เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย - บทที่ 370 เจ้าคนเลอะเลือน
บทที่ 370 เจ้าคนเลอะเลือน
ตำหนักไท่จี๋
เนื่องจากถูกปล่อยว่างมาเป็นเวลานาน เมื่อไท่ซ่างหวงกลับมากะทันหัน เหล่าคนรับใช้ในตำหนักที่เกียจคร้านต่างก็ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ
พวกเขารีบปัดกวาดเช็ดถูกันอย่างลนลาน พลางสาปแช่งในใจว่าเหตุใดคนในวังถึงไม่มีใครมาส่งข่าวสักคน แต่ไม่นานก็คิดได้ เฮอะ คนในวังเกรงว่าก็คงจะยังไม่รู้ว่าไท่ซ่างหวงเสด็จกลับมาแล้ว เช่นนั้นก็เห็นได้ชัดอยู่แล้วว่าไท่ซ่างหวงขี้เกียจจะแจ้งไม่ใช่หรือ?
ไม่อย่างนั้นจางตงไหลจะไม่รีบส่งคนมาเก็บกวาดก่อนหรอกหรือ ไหนเลยจะปล่อยให้ไท่ซ่างหวงมานั่งดมฝุ่นในตำหนักเช่นนี้?
“ไป ให้คนไปส่งข่าวในวัง บอกว่าไท่ซ่างหวงกลับมาแล้ว”
แม้ว่าจางตงไหลจะไม่ได้ให้คนมาแจ้งล่วงหน้า แต่คิดไม่ถึงว่าสุนัขรับใช้ในตำหนักไท่จี๋จะขี้เกียจเพียงนี้ จนฝุ่นบนโต๊ะสามารถทิ้งรอยไว้ได้อยู่แล้ว ไม่ต้องพูดถึงเรื่องเตียงบรรทม คาดว่าหลังจากตรวจดูอย่างละเอียดทั้งภายในและภายนอกแล้ว คงเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องนำของในตำหนักไปขายต่อ
คนรับใช้ในวังที่ได้รับข่าวต่างก็คุกเข่าลงบนพื้นด้วยตัวที่สั่นเทา เมื่อเห็นว่าแม้แต่กฎระเบียบและข้อบังคับก็ไม่รักษา จางตงไหลก็อยากจะเข้าไปโบยทีละคนให้รู้แล้วรู้รอด
ไท่ซ่างหวงตั้งใจให้เป็นเช่นนี้ เขาคิดอยู่แล้วว่าเซี่ยเจินไม่มีทางให้คนมาดูแลตำหนักไท่จี๋แน่ พวกคนรับใช้เมื่อไม่มีคนคอยควบคุมย่อมเกียจคร้านเป็นธรรมดา
จางตงไหลสั่งให้คนย้ายเก้าอี้ออกมา ให้ไท่ซ่างหวงนั่งผิงแดดอยู่นอกตำหนัก ส่วนตัวเองก็พับแขนเสื้อจะไปจัดการคน
…
จวนตระกูลฮวา
อาชิงน้อยนั่งยอง ๆ อยู่บนพื้น หยิบไม้ท่อนเล็ก ๆ แยกพวกมดที่เดินเป็นแถวออกจากกัน มือเล็ก ๆ เท้าแก้มเอาไว้ “พี่หญิง ท่านทวดไม่อยู่ ข้าคิดถึงท่านทวดแล้วขอรับ”
จี้จือฮวนกับเผยยวนไปหย่งอันถัง และสั่งให้พวกเขาสองคนทบทวนตัวเองอยู่ที่บ้าน ว่าควรจะไปกับคนที่อันตรายเพียงลำพังหรือไม่
อาอินเองก็หมดอาลัยตายอยากเช่นกัน “เอ๊ะ หรือไม่พวกเราไปที่ตำหนักไท่จี๋ ไปหาท่านทวดกันเถอะ เขาไปที่นั่นคนเดียวต้องเหงามากเป็นแน่”
อาชิงเองก็กระฉับกระเฉงขึ้นมาทันที สองพี่น้องสบตากันเล็กน้อย ก่อนจะรีบกลับห้องไปหยิบกระเป๋าใบน้อยของตัวเอง!
พวกเขาไม่ได้แอบหนีออกไปเที่ยวนะ! แต่จะไปทบทวนตัวเองที่ตำหนักไท่จี๋ต่างหาก!
ทางด้านเสี่ยวลิ่วจื่อเมื่อได้ยินพวกเขาบอกว่าจะไปตำหนักไท่จี๋ ทั้งยังจะพาพวกเสี่ยวเฮยไปด้วย ก็เกาลำคอเล็กน้อย “ตำหนักนั่นจะเข้าไปง่าย ๆ ได้อย่างไรกัน แค่หน้าประตูพวกตัวเล็กตัวน้อยอย่างพวกเจ้าก็ถูกจับหมดแล้ว”
“ไม่มีทาง ๆ ท่านทวดต้องให้พวกเราเข้าไปแน่”
“นะเจ้าคะ!”
พวกเด็ก ๆ ต่างก็มองเขาเป็นตาเดียว เสี่ยวลิ่วจื่อริมฝีปากสั่นเทา ก่อนจะเอ่ยอย่างยอมรับชะตา “ก็ได้”
เสี่ยวลิ่วจื่อหารถม้ามาคันหนึ่ง ขณะที่อุ้มพวกเด็ก ๆ ขึ้นไปทีละคน ก็เห็นองค์ชายสิบผู้นั้นพาคนมาอีกแล้ว
“พวกเจ้าจะไปที่ใดกัน!” เซี่ยห่วงเห็นพวกเขาขึ้นรถม้าตั้งแต่ไกล ๆ แล้ว ไม่ทันรอให้รถหยุดดี ก็วิ่งตึกตักเข้ามาทันที
“พวกเราจะไปหาท่านทวด เจ้าจะไปเยี่ยมปู่ของเจ้าหรือไม่?”
ไท่ซ่างหวงไม่ชอบเขา ไม่ใช่สิ เขากลับมาตั้งแต่เมื่อใดกัน องค์ชายสิบไม่ได้อยากไปนัก หากจับเขาไปอ่านหนังสือจะทำเช่นไร
แต่เขาก็อยากจะเล่นกับสองพี่น้องมาก “ก็ได้ เช่นนั้นก็ไปด้วยกันเถอะ”
ไท่ซ่างหวงกำลังงีบพักสายตา บรรดาคนรับใช้ด้านหลังก็เริ่มเก็บกวาดอย่างเป็นระเบียบ ไม่มีใครกล้าส่งเสียงดังแม้แต่คนเดียว เพราะกลัวจะรบกวนความสงบของเขา
แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงหัวเราะของเด็กกลุ่มหนึ่งดังเข้ามาในตำหนักอันเงียบสงบแห่งนี้
“ข้าหูฝาดไปหรือไม่?”
“จะว่าไปข้าก็ได้ยินเหมือนกัน”
ตำหนักไท่จี๋หลังจากที่ไท่ซ่างหวงลงจากตำแหน่งก็พักอยู่ที่นี่ ต่อมาหลังจากอดีตองค์รัชทายาทสวรรคตก็ได้ย้ายออกไป เมื่อตำหนักไร้นายก็ไม่มีไอพลัง หรือเสียงหัวเราะที่บริสุทธิ์เช่นนี้อีก
“ท่านทวด! ท่านทวด!~~”
ไท่ซ่างหวงลุกขึ้นยืนทันที ยังคิดว่าตัวเองละเมอเสียอีก สุดท้ายก็พบว่าพวกเจ้าตัวเล็กกำลังปีนป่ายข้ามธรณีประตูสูงของตำหนัก แล้ววิ่งมาทางเขา
ไท่ซ่างหวงรู้สึกยินดีขึ้นมาในทันใด ไม่เสียแรงที่เอ็นดูพวกเขาจริง ๆ!
อาชิงวิ่งเร็วที่สุด ใบหน้าเล็กแดงก่ำ พุ่งตัวเข้าไปที่ขาของเขาทันที “ท่านทวด ข้ากับพวกพี่หญิงมาอยู่เป็นเพื่อนแล้วขอรับ!”
“เด็กดี ดูเจ้าสิ วิ่งจนเหงื่อชุ่มไปหมดแล้ว เด็ก ๆ รีบไปตักน้ำร้อนมาให้พวกเขาเช็ดหน้าด้วย เดี๋ยวถูกลมเย็นพัดจะไม่ดี”
บรรดาคนรับใช้ต่างก็ประหลาดใจ แต่ก็ยังรีบไปตักน้ำมา ไท่ซ่างหวงปกติแม้แต่พวกหลาน ๆ ในวังก็ยังคุยอยู่ห่าง ๆ ไม่รู้ว่าเป็นลูกหลานตระกูลใดไร้มารยาทเพียงนี้ ทว่ายังเป็นที่โปรดปรานอีก?
พวกเด็กน้อยต่างก็เรียกหาท่านทวดและห้อมล้อมไท่ซ่างหวง จนทำให้เหล่าคุณชายน้อยที่มากับองค์ชายสิบต่างมองด้วยความตกตะลึง
เหตุใดองค์ชายสิบถึงยืนนิ่งไม่ขยับเช่นนั้นเล่า? นั่นเป็นปู่แท้ ๆ ของเขาไม่ใช่หรือ?
เข้าไปออดอ้อนสิ!
ฮึ่ย เห็นแล้วร้อนใจแทนจริง ๆ!
ทุกคนต่างสงสัยกันอย่างมาก เหตุใดสองพี่น้องถึงสนิทกับไท่ซ่างหวงเพียงนี้ คนในบ้านต่างก็พูดกันว่าบัดนี้เผยยวนมีไท่ซ่างหวงคอยหนุนหลัง แต่เมื่อเห็นเองกับตาก็ยังอดไม่ได้ที่จะตกใจอยู่ดี
“องค์ชายสิบ เหตุใดท่านไม่เข้าไปเล่าพ่ะย่ะค่ะ?”
หากครอบครัวนี้มีเด็กหลายคน เด็กที่ร้องไห้ไม่เป็นจะมีนมกินได้อย่างไร เหตุใดถึงได้โง่เพียงนี้กัน
เซี่ยห่วงตื่นตระหนก “ข้าไม่ไปหรอก เขาจะให้ข้าอ่านหนังสือ”
เหล่าคุณชายน้อย “!!!”
ความรู้สึกของทุกคนค่อนข้างยากที่จะอธิบายได้ ตอนนี้หากพวกเขาไปถามลูกสาวเผยยวนว่าต้องการสหายร่วมศึกษายังทันอยู่หรือไม่?
ไม่ใช่ว่าเจ้าหมอนี่ไม่ใช่หลานแท้ ๆ หรอกกระมัง
ไท่ซ่างหวงที่กำลังมีความสุข ก็จ้ององค์ชายสิบพลางเอ่ยขึ้นมา “ยืนอยู่ตรงนั้นทำไม รีบมาตรงนี้สิ”
เซี่ยห่วงสะดุ้งขึ้นมา ก่อนจะก้าวขาสั้น ๆ เข้าไปหา “ถวายบังคมเสด็จปู่พ่ะย่ะค่ะ”
“อืม ช่วงนี้ตั้งใจเรียนหนังสือ ฝึกเขียนหนังสืออยู่หรือไม่? อาฝูสามารถท่องคัมภีร์สามอักษรได้แล้ว เจ้าคงไม่ถึงขนาดสู้อาฝูไม่ได้หรอกกระมัง”
เซี่ยห่วงอายุเท่านี้แล้วหากยังอ่านคัมภีร์สามอักษรอยู่ก็แปลกแล้ว ทันใดนั้นเขาก็หน้าแดงขึ้นมา “ไม่มีทางอยู่แล้ว ข้าต้องเก่งกว่าอาฝูอยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ไท่ซ่างหวงรู้ดีว่าเจ้าเด็กคนนี้ถูกตามใจจนเสียคน “แล้วเจ้ามาอยู่กับอาอินได้อย่างไรกัน”
“เมื่อสองวันก่อนเจอกันบนถนนพ่ะย่ะค่ะ นี่เป็นญาติผู้พี่ของข้า ส่วนนี่เป็นคุณชายของตระกูลหวัง ตระกูลหลี่ ตระกูลเฉินพ่ะย่ะค่ะ”
ซูเฟยคัดเลือกตระกูลมาเป็นพิเศษไท่ซ่างหวงก็รู้ดี เขาพยักหน้าให้เด็กพวกนั้นเล็กน้อย ก่อนปล่อยให้พวกเขาไปเล่นกัน และให้คนไปที่ครัวเพื่อเตรียมขนมและน้ำหวานที่เด็ก ๆ ชอบกินมา
ตอนที่ฮ่องเต้เซี่ยเจินเร่งรีบมาที่ตำหนักไท่จี๋ พวกเด็ก ๆ ก็กำลังเล่นซ่อนหาในตำหนักขนาดใหญ่แห่งนี้อยู่
ที่นี่ใหญ่กว่าที่สวน จึงสามารถเล่นได้ทั้งวัน
การที่ฮ่องเต้เซี่ยเจินจะมาไท่ซ่างหวงย่อมรู้อยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นว่าคนรับใช้ในตำหนักไท่จี๋ตอนนี้ยังทำความสะอาดกันอยู่ เลือดลมของฮ่องเต้เซี่ยเจินก็พุ่งพล่าน จนอยากจะลงโทษพวกเขาเสียประเดี๋ยวนั้น
“เสด็จพ่อ กลับเมืองหลวงเหตุใดถึงไม่แจ้งลูกก่อนเล่าพ่ะย่ะค่ะ” ฮ่องเต้เซี่ยเจินเอ่ยพร้อมยกยิ้มประจบออกมา
ไท่ซ่างหวงจึงเอ่ยตอบด้วยเสียงเรียบนิ่ง “ก็กลัวว่าเจ้าจะรังเกียจที่ตาแก่อย่างข้าน่ารำคาญ จึงกลับมาเองก่อนอย่างไรเล่า”
ฮ่องเต้เซี่ยเจินเห็นไท่ซ่างหวงยอมสนใจเขาก็ลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก จากนั้นก็นั่งลงฟังไท่ซ่างหวงตำหนิอีกสองประโยค และก็ยอมรับผิดแต่โดยดี จึงทำให้ไท่ซ่างหวงอารมณ์เย็นลง
“เซี่ยเซวียนหนีไปแล้ว เจ้าได้ให้คนไปปิดประกาศจับแล้วหรือยัง?”
ฮ่องเต้เซี่ยเจินร้อนตัวเล็กน้อย “ถึงเทศกาลปีใหม่แล้ว เป็นเวลาที่ทูตของแคว้นต่าง ๆ ต้องมาถวายเครื่องราชบรรณาการ หากปิดประกาศไปทั่ว ไม่เท่ากับทำให้คนหัวเราะเยาะเอาหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ไท่ซ่างหวงตบโต๊ะเสียงดังลั่น “เหลวไหล! นี่ใช่เวลาที่จะต้องมากลัวคนหัวเราะเยาะอย่างนั้นหรือ? ตอนที่เจ้าโปรดปรานนักต้มตุ๋น! ไม่ฟังคำเตือน! เป็นฮ่องเต้แต่กลับไม่รู้เรื่องในใต้หล้า ปล่อยให้ราษฎรถูกรังแก! เจ้าไม่กลัวคนหัวเราะเยาะอย่างนั้นหรือ!”