทิ้งเอาไว้ก็จะใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ”
อย่ามองว่านางร่างกายบอบบาง เพราะคำพูดที่เอ่ยออกมานั้นกลับเป็นหลักเป็นการ เซี่ยวั่งซูจึงรู้สึกชื่นชอบนางขึ้นมาทันที
เผยจี้ฉือเองก็ตั้งใจฟังเช่นกัน “เช่นนั้นเมื่อครู่พ่อเจ้าไปทำอะไรบนเขื่อนหรือ?”
“สังเกตทิศทางลม แรงลม ดูน้ำขึ้น อีกเดี๋ยวอากาศจะมีการเปลี่ยนแปลง ต้องรีบแจ้งเตือนประชาชน”
เซี่ยวั่งซูจึงถามหยั่งเชิงออกมา “ตอนนี้พ่อเจ้าไม่ใช่ผู้ว่าการมณฑลแล้ว แต่ก็ยังไปดูน้ำที่นี่ทุกวันอย่างนั้นหรือ?”
เสิ่นเยี่ยนชิวพยักหน้ารับ “พ่อของข้าจัดการแม่น้ำสายนี้มาสิบกว่าปีแล้ว บอกให้เขาเลิกทำตอนนี้คงทำไม่ได้หรอก ต่อให้ราชสำนักจะไม่ต้องการเขา เขาก็ไม่สามารถทำผิดต่อชาวหลูโจวได้ พ่อข้าไม่ใช่พ่อของข้าเพียงคนเดียว แต่ยังเป็นพ่อของชาวหลูโจวด้วย”
.