เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย - บทที่ 391 รีบมีลูกตัวอ้วน ๆ เร็ว ๆ
- Home
- เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย
- บทที่ 391 รีบมีลูกตัวอ้วน ๆ เร็ว ๆ
บทที่ 391 รีบมีลูกตัวอ้วน ๆ เร็ว ๆ
เซี่ยวั่งซูออกมาจากตำหนักของฮ่องเต้เซี่ยเจินด้วยใบหน้าบึ้งตึง อารมณ์ก็ไม่ดีเท่าใดนัก ต่อให้นางจะดูถูกฮ่องเต้เซี่ยเจิน แต่นางก็หวังว่าเขาจะสามารถเป็นฮ่องเต้ที่ดีได้
หากไม่ถึงเวลานั้นจริง ๆ ใครจะอยากทำสงครามกัน เพราะคนที่ต้องทนทุกข์ในสงครามไม่ใช่ผู้ที่มีอำนาจอย่างพวกเขา แต่กลับเป็นสามัญชน เซี่ยเจินทำให้นางผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่เท่ากับบีบตัวเขาเองให้ไปสู่ทางตันหรอกหรือ?
เมื่อนางกลับไปถึงเรือนรับรองซื่อฟาง ก็พบว่าห้าคนพ่อแม่ลูกได้มารออยู่แล้ว และกำลังเล่นกันอยู่ในสวน
เมื่อก่อนอาฉือคิดว่าการเล่นซ่อนแอบเป็นการละเล่นของเด็ก ปกติแล้วเขาจะไม่เล่นกับน้อง ๆ แต่หลังจากได้ออกไปข้างนอกในครั้งนี้ เขาก็ตระหนักได้ว่าตอนที่มีคนในครอบครัวอยู่ข้างกาย การได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันสำคัญมากเพียงใด
แต่ว่าการซ่อนตัวของอาชิงนั้นง่ายเกินไปแล้ว ก้นเกินกว่าครึ่งโผล่ออกมานอกกองหญ้า ต่อให้เขาอยากจะแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นก็ยากมากจริง ๆ
องค์หญิงใหญ่เข้าไปตีก้นของอาชิงหนึ่งที เจ้าตัวเล็กจึงเอาหัวกลม ๆ โผล่ออกมา พลางร้องด้วยความดีใจและกอดขาของนางเอาไว้ “ท่านป้าวันนี้สวยจังเลยขอรับ! เหมือนพี่สาวเลยขอรับ”
องค์หญิงใหญ่เปล่งเสียงหัวเราะออกมา “เจ้านี่ปากหวานจริง ๆ! อย่างข้ายังเป็นพี่สาวเจ้าได้อีกอย่างนั้นหรือ?”
ความอ่อนเยาว์หายไปนานแล้ว ผมก็หงอกทั้งหัว แต่เด็ก ๆ เหล่านี้กลับโตเร็วจริง ๆ รู้สึกเหมือนไม่เจอกันแค่ไม่นาน ทว่าบางอย่างก็ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
เวลาช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน
“ท่านป้า ไปพูดหรือยังขอรับ?” อาฉือเอ่ยถามด้วยความตื่นเต้น
ท่านแม่ของเขาต้องแต่งกับท่านพ่ออย่างสมเกียรติถึงจะดี
“พูดแล้ว คำนวณวันแล้วหรือยัง ได้ฤกษ์แล้วข้าจะได้ไปบอกกรมพิธีการ”
“ข้าเอามาด้วยขอรับ” อาฉือล้วงกระดาษสีแดงออกมาจากแขนเสื้อ “วันมงคลที่ท่านอาเว่ยคำนวณขอรับ”
“เจ้าเด็กนั่นก็มีประโยชน์เหมือนกันนี่นา” เซี่ยวั่งซูคลี่กระดาษสีแดงออกดู “โอ๊ะ เลือกเวลาได้ไม่เลว ใกล้เคียงกับที่ข้าคาดการณ์เอาไว้ เมื่อคืนข้าก็ดูปฏิทินมาเหมือนกัน”
เซี่ยวั่งซูนั่งลง ประจวบกับเจ้าหน้าที่กรมพิธีการมาถึงพอดี ทั้งยังพาพี่น้องของฮ่องเต้เซี่ยเจินและเซี่ยวั่งซูอย่าง กว่างผิงอ๋อง มาด้วย
กว่างผิงอ๋องนับเป็นอ๋องเสเพลที่มีชื่อเสียงของเมืองหลวง และเป็นลูกที่ไท่ซ่างหวงมีตอนอายุมากแล้ว ดังนั้นจึงเอาแต่กินดื่มไปวัน ๆ แต่ว่าอะไรอร่อยเขากลับรู้ดีที่สุด ประกอบกับมีลายมือที่สวยงาม จึงมีชื่อเสียงมากทีเดียว
ครั้งนี้ฮ่องเต้เซี่ยเจินจึงให้กว่างผิงอ๋องกับเจ้าหน้าที่กรมพิธีการพาคณะทูตของถู่เจียเที่ยวเมืองหลวง
“พี่หญิงใหญ่ ถวายบังคมพี่หญิงใหญ่พ่ะย่ะค่ะ” ด้วยอายุของกว่างผิงอ๋อง นับว่าเซี่ยวั่งซูเพิ่งจะได้พบกับน้องชายคนเล็กคนนี้เป็นครั้งแรกจริง ๆ
“น้องเล็กไม่ต้องมากพิธี พี่หญิงได้พบเจ้าเป็นครั้งแรกก็ไม่ได้เอาของขวัญอะไรมา พวกถูลี่ต้องฝากเจ้าแล้ว”
กว่างผิงอ๋องหัวเราะออกมา เขาเป็นคนซื่อ ๆ ส่วนกับถูลี่นั้นก็นับว่าคุยกันถูกคอ
ในเมื่อเจ้าหน้าที่กรมพิธีการมาหาถึงที่เช่นนี้ เซี่ยวั่งซูจึงถือโอกาสนำเทียบกำหนดแต่งงานให้พวกเขา “ในเมื่อเป็นพิธีแต่งงานขององค์หญิงแห่งถู่เจียของเรา อีกทั้งข้ากับไท่ซ่างหวงก็ได้ปรึกษากันแล้ว จึงคิดว่าจะเอารูปแบบเช่นเดียวกับที่ข้าแต่งงานในตอนนั้นมาจัดก็แล้วกัน คิดว่าของเหล่านั้นคงจะยังอยู่กระมัง ส่วนอะไรที่ควรซื้อเพิ่มก็ให้ไปซื้อเพิ่มมา”
รองเจ้ากรมพิธีการพยักหน้ารับคำ “แน่นอนอยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ แต่หากพวกเราจะเอาเงินจากกรมพระคลังก็คงจะยากหน่อยนะพ่ะย่ะค่ะ”
เผยยวนเอ่ย “ไม่ต้องเอาจากกรมพระคลัง ส่วนที่ซื้อเพิ่มมาเบิกจากบัญชีส่วนตัวของข้าได้เลย”
เอี๋ยนเฉาช่วยเขาเอาทรัพย์สินของครอบครัวที่ถูกคนอื่นยึดไปในตอนนั้นกลับคืนมาได้แล้ว ทางด้านจวนยงอ๋องเขาก็ควรไปทวงเงินด้วยแล้วเช่นกัน ตอนนี้เขาจะแต่งภรรยาแล้ว เซี่ยอวินของจวนยงอ๋องแม้จะอยู่ในคุก แต่คนอื่น ๆ ไม่ได้เข้าไปด้วย มาใช้เงินของเขาเช่นนี้เขาจึงไม่พอใจอย่างมาก
ในเมื่อเผยยวนพูดเช่นนี้แล้ว กรมพิธีการไหนเลยจะกล้าขัดอีก
“เช่นนั้นก็ง่ายเลยขอรับ ไม่ทราบว่าองค์หญิงหย่งผิงคิดที่จะออกเรือนจากในวังหรือว่า…?”
จวนจี้กั๋วกงราบเป็นหน้ากลองแล้ว คงไม่เหมาะที่จะแต่งออกจากซากปรักหักพังกระมัง ส่วนเรือนรับรองซื่อฟางก็ดูไม่เป็นทางการนัก
“หมู่บ้านตระกูลเฉิน”
เสียงเย็นชาของจี้จือฮวนดังขึ้น นางมองไปทางเซี่ยวั่งซูและเผยยวน “ข้าอยากแต่งออกจากหมู่บ้านตระกูลเฉิน จัดงานมงคลแรกที่นั่น ให้พวกเขาส่งข้าออกเรือน”
จวนจี้กั๋วกงไม่มีญาติของนาง ตระกูลเซี่ยทั้งตระกูลล้วนไม่อยู่แล้ว บนโลกนี้ญาติทั้งในนามและที่เกี่ยวข้องกันทางสายเลือดของนางนับได้ว่าไม่มีแล้ว
นางเหลือเพียงพ่อแม่พี่น้องในหมู่บ้านตระกูลเฉินที่รักนางเหมือนลูกสาวแท้ ๆ เหล่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้นนางมาจากที่นั่น หมู่บ้านตระกูลเฉินมีความหมายต่อนาง
“เช่นนั้นก็ออกเรือนจากหมู่บ้านตระกูลเฉิน รับกลับมาที่จวนหย่งกวานโหวของข้า”
เผยยวนตัดสินใจในที่สุด
จวนหย่งกวานโหวเป็นรางวัลที่เขาชนะศึกกลับมา แม้เวลาที่เขาอยู่ที่นั่นจะไม่นานเท่ากับอยู่ที่ซีเป่ย แต่ก็มีความหมายไม่น้อยสำหรับเขา อีกอย่าง ผู้ชายแต่งงานก็ต้องแต่งกลับเข้าบ้านที่แท้จริงจึงจะถูก
เขาอยู่ในเมืองหลวง มีเพียงจวนหย่งกวานโหวเท่านั้นที่เป็นชื่อของเขา ส่วนพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษถึงเวลาก็ยังต้องกลับไปเซ่นไหว้ที่ตระกูลเผยอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นเดิมฮวนฮวนก็เป็นคนตระกูลเผยอยู่แล้ว
“เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้ก็แล้วกัน”
เจ้าหน้าที่ของกรมพิธีการเองก็สงสัย จัดในวังหลวงดี ๆ ก็ดีอยู่แล้ว ยังจะยืนกรานไปจัดที่หมู่บ้านตระกูลเฉินให้ได้อีกทำไมกัน “พ่ะย่ะค่ะ”
“พวกเจ้าเพียงจัดเตรียมในเมืองหลวงกับท้องพระโรงก็พอ จวนหย่งกวานโหวกับหมู่บ้านตระกูลเฉินพวกเราจะตกแต่งกันเอง”
แต่อย่างไรเสียก็เป็นการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างสองแคว้น ดังนั้นจึงต้องทำพอเป็นพิธีในท้องพระโรงด้วย
เมื่อจัดการเรื่องนี้เสร็จเรียบร้อย องค์หญิงใหญ่ก็สบายใจแล้ว “ในที่สุดก็ได้เห็นฮวนฮวนของข้าออกเรือนเสียที จวนหย่งกวานโหวเจ้าต้องหาคนไปดูด้วยนะ”
“หลิวเฟิงจะไปเป็นครั้งคราว และที่จวนก็ยังมีคนดูแลอีกหลายคน ก่อนหน้านี้หลังจากฮ่องเต้กลับเมืองหลวง ก็ได้ประทานของจำนวนไม่น้อยไปที่จวนเพื่อชื่อเสียงของตัวเองด้วย คาดว่าคงไม่ขาดของตกแต่งหรอกขอรับ”
“คนเพียงเท่านั้นก็ยังไม่พออยู่ดี ถึงเวลาจัดงานเลี้ยงหรืออะไรจะไม่เป็นระเบียบ ต้องหาคนมาช่วยอีก เรื่องนี้ให้ข้าจัดการเอง ส่วนชุดแต่งงานของเจ้าต้องเร่งมือหน่อยนะ”
เผยยวนเกาหัว “ขอรับ ต่อให้ไม่ได้นอนก็ต้องเร่งมือปักให้เสร็จให้ได้”
องค์หญิงใหญ่จูงมือจี้จือฮวน “ฮวนฮวนตามข้ามา”
จี้จือฮวนยังไม่รู้เรื่องอะไร จนกระทั่งมาถึงห้องของเซี่ยวั่งซูในเรือนรับรองซื่อฟางจึงได้รู้
บนที่แขวนเสื้อในห้องนั้นมีชุดแต่งงานเต็มยศที่อลังการแขวนเอาไว้
“นี่เป็นชุดที่ข้าสวมตอนที่แต่งกับท่านข่านตอนนั้น ตอนที่กลับเมืองหลวงข้าได้นำมาด้วย ยังคิดอยู่ว่าอาจจะหายไปแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะเก็บเอาไว้ให้ข้าอย่างดี”
เซี่ยวั่งซูเปิดกล่องผ้าไหมที่อยู่ถัดจากชุดแต่งงาน มีมงกุฎเก้าหงส์วางอยู่ด้านใน
“ตอนนั้นออกเรือนตามพิธีการขององค์หญิงที่แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ เพื่อเป็นการชดเชยให้ข้า เสด็จพ่อได้เชิญช่างฝีมือที่ดีสุดมาทำมงกุฎนี้ให้ข้า น่าเสียดาย นอกจากวันแต่งงานแล้ว ข้าก็ไม่ได้สวมมันอีก หลายปีผ่านไปก็ยังคงระยิบระยับจับตา ที่ข้ายกให้เจ้าก็เพราะหวังว่าเจ้าจะเป็นเหมือนข้า สามีภรรยารักใคร่กลมเกลียว ครองรักกันชั่วชีวิต”
จี้จือฮวนไม่เคยได้สัมผัสกับสิ่งที่เรียกว่าความรักของแม่มาก่อน แต่เวลานี้นางกลับรู้สึกตื้นตันใจมากจริง ๆ
“ข้าจะทะนุถนอมมันอย่างดีเจ้าค่ะ”
เซี่ยวั่งซูพยักหน้าให้พร้อมรอยยิ้ม “รีบมีลูกตัวอ้วน ๆ ให้เผยจื่อของเราเร็ว ๆ ล่ะ”
พูดถึงเรื่องนี้ เด็กทั้งสามคนที่แอบฟังอยู่นอกห้องก็รีบเอ่ยขึ้นมาพร้อมกัน “ข้าอยากได้น้องชาย!!”
“ข้าอยากได้น้องสาว!”
“เช่นนั้นก็เอาทั้งน้องชายน้องสาวเลยก็แล้วกัน!”
เผยจี้ฉือเอ่ย “มีหลาย ๆ คนก็ได้ขอรับ อย่างไรเสียในบ้านก็อยู่กันได้ ข้ามีประสบการณ์เลี้ยงเด็กด้วย”
จี้จือฮวน “…”
เผยยวนก็ชะโงกหน้าออกมาด้วยเช่นกัน “ข้าก็เลี้ยงลูกได้ไม่เลวเหมือนกัน”