เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย - บทที่ 346 เกิดข่าวลือทั่วสารทิศ
- Home
- เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย
- บทที่ 346 เกิดข่าวลือทั่วสารทิศ
บทที่ 346 เกิดข่าวลือทั่วสารทิศ
หาได้ยากที่ฝนจะไม่ตก บรรดาผู้คนในเมืองหลวงต่างก็ออกมารับลมกัน พวกเขาอัดอั้นอยู่แต่ในบ้านมาหลายวันจนรากแทบจะงอกออกมาอยู่แล้ว แต่ละคนจึงพาครอบครัวออกมาข้างนอก
“อะไรนะ? หลูโจวจะเกิดน้ำท่วม? โอ๊ย นั่นไม่ใช่เรื่องดีเลย”
“หลูโจวห่างจากที่นี่ตั้งไกล เกิดน้ำท่วมก็ไม่เกี่ยวกับพวกเรานี่นา”
“เจ้าโง่หรืออย่างไรกัน เหตุใดจะไม่เกี่ยวเล่า? ต้องมีคนตายมากมายเพียงใดกัน หากเกิดโรคระบาดขึ้นเล่า ชาวบ้านที่ประสบภัยต้องหนีไปทั่ว เจ้าจะไปตามจับพวกเขาที่ใดกัน!”
“ข้าไม่เชื่อหรอก ราชสำนักส่งเงินไปเสริมความแข็งแรงของเขื่อนทุกปี นี่กี่ปีมาแล้วยังทำไม่เสร็จอีกหรือ?!”
โรงน้ำชาและภัตตาคารเวลานี้มีคนพูดถึงข่าวเรื่องน้ำท่วมในหลูโจว บางคนก็เชื่อ แต่ก็มีบางคนที่ไม่เชื่อ
แต่น้อยคนนักที่จะกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะน้ำท่วมไม่ถึงบ้านตัวเอง ฟ้าถล่มลงมาก็ยังมีราชสำนักอยู่ ควรกินอย่างไรก็กินไป ควรเล่นอย่างไรก็เล่นไป
จนกระทั่งมีข่าวใหม่ออกมาว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในหลูโจวเป็นเรื่องจริง เพราะมันเริ่มมานานแล้ว โดยตระกูลใหญ่ต่าง ๆ ในเมืองหลวงได้กว้านซื้อข้าวสารและสมุนไพรมากักตุนกันแล้ว ถึงเวลานั้นคนทั่วไปหากไม่มีข้าวกินและติดโรคขึ้นมาก็คงต้องรอความตายอย่างเดียว
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้แพร่กระจายออกไป คนทั้งเมืองก็ตกอยู่ในความตื่นตระหนก ไม่ให้ผู้คนกินข้าว ไม่ให้ผู้คนรักษา นี่ไม่เท่ากับให้คนอยู่รอความตายหรอกหรือ!
คนที่มองอยู่เฉย ๆ และคอยพูดจาประชดประชันก็ไม่ออกมาแสดงตัวอีกแล้ว ต่างรีบใช้เส้นสายไปสืบข่าวดู
สุดท้ายก็พบว่าร้านขายข้าวมีข้าวสารเหลืออยู่ไม่มากจริง ๆ เพราะเดือนก่อนถูกคนกว้านซื้อไปหมดแล้ว!
สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือร้านขายยาเวลานี้ขาดแคลนสมุนไพรที่พบได้บ่อยอย่างหนัก และกำลังมองหาผู้ค้ายาจากที่ต่าง ๆ เพื่อกว้านซื้อยา
จากหนึ่งเป็นสิบ จากสิบเป็นร้อย วันนั้นทุกคนต่างก็วิ่งออกไปซื้อข้าวสารและยาสมุนไพร จนแทบจะทำให้ทั้งเมืองว่างเปล่า!
ความขุ่นเคืองที่มีต่อราชสำนักก็เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน เรื่องใหญ่เพียงนี้กลับไม่บอกพวกเขา หรือว่าคนของตระกูลเหล่านั้นเป็นคน แต่พวกเขาไม่ใช่คนอย่างนั้นหรือ!?
แต่ของอย่างนี้ใช่ว่าอยากซื้อก็จะซื้อได้ เมื่อข่าวแพร่ออกไปทุกคนล้วนเห็นโอกาสทางการค้า ตัดสินใจปิดร้านปล่อยให้คนเหล่านั้นเคาะประตูอยู่ด้านนอกและไม่ยอมเปิด
อู๋ซิ่วเองก็ได้ข่าวเช่นกัน
“ท่านนายกอง ท่านไม่ให้คนที่บ้านไปต่อแถวซื้อสักหน่อยหรือขอรับ?”
อู๋ซิ่วหมดอาลัยตายอยาก “ข้ายังไม่รู้เลยว่าจะมีชีวิตอยู่ถึงเดือนหน้าหรือไม่ มีให้กินก็กิน ไม่ได้กินก็ช่างเถอะ”
เขาเองก็ไม่ได้คาดหวังอยู่แล้ว เขาไม่มีความคาดหวังอะไรต่อโลกนี้นานแล้ว
แค่กิน ๆ ไปรอความตายไปวัน ๆ เท่านั้น เขาหมดหวังที่จะเลื่อนขั้นแล้ว ชาตินี้คงต้องอยู่เฝ้าประตูเมืองไปตลอดชีวิตเป็นแน่
และในตอนนั้นเองดวงตาที่หรี่เล็กของอู๋ซิ่วก็ค่อย ๆ โตขึ้น จ้องมองกลุ่มคนที่กำลังย่างกรายเข้ามาใกล้ประตูเมือง
คงไม่ใช่หรอกกระมัง เวลาสำคัญเช่นนี้เผยยวนคงไม่มาหรอก
อู๋ซิ่วทะลึ่งตัวลุกขึ้นยืน แต่คนพวกนั้นกลับโยนคนทั้งสามคนที่อยู่บนหลังม้าทิ้งไว้ที่ประตูเมือง แล้วก็จากไป…
ชาวบ้านที่ผ่านไปผ่านมาต่างก็ล้อมวงกันเข้ามาด้วยความอยากรู้อยากเห็น ก่อนจะเห็นว่าทั้งสามคนเต็มไปด้วยเลือดและหายใจรวยรินเต็มที ทำให้พวกเขาถอยหนีด้วยความตกใจ
“โอ๊ย นี่มันเรื่องอะไรกันล่ะเนี่ย?”
“กลุ่มคนเมื่อครู่เป็นพวกโจรอย่างนั้นหรือ?”
อู๋ซิ่วรีบเบียดตัวเข้าไป ก่อนจะเห็นคนที่อยู่ด้านหน้าสุดขยับขยุกขยิกสองที จากนั้นก็กระโจนเข้าไปกอดชายที่หายใจรวยรินเอาไว้แนบอก พลางร้องไห้และตะโกนออกมา “เจ้าเป่ยป้าเทียนสารเลว เมิ่งเยี่ยน เจ้าฟื้นสิ เช่นนี้ข้าจะไปบอกพ่อเจ้าได้อย่างไรกัน!”
อู๋ซิ่วตกใจขึ้นมาทันที เมื่อเข้าไปดูใกล้ ๆ อย่างละเอียดแล้ว อ๊ะ นี่มันลูกชายของแม่ทัพเอี๋ยนไม่ใช่หรือ!บราวนี่ออนไลน์
“นายน้อยเอี๋ยน เหตุใดท่านถึงมีสภาพเช่นนี้เล่าขอรับ!?”
บนโลกนี้ยังมีคนที่อนาถกว่าเขาอีกหรือนี่?
เอี๋ยนเฉาตีอกชกหัว “รีบตามหมอเร็วเข้า รีบไปเรียกคนของตระกูลเมิ่งมา เป่ยป้าเทียนฆ่าตัวประกันแล้ว! ข้าบอกแล้วว่าเรื่องแบบนี้ทำไม่ได้ เหตุใดต้องขนข้าวสารกับสมุนไพรออกนอกเมืองเวลานี้ด้วย! รีบร้อนเพียงนั้นเชียวหรือ?”
เดิมทีคำพูดเหล่านี้ก็ฟังเหมือนไม่มีอะไร แต่เมื่อผู้คนในเมืองหลวงได้ยิน กลับกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาทันที!
คนที่เมื่อครู่ยังเห็นอกเห็นใจพวกเขาอยู่ สีหน้าก็พลันเปลี่ยนไปในพริบตา
ดีจริง ๆ พวกเขาเตรียมฉวยโอกาสทำเงินยามที่บ้านเมืองลำบากนี่เอง! คิดที่จะกว้านซื้อของไปให้หมด จากนั้นค่อยขายให้พวกเขาในราคาที่สูงใช่หรือไม่?
วิธีการนี้พวกชาวบ้านต่างคุ้นเคยมานานแล้ว! คิดไม่ถึงว่ากรรมจะตามทันเร็วเพียงนี้
เป่ยป้าเทียนทำเรื่องดีแล้ว!
ตอนนี้ใครจะยังสนใจอีกว่าเป่ยป้าเทียนถูกทางการจับไปจริงหรือไม่ พวกเขารู้แค่ว่าตระกูลเมิ่งมีส่วนร่วมในเรื่องนี้!
ตระกูลเมิ่งเป็นใคร? เป็นตระกูลของเต๋อเฟย เต๋อเฟยจะไม่รู้ได้อย่างไรกัน!? องค์ชายสามจะไม่รู้จริงหรือ!?
จากนั้นไม่นานทุกคนก็ได้รู้ว่าใครอยู่เบื้องหลังและสั่งให้ตระกูลต่าง ๆ ซื้อข้าวสารและสมุนไพรกักตุนแล้ว
ก่อนที่องค์ชายสามจะทันได้โต้ตอบ จอมปราชญ์เสิ่นฉางซานก็รีบพาลูกศิษย์ของตัวเองไปที่ประตูวัง และกางเสื่อกกเพื่อขอคำอธิบายทันที ไม่เพียงเท่านั้น แม้แต่บรรดาผู้ตรวจการต่างก็ไปที่ตำหนักของฮ่องเต้เซี่ยเจิน และขอร้องให้ฮ่องเต้เซี่ยเจินเรียกองค์ชายสามเข้าพบเพื่อสอบถามเรื่องนี้อย่างละเอียด
เอี๋ยนเฉาถูกนำตัวเข้าไปในวังและซักถามอย่างละเอียดแล้ว แต่เขาพูดไปพูดมาเมิ่งเยี่ยนก็ไม่กล้ายอมรับ เขาจึงพูดแค่ที่ตนเองรู้เท่านั้น
“ข้าเป็นคนที่ซวยที่สุดนะขอรับ ข้าไม่รู้อะไรเลยนะขอรับ”
เอี๋ยนเฉาตัดสินใจที่จะไม่พูดอะไร เพราะอย่างไรเสียคนที่ต้องร้อนใจก็คือคนของตระกูลเมิ่ง
ส่วนองค์ชายสามเซี่ยเซวียนเวลานี้อยู่ที่ตำหนักของตัวเอง กำลังวางแผนเรื่องที่จะทำต่อจากนี้ เดิมพวกเมิ่งเยี่ยนถูกลักพาตัวไป แต่เขากลับสั่งให้คนที่อยู่ใต้บังคับบัญชาอย่าทำอะไรผลีผลาม
แค่นี้ก็สร้างความไม่พอใจให้กับพวกเขาแล้ว
ตลอดเวลาที่ผ่านมาพวกเขาล้วนติดตามองค์ชายสาม เสี่ยงอันตรายทำงานให้เขา
สุดท้ายแค่โจรภูเขาตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง เซี่ยเซวียนกลับไม่แยแสปล่อยให้เลือดเนื้อเชื้อไขของตระกูลพวกเขาถูกลักพาตัวไปโดยไม่สนใจไยดี
คนเช่นนี้ภายภาคหน้าหากเขาได้ขึ้นครองราชย์ พวกเขาจะได้ประโยชน์อะไรกัน
ตอนนี้จึงไม่มีใครคาดหวังอะไรจากเขาอีกแล้ว แต่ละคนจึงรีบคิดหาทางเอาเอง เพื่อหาช่องทางบุกขึ้นเขาไปช่วยลูก ๆ
ข่าวลือในเมืองหลวงเหล่านั้นพวกเขาย่อมได้ยินแล้ว แต่ไม่มีใครยอมไปรายงาน เพราะหากถึงเวลานั้นก็แค่โยนความผิดทั้งหมดให้กับเซี่ยเซวียน อย่างไรเสียตระกูลเมิ่งก็เป็นกำลังหลัก พวกเขาเองก็ไม่ได้ซื้ออะไรตุนไว้มากมาย ผลักความผิดไปให้ตระกูลเมิ่งบอกว่าพวกเขาหลอกลวงก็จะสามารถลดทอนความผิดลงได้อีกหน่อย
เซี่ยเซวียนต่อให้ตายก็คิดไม่ถึงว่าเป็นเพราะการที่เขาไม่ยอมเคลื่อนไหว จึงทำให้พรรคพวกของเขาผิดหวังและเสียใจ เมื่อเจียงเต๋อมาหาเขาที่ตำหนักด้วยตัวเอง เซี่ยเซวียนก็ยังคงงุนงงอยู่
จนกระทั่งได้ยินคำพูดที่เหมือนการสอบสวนของเจียงเต๋อ สมองของเซี่ยเซวียนก็ยังรู้สึกสับสนไม่หาย
“กงกงไปฟังใครพูดมาเล่า ข้าจะทำเรื่องที่บังอาจเพียงนั้นได้อย่างไรกัน?”
เจียงเต๋อยิ้มออกมาพร้อมทำหน้านิ่ง ๆ “เรื่องนี้กระหม่อมตัดสินใจเองไม่ได้ องค์ชายสามทรงตามกระหม่อมเข้าวังดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ เมื่อคืนฝ่าบาทบรรทมไม่หลับ ทั้งยังถูกท่านผู้ตรวจการบีบให้อ่านฎีกาจนถึงเช้า พระองค์คงยังไม่รู้กระมัง ฎีกาที่กล่าวหาพระองค์สูงถึงเข่าของกระหม่อมเลยนะพ่ะย่ะค่ะ!”
เซี่ยเซวียนรู้สึกหน้ามืดขึ้นมา “ต้องมีเรื่องเข้าใจผิดกันแน่”
“พระองค์ไปทูลฝ่าบาทเองดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”
เจียงเต๋อรู้สึกว่าองค์ชายสามผู้นี้ไม่ได้เรื่องเลยจริง ๆ อย่างน้อยเต๋อเฟยที่ทราบข่าวก็ยังรีบไปขอร้องฮ่องเต้เซี่ยเจินทันที แต่ตัวต้นเรื่องอย่างเขากลับไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย!
เจียงเต๋อไหนเลยจะรู้ว่าทุกคนที่จะมาแจ้งข่าวที่ตำหนักองค์ชายสาม ล้วนถูกคนของกลุ่มกองเรือขวางเอาไว้
สิ่งที่ต้องการก็คือให้เซี่ยเซวียนไม่ทันตั้งตัว โวยวายไปเถอะ ยิ่งโวยวายมากเท่าไรก็ยิ่งดี!
เซี่ยเซวียนที่กำลังคิดว่าจะแก้ตัวเช่นไรดีก็ถูกเจียงเต๋อพาขึ้นรถม้าเข้าวังไปเสียแล้ว เมื่อออกมาจากตำหนักเขาจึงเห็นว่าเนื่องจากมีรถม้าของวังหลวงมารับ จึงมีชาวบ้านจำนวนมากมารวมตัวกัน ชาวบ้านเหล่านั้นล้วนจ้องมองมาที่เขาเป็นตาเดียว สายตาเหล่านั้นไม่มีความเกรงกลัวอย่างที่เคยอีกแล้ว แต่กลับเต็มไปด้วยความเย้ยหยันและความผิดหวัง