เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย - บทที่ 401 ปริศนาของชาติกำเนิด
บทที่ 401 ปริศนาของชาติกำเนิด
น้ำค้างยามเช้าโปรยปรายลงมา ภายในห้องเรียกหาน้ำมาทำความสะอาดสองครั้งแล้ว บรรดานางกำนัลออกมาด้วยใบหน้าแดงก่ำ ก่อนจะได้ยินเสียงอ่อนโยนดังขึ้นมาภายในห้อง
“นอนต่ออีกสักพักหรือไม่?”
จี้จือฮวนเวลานี้รู้สึกไร้เรี่ยวแรง จึงมุ่ยปากแล้วเอ่ยขึ้น “ตอนนี้ร่างกายข้าไม่ไหวแล้ว”
หากเป็นเมื่อก่อนนางคงสามารถตามจังหวะของเขาทันอย่างแน่นอน!
เผยยวนหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะก้มหน้าไปหอมที่ข้อมือของนางหนึ่งที “ได้ ๆ ๆ”
จี้จือฮวนพยายามลืมตาขึ้น “จริงหรือ?”
หากไม่ใช่เพราะข้างนอกมีคนอยู่ เผยยวนยังอยากจะทำอีกสักรอบ
แต่ไม่นานความหวังก็มอดลง เมื่อได้ยินเสียงของเด็ก ๆ ทั้งสามคน
จี้จือฮวนเมื่อคิดถึงสภาพของตัวเองตอนนี้ ก็รีบเอาหน้ามุดเข้าไปในผ้าห่ม พร้อมกับเอ่ยเร่งเผยยวน “รีบบอกให้พวกเขาไปกินข้าวก่อน อย่าเพิ่งเข้ามา”
โดยเฉพาะอาชิงที่เอาแต่ออดอ้อนจนเคยตัว รับรองว่าต้องกระโจนขึ้นบนเตียงนางแน่
ที่นอนนี้ยังเหลือที่ใดที่ยังสะอาดกัน
เผยยวนรู้สึกอับจนหนทางเล็กน้อย “ข้าก็ออกไปไม่ได้เช่นกัน”
จี้จือฮวนจึงหันกลับมา ก่อนจะพบว่าตามร่างกายของเขาถูกนางข่วนจนเป็นรอยเต็มไปหมด ก็ใครใช้ให้เมื่อคืนเขาดื่มหนักแล้วพูดจาทะลึ่งไม่หยุดไม่หย่อนกันเล่า นางฟังจนรู้สึกหงุดหงิดไปหมด
เผยยวนเห็นนางกัดริมฝีปาก ท่าทางอารมณ์เสีย รอยยิ้มพลันปรากฏขึ้นในดวงตา น้ำเสียงก็เริ่มแหบแห้งเล็กน้อย “เจ้าเป็นคนยั่วข้าเอง”
การยัดเยียดความผิดที่ชั่วร้ายซึ่ง ๆ หน้าเช่นนี้ ทำให้จี้จือฮวนถึงกับกลอกตามองบน “เรื่องนี้ข้าไม่ยอมเป็นแพะรับบาปหรอก”
แขนยาว ๆ ของเผยยวนกอดนางเอาไว้ “ไม่ต้องไปสนใจพวกเขา นอนต่ออีกสักหน่อยเถอะ”
เสียงของเด็ก ๆ เพิ่งจะดังขึ้น ก็ถูกคนเกลี้ยกล่อมให้ไปที่อื่นแล้ว ใบหน้าของจี้จือฮวนก็ยิ่งแดงมากกว่าเดิม
“ข้าช่วยดูให้เจ้าดีหรือไม่?”
“ดูอะไร?” นางไม่เข้าใจ
“ข้าเห็นเมื่อคืนเจ้าร้องว่าเจ็บ ข้ากลัวว่ามันจะบวมเอา”
“…แต่ก็ไม่เห็นเจ้าจะหยุด”
“เอ่อ…ก็มันยากที่จะหยุดได้ อีกอย่าง เจ้าเป็นคนบอกเองว่าไม่ต้องหยุดไม่ใช่หรือ?”
จี้จือฮวน “???”
“คำพูดเช่นนี้จะถูกห้ามเผยแพร่เอาได้ เจ้าเลิกพูดได้แล้ว เพราะยากที่จะผ่านการตรวจสอบ”
“ก็ได้” เผยยวนยังอารมณ์ค้างอยู่
ทั้งสองคนล้มตัวลงนอนอีกพักใหญ่ จนกระทั่งตะวันสายโด่ง จู่ ๆ จี้จือฮวนก็ตื่นขึ้นและลุกขึ้นมาจะแต่งตัว
เผยยวนจึงอุ้มนางไปที่ห้องอาบน้ำและบรรเลงบทเพลงรักกันอีกรอบ จึงได้ออกจากห้องไปอย่างอารมณ์ดี
จี้จือฮวนยังทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ เผยยวนจึงเข้ามาดึงนางไป “พวกเราออกทางประตูหลังกันเถอะ”
“ไม่กินข้าวกับพวกเขาหรือ?”
“ไม่ วันนี้จะมีแค่เราสองคน”
เผยยวนดูเหมือนจะเตรียมการเอาไว้แล้ว วันนี้เจ้าสาวหมาด ๆ ก็เลยต้องเชื่อฟังเขา
ตอนที่ขึ้นรถม้าจี้จือฮวนยังดูอ่อนแรงอยู่ เผยยวนจึงโอบเอวและอุ้มนางมาไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะหยิบเถาอาหารในตู้บนรถม้าออกมา
“เตรียมเอาไว้พร้อมสรรพจริง ๆ” จี้จือฮวนจับมือของเขาและกัดเสี่ยวหลงเปาไปคำหนึ่ง
เผยยวนไม่ได้บอกว่าจะพานางไปที่ใด เมื่อรถม้าออกจากเมืองและอ้อมไปหยุดบนภูเขา จี้จือฮวนจึงเริ่มรู้ตัวแล้วว่าตัวเองมาที่ใด
หลิวเฟิงที่รับผิดชอบขับรถม้าก็ไม่ได้ตามมาด้วย มีเพียงเผยยวนที่จูงมือนางและเดินนำอยู่ด้านหน้า ค่อย ๆ เดินขึ้นบันไดไปทีละขั้น
วันนี้อากาศดี เมื่อทอดมองไปที่ร่างของเผยยวน ก็ไม่ได้รู้สึกว่าบนภูเขาหนาวเย็นถึงเพียงนั้น โดยรอบต่างเต็มไปด้วยต้นไผ่และต้นสน เมื่อเดินไปถึงครึ่งทางของไหล่เขา จึงได้เห็นหลุมฝังศพตั้งอยู่
หลุมฝังศพเหล่านั้นล้วนเป็นบรรพบุรุษของตระกูลเผย
เผยยวนพานางไปที่หน้าหลุมฝังศพของเผยเกอ พลางหยิบเหล้าและเครื่องเซ่นไหว้ในตะกร้าออกมา
หลุมฝังศพของเผยเกอถูกทำความสะอาดจนเรียบร้อย จี้จือฮวนคุกเข่าลงตามเผยยวน และโขกหัวลงคำนับพร้อมกับเขา
“แม่ของเจ้า ตอนนี้ก็อยู่ที่นี่ด้วย”
จี้จือฮวนตกตะลึงเล็กน้อย เผยยวนจึงหยิบธูปออกมาจุด “หลังจากที่ข้ารู้ว่าตัวเองไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของเซี่ยฉงฟางก็เลยทำเช่นนี้ กระดูกของตระกูลเซี่ยที่สามารถจัดการฝังให้ดีมีอยู่ไม่มาก ดังนั้นข้าจึงจัดการให้หมดแล้ว”
จี้จือฮวนพยักหน้ารับรู้ ทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไรกันอีก เผยยวนคารวะเหล้าหนึ่งจอกให้เผยเกอและเซี่ยชิงหรู
หลังจากคุยกันสักพักเขาก็ปล่อยให้จี้จือฮวนมีเวลาส่วนตัวอยู่ที่นี่ โดยบอกว่าเขาจะไปอีกด้านหนึ่ง
จี้จือฮวนรู้ว่าเผยยวนอาจจะต้องการอยู่คนเดียว และอยากให้เวลานางได้พูดคุยกับเผยเกอ
จี้จือฮวนจึงหยิบกระดาษเงินกระดาษทองออกมา ค่อย ๆ จุดให้พวกเผยเกอ นางยึดร่างของเจ้าของร่างเดิมมา สิ่งที่สามารถทำให้เจ้าของร่างเดิมได้ต่างก็ทำให้หมดแล้ว เนื้อเรื่องหลังจากนี้ของนิยายเล่มนี้จะพัฒนาไปอย่างไร ก็ไม่ใช่สิ่งที่จี้จือฮวนจะสามารถคาดการณ์ได้แล้ว
นางหวังเพียงว่าจะเป็นเหมือนอย่างที่เผยยวนบอก พวกเขาจะสามารถอยู่อย่างสบายและเริ่มต้นชีวิตใหม่กันได้
ในขณะที่จี้จือฮวนกำลังเผากระดาษเงินกระดาษทองอยู่นั้น ก็มีกำลังภายในโจมตีมาจากทางด้านหลังของนาง จี้จือฮวนจึงปรายตามองเล็กน้อย จากนั้นก็หันหลังกลับไปรับการโจมตีนั้น ก่อนที่ทั้งสองฝ่ายจะถูกแรงปะทะจนต้องถอยหลังไป
มีเพียงเตาเผากระดาษเท่านั้น ที่เกิดประกายไฟขึ้นมาเพราะแรงปะทะกันเมื่อครู่
จี้จือฮวนยั้งมือลงและมองผู้ที่มาใหม่ ผมสีเงินถูกเคลือบด้วยแสงสีทองภายใต้ดวงอาทิตย์ ยังคงดูแปลกประหลาดและคาดเดาไม่ได้อยู่อย่างนั้น
ใบหน้าหล่อเหลาของเจียงจือหวยประหลาดใจเล็กน้อย “เจ้าฝึกสำเร็จแล้วอย่างนั้นหรือ?”
แน่นอนว่าจี้จือฮวนไม่มีทางบอกเขา ว่านางมียาหลิงเฉวียนและช่องว่างมิติคอยช่วย โอกาสเช่นนี้นั้นหายาก ใครพลาดคนนั้นก็เสียเปรียบ
“มีอะไรยากกัน เจ้าควรทำตามสัญญาแล้วไม่ใช่หรือ?”
ตอนนั้นเจียงจือหวยพนันกับนางเอาไว้ บอกว่าขอเพียงนางฝึกกำลังภายในได้สำเร็จ เขาจะยอมบอกนางเรื่องชาติกำเนิดของเผยยวน
เจียงจือหวยหลุบตาลง จากนั้นก็เหาะลงมาจากกลางอากาศและยืนอย่างมั่นคง ดาบโค้งทางด้านหลังก็ถูกเขาเก็บลงไปด้วย สายตาของเขามองผ่านหลุมฝังศพของเผยเกออย่างเฉยเมย และพูดขึ้นมาอย่างช้า ๆ “แม่ของเขาชื่อว่า เสิ่นหลันหยาง เป็นญาติผู้น้องแท้ ๆ ของเซี่ยฉีองค์ชายที่สวรรคตตั้งแต่ทรงพระเยาว์ ทั้งสองคนเกิดในปีเดียวกัน ตอนที่เซี่ยฉีเข้าพิธีสี่ซาน* ไท่ซ่างหวงองค์ปัจจุบันได้เป็นคนจัดการเรื่องหมั้นหมาย ประทานนางให้กับเซี่ยฉี”
* พิธีสี่ซาน (洗三) หมายถึง พิธีการอาบน้ำเด็กทารกแรกเกิด จะทำในวันที่สามหลังคลอด
จี้จือฮวนชะงักไป ญาติผู้น้องของเซี่ยฉี นั่นไม่เท่ากับเป็นญาติผู้น้องของเซี่ยวั่งซูหรอกหรือ? เซี่ยวั่งซูกับน้องชายแท้ ๆ อายุห่างกันสิบกว่าปี ตอนที่นางใกล้จะแต่งงานเซี่ยฉียังเป็นเด็กทารกอยู่เลย แต่น่าเสียดายที่ด่วนจากไปเสียก่อน เช่นนั้นเขาก็ไม่มีทางเป็นพ่อของเผยยวนได้นี่นา
เจียงจือหวยหวนนึกถึงเรื่องในตอนนั้น “หลังจากเซี่ยฉีตาย สัญญาเรื่องการแต่งงานของเสิ่นหลันหยางกลับผูกมัดนางเอาไว้ ถึงอายุที่ควรออกเรือนก็ไม่มีคนมาสู่ขอ เสิ่นกั๋วจิ่ว**จึงมีความคิดว่าจะให้นางเป็นภรรยาม่ายของเซี่ยฉี”
** กั๋วจิ่ว (国舅) หมายถึง ตำแหน่งบรรดาศักดิ์ พี่ชายของฮองเฮา
จี้จือฮวนขมวดคิ้ว “นี่มันเหตุผลอะไรกัน?”
เซี่ยฉีไม่ทันโตก็ตายแล้ว หากไม่ใช่เพราะว่าเป็นลูกชายที่เกิดจากฮองเฮาล่ะก็ เขาไม่มีแม้แต่คุณสมบัติที่จะอยู่ในลำดับวงศ์ตระกูลของราชวงศ์ด้วยซ้ำ กลับให้หญิงสาวคนหนึ่งเป็นม่าย เพียงเพราะการแต่งงานที่ไม่มีอยู่ตั้งนานแล้วอย่างนั้นหรือ?
เจียงจือหวยได้ยินดังนั้นก็มองไปที่นาง “คำพูดนี้ของเจ้าพูดเหมือนกับนางไม่มีผิด”
จี้จือฮวนได้ยินคำพูดของเขาแล้ว ก็ราวกับรู้จักเสิ่นหลันหยางมานานมากแล้ว
“เหตุใดเจ้าถึงได้รู้ละเอียดเพียงนี้ เจ้าเป็นอะไรกับนาง หรือว่าเจ้าเป็น…”
เจียงจือหวยไม่ได้สนใจนาง “หากข้าเป็นพ่อแท้ ๆ ของเผยยวน เหตุใดข้าต้องให้เขาเรียกข้าว่าอาจารย์ด้วยเล่า หากพูดตามฐานะแล้ว ข้าในตอนนั้นเป็นองครักษ์ที่อยู่ข้างกายของเสิ่นหลันหยาง”
“องครักษ์?”
“ตอนนั้นข้ายังเด็กและเลือดร้อน จึงอุทิศตนเพื่อแสวงหาวิทยายุทธ์ขั้นสูงสุด สร้างศัตรูไปทั่วทั้งยุทธภพ ต่อมาข้าบาดเจ็บสาหัสและสลบไป เป็นเสิ่นหลันหยางที่ช่วยข้าเอาไว้ และข้าก็ได้หลบอยู่ในจวนกั๋วจิ่วของนางระยะหนึ่ง นับแต่นั้นมาก็ติดตามข้างกายเพื่อคอยปกป้องนาง วรยุทธ์ของนางข้าก็เป็นคนสอนให้ แต่น่าเสียดายที่นางเรียนได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ข้าจึงรวบรวมไหมสีทองและหลอมเป็นอาวุธประจำกายให้นาง”
จี้จือฮวนฟังเขาพูดเงียบ ๆ เจียงจือหวยเม้มริมฝีปาก “นางเป็นคนกลัวความลำบาก แต่ก็อยากจะใช้ชีวิตและยืนหยัดให้ได้ จึงมักจะฝึกไปร้องไห้ไป เวลาฝึกก็มักจะร้องว่าเหนื่อย ความจริงแล้วข้าคิดว่าขอเพียงนางยังอยู่ ข้าก็จะเป็นคนปกป้องนางเอง เหตุใดต้องฝึกวรยุทธ์อีกเล่า นางไม่ใช่คนที่ถนัดด้านพวกนี้เสียหน่อย
แต่ต่อมาหากข้าสอนนางมากกว่านั้นอีกสักหน่อย นางก็คงไม่ตายเพราะบูชาความรัก หลังจากคลอดเผยยวนออกมา”