เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย - บทที่ 385 ดวงจันทร์ของนาง
บทที่ 385 ดวงจันทร์ของนาง
เซี่ยหยางกลัวว่าเย่จิ่งฝูไปแล้วอาการของเขาจะกำเริบขึ้นมาอีก ดังนั้นจึงจับชายเสื้อของนางเอาไว้แน่น ให้นางนั่งเฝ้าเขาอยู่ตรงนี้
เย่จิ่งฝูครานี้ไม่ได้แสร้งอีกว่ารักษาเซี่ยหยางไม่ได้ แต่นางคิดไม่ออกจริง ๆ ว่าพิษนี้มาจากที่ใดกันแน่ พิษหนึ่งประกอบกับพิษหนึ่ง หลังจากใช้ยาถอนพิษ มันก็จะหลอมรวมเข้ากับยาถอนพิษกลายเป็นพิษชนิดใหม่ขึ้นมา
สีหน้าของเซี่ยหยางย่ำแย่ลงเรื่อย ๆ
ร่างกายนอกจากเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาวแล้ว ยังอาเจียน วิงเวียนศีรษะ ตาพร่า เกิดภาพหลอน แม้แต่เย่จิ่งฝูเขาก็เกือบจะเห็นนางเป็นจี้หมิงซู
เย่จิ่งฝูเองจากตอนแรกที่ไม่ใส่ใจ ก็เริ่มศึกษาพิษนี้อย่างตั้งใจ
หลังจากคิดไปคิดมาก็เอ่ยขึ้น “องค์ชายรอง ที่ข้าพูดตอนนี้ท่านฟังรู้เรื่องหรือไม่?”
ความจริงแล้วเซี่ยหยางรู้สึกสับสนเล็กน้อย ข้อมือของเขาเหมือนมีมดหลายพันตัวกำลังไต่ไปมา เขาจึงให้คนมัดเขาเอาไว้ จึงเลี่ยงที่จะไม่เกาได้
เห็นเขามีสภาพเช่นนี้ เย่จิ่งฝูก็ถอนหายใจออกมา “องค์ชายรอง ข้าทำได้เพียงเปลี่ยนเลือดให้ท่านแล้ว”
เอ่ยจบ นางก็หยิบมีดเล่มเล็ก ๆ ออกมา ก่อนจะถอดกางเกงของเซี่ยหยางออก
…
จี้จือฮวนกับเผยยวนออกมาจากตำหนักด้านข้าง ในอ้อมแขนยังอุ้มเจ้าตัวเล็กสองคนเอาไว้อีกด้วย องค์หญิงใหญ่ไม่คิดที่จะอยู่ในวัง จะกลับไปพักผ่อนที่เรือนรับรองซื่อฟางกับถูลี่ อย่างไรเสียนางก็ตั้งใจว่าจะอยู่ที่ต้าจิ้นดูแลไท่ซ่างหวง ดังนั้นเวลาที่จะได้อยู่กับลูกก็มีไม่มากแล้ว
อาฉือไม่ได้อยู่กับท่านพ่อท่านแม่มานานแล้ว เมื่อออกมาจากตำหนักพร้อมองค์หญิงใหญ่ ก็รีบเดินไปหาท่านพ่อกับท่านแม่ทันที
“ท่านแม่ ท่านพ่อ” เขาเขย่งเท้ามองดูน้องชายน้องสาวที่นอนหลับในอ้อมแขนของพวกเขาอย่างกับลูกหมู ก่อนจะเอื้อมมือไปบีบแก้มของพวกเขา “หลับสบายจริง ๆ เจ้าเด็กไร้น้ำใจสองคนนี้ ข้าอุตส่าห์เอาของขวัญมาให้ด้วย”
จี้จือฮวนรีบส่งอาชิงให้เผยยวน พลางเอื้อมมือไปคว้าเผยจี้ฉือ “มาให้แม่อุ้มหน่อย”
เผยจี้ฉือหลบไปอยู่ด้านหลังด้วยความตกใจ ก่อนจะเอ่ยด้วยความเก้อเขินออกมา “ข้าโตป่านนี้แล้ว ข้าไม่ให้อุ้มขอรับ”
“กับแม่ยังจะมาอายอีก ถึงจะโตกว่านี้ก็เป็นลูกชายแม่อยู่ดี รีบมาเร็วเข้า” จี้จือฮวนจะเข้าไปจับเขา เผยจี้ฉือก็พลันหูแดงไปหมด “ไม่ได้ ๆ ขอรับ”
เขาจับสายรัดเอวของเผยยวน และหลบอย่างรวดเร็ว
องค์หญิงใหญ่มองดูพวกเขาอย่างมีความสุข “เอาล่ะ รีบกลับบ้านเถอะ อีกอย่างหิมะตกหนักจะหนาวเอา”
นางสวมเสื้อคลุม โดยมีถูลี่กางร่มให้อยู่ด้านหลัง
จี้จือฮวนจูงมืออาฉือ “พรุ่งนี้พวกเราจะไปเยี่ยมท่านที่เรือนรับรองซื่อฟางนะเจ้าคะ”
“ไม่เป็นไร จัดการเรื่องของพวกเจ้าไปเถอะ ข้าไปก่อนนะ” องค์หญิงใหญ่เลือกที่จะไม่นั่งเกี้ยว แต่จะเดินกลับเอง
ถูลี่ให้คนแบกพวกที่ดื่มเหล้าจนเมาทั้งหมดกลับเรือนรับรองซื่อฟางไปก่อนแล้ว เวลานี้จึงเหลือองครักษ์ที่คอยคุ้มกันข้างกายไม่กี่คน
กระเบื้องเคลือบในวังหลวงถูกปกคลุมด้วยหิมะ จัตุรัสขนาดใหญ่ถูกแสงในตำหนักสาดส่องทำให้ดูอ้างว้างยิ่งนัก หิมะที่โปรยลงมาถูกลมพัดเข้ามาที่คอ ร่างสูงใหญ่ของถูลี่ก็โอบมารดาเอาไว้และไม่ได้เร่งเร้า
จี้จือฮวนมองพวกเขาจากไป แล้วจึงเอ่ยด้วยเสียงที่อ่อนโยน “พวกเราก็กลับบ้านเถอะ”
“อืม”
เหล่าข้าราชบริพารมองพวกเขาอยู่ตลอด ก่อนจะนึกสงสัยขึ้นมา
พระราชนัดดา…เหตุใดถึงไม่อยู่ในวังกัน ก่อนหน้านี้ไม่ยอมรับฐานะก็แล้วไป ทว่าบัดนี้ได้รับการยอมรับแล้ว แต่ยังปล่อยให้พระราชนัดดาไปกับเผยยวนอีกอย่างนั้นหรือ?
ทุกคนจึงอดไม่ได้ที่จะหันไปมองหลี่ฮองเฮาที่ยังไม่ได้ออกจากงานเลี้ยง
ก่อนจะพบว่าสายตาของนางก็มองตามเผยยวนและจี้จือฮวนอยู่ ทว่าเหมือนมองผ่านพวกเขาไป และกำลังมองใครคนหนึ่งอยู่ บนใบหน้าเต็มไปด้วยความรักและเมตตา
ทุกคนครุ่นคิดภายในใจว่าควรไปถวายฎีกาเรื่องนี้หรือไม่ ตามอายุของพระราชนัดดาควรจะต้องถูกเลี้ยงดูในวัง หรือไม่ก็ต้องประทานจวนอื่นให้ หรือให้อยู่กับไท่ซ่างหวงก็ยังดี แต่การปล่อยให้อยู่กับตระกูลเผยนี่มันเรื่องอะไรกัน?
แต่คนส่วนใหญ่ต่างรู้ดีว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่พวกเขาจะสามารถสอดมือเข้าไปยุ่งได้ เพราะไม่ใช่เรื่องดีอะไร หากฮ่องเต้ทรงคิดได้เมื่อครู่คงพูดไปแล้ว ไม่แน่พรุ่งนี้องค์หญิงใหญ่อาจจะพูดถึงเรื่องหลูโจวขึ้นมาก็เป็นได้ นางกางฉัตรราษฎรกลับมา ต่อให้จะทูลขออะไรให้พระราชนัดดา ฮ่องเต้จะกล้าไม่รับปากอย่างนั้นหรือ?
คนหนุนหลังพระราชนัดดาเป็นใครกัน ไม่ใช่คนที่บรรดาองค์ชายที่ไร้ที่พึ่งพิงจะสามารถเทียบได้เลย
ตอนที่เซียวเซวียนจิ่นกลับมาถึงตำหนัก ฮองเฮายังคงเหม่อลอยอยู่ เขาจึงเดินไปตรงหน้านาง “ฮองเฮา กลับตำหนักเถอะพ่ะย่ะค่ะ”
หลี่ฮองเฮาจึงได้สติขึ้นมา พลางกวักมือให้เขา “เมื่อครู่เห็นเจ้าดูแลแม่นางน้อยตระกูลเผยเป็นพิเศษ คิดถึงน้องสาวที่จวนของเจ้าใช่หรือไม่?”
เซียวเซวียนจิ่นไม่สามารถบอกได้ว่าเขากำลังรอให้เด็กน้อยโต เขากำลังแอบเลี้ยงภรรยาอยู่ จึงทำได้เพียงเกาหัว “น้องสาวกระหม่อมเป็นผีชอบร้องไห้ รอภายหน้าฮองเฮาได้พบนางก็จะรู้ว่าน่ารำคาญมากพ่ะย่ะค่ะ”
หลี่ฮองเฮาลุกขึ้น จูงมือของเขาแล้วเอ่ยออกมา “ตำหนักคุนหนิงของข้าเงียบสงบ เจ้าอยู่กับข้าก็จะสามารถอยู่ได้อย่างสงบหน่อย ดังนั้นกลับไปเขียนจดหมายบอกพ่อเจ้า เขาจะได้สบายใจด้วย”
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมอยู่กับฮองเฮา ท่านพ่อต้องดีใจแน่ ภายหน้าพระราชนัดดาครองบัลลังก์ กระหม่อมจะได้ไปปกป้องชายแดนต้าจิ้นแทนท่านพ่อแทนพระราชนัดดา”
คำพูดนี้ของเขาเบามากเพื่อกันไม่ให้คนอื่นได้ยิน แววตาของหลี่ฮองเฮาสั่นเครือ ก่อนจะตบหลังมือของเขาเบา ๆ “หนทางยังอีกยาวไกล ต้องมีวันนั้นแน่”
…
เซี่ยวั่งซูมองไปยังหิมะที่โปรยปรายทั่วท้องฟ้า ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ แล้วเอ่ยขึ้นมา “ตอนข้าเป็นเด็กก็เคยเห็นหิมะที่ตกหนักเช่นนี้ ตอนนั้นเหล่าพี่สาวที่เป็นนางกำนัลแอบย่างเกาลัดอยู่ที่ตำหนักด้านข้าง ตอนกลางคืนข้าอยากกินมาก แต่ก็อายเกินกว่าจะไปขอพวกนาง จึงแอบหยิบขนมอบขึ้นไปบนเตียง ดมกลิ่นหอมของเกาลัดไปก็แอบกินไป สุดท้ายเสียงดังเกินไป พวกนางจึงคิดว่ามีหนูมาเพ่นพ่านและกลัวจะทำข้าตื่น เมื่อเลิกผ้าห่มออกจึงพบว่าหนูตัวใหญ่ตัวนั้นก็คือข้าเอง
ต่อมาหลังจากแต่งงานกับท่านข่านนิสัยนี้ก็ไม่เคยเปลี่ยน วันที่ข้าแต่งงานกับเขา บนทุ่งหญ้าคึกคักอย่างมาก ข้าจำได้ว่าทุกที่ล้วนมีคนจับมือกันรอบกองไฟ มีคนร้องเพลงและเต้นรำ กลิ่นหอมของเนื้อวัวและเนื้อแกะปะทะเข้าจมูก ข้าสวมชุดแต่งงานเต็มยศ พิธีตอนที่ข้ากับท่านข่านแต่งงานกัน กลับเป็นงานแต่งที่เจ้าสาวถือพัดปิดหน้าซึ่งเป็นพิธีของพวกเราชาวต้าจิ้น ข้ายังจำได้ว่า เขาบอกว่าแต่งงานกับองค์หญิงต้าจิ้น ก็ควรจัดงานแต่งงานตามประเพณีต้าจิ้นให้ข้า โดยเขาเป็นคนที่ไปปรึกษากับเจ้าหน้าที่พิธีการเองและประยุกต์ออกมา บอกตามตรง นั่นไม่ใช่พิธีของต้าจิ้นและไม่ใช่พิธีของถู่เจีย แต่ข้ากลับชอบมาก”
เซี่ยวั่งซูมองใบหน้าที่อ่อนเยาว์และหล่อเหลาของลูกชาย ก่อนจะยื่นมือไปปัดที่คิ้วของเขา “ข้าชอบรอยแผลตรงนี้ของเขาที่สุด เขาในตอนนั้นยังเคยถามข้าอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ เพราะกลัวว่าข้าจะชอบบัณฑิตที่สุภาพ กลัวว่าจะทำกิริยาหยาบคายจนข้าตกใจ คนแบบเขาอยู่ต่อหน้าข้ากลับก้มหัวที่หยิ่งทะนงลง ทั้งชีวิตข้าไม่เคยลำบากอะไร เพราะมีเขาคอยบังลมฝนให้ข้า ถูลี่ ภายหน้าเจ้าก็ต้องรักและให้เกียรติภรรยาของเจ้า นางเดินทางมาไกลเพื่อเจ้า แบกความคาดหวังและความดีใจทั้งหมดเอาไว้”
ถูลี่พยักหน้ารับคำอย่างหนักแน่น “ตั้งแต่เด็กเสด็จพ่อก็บอกลูกเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ”
“หากท่านข่านยังอยู่ เขาต้องรู้อย่างแน่นอนว่าองค์หญิงน้อยของเขากลับมาถึงบ้านเกิดของนางแล้ว แต่ในใจนางกลับคิดถึงดวงจันทร์ของนาง หมาป่าแห่งทุ่งหญ้าของนาง”
บัณฑิตที่สุภาพแม้จะดี แต่นางรักในความดุดัน ใจกว้าง มีเหตุผล และฉลาดหลักแหลมของเขา
เขาไม่เคยหยาบคายกับนาง ถึงขนาดบางครั้งก็ยังพูดด้วยเสียงที่ดังเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะกลัวว่าจะทำให้นางตกใจ
ตอนนี้เมื่อหวนคิดถึงเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านั้น มันกลับกลายเป็นความคิดถึงที่สลักลึกไปเสียแล้ว
ถูลี่ไม่พูดอะไรอีก เพียงแค่เอียงร่มไปทางนางเล็กน้อย ตอนเด็กเขาอยู่ในราชสำนัก ทุกครั้งที่เห็นเสด็จพ่อกางร่มให้เสด็จแม่ ไหล่ของตัวเองมักจะเปียกไปเกินครึ่ง แต่กลับปกป้องเสด็จแม่เอาไว้เป็นอย่างดี
ตั้งแต่นั้นมาเขาก็รู้ว่าเสด็จแม่ช่างโชคดียิ่งนัก และรู้ว่าเพราะเหตุใดนางถึงได้รักเสด็จพ่อเพียงนั้น
.