เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย - บทที่ 409 เป็นอัมพาตอยู่บนเตียง
- Home
- เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย
- บทที่ 409 เป็นอัมพาตอยู่บนเตียง
บทที่ 409 เป็นอัมพาตอยู่บนเตียง
คำพูดนี้บางคนเชื่อ บางคนก็ไม่เชื่อ
ทว่าหลังจากที่ฮ่องเต้ถูกยาพิษก็ไม่ได้ว่าราชการมาสองวันแล้ว ไม่เพียงเท่านั้นแม้แต่ขันทีใกล้ชิดของฮ่องเต้ก็ไม่เห็นเช่นกัน
ภายในตำหนักบรรทมที่อยู่ไกลออกไปยังสามารถได้กลิ่นยาโชยออกมา คราวนี้ไม่สามารถที่จะไม่เชื่อได้อีกแล้ว ข่าวแพร่ออกไปไกลราวกับติดปีก ตอนนี้เรื่องที่คนในเมืองหลวงพูดคุยกันทุกวันก็ไม่ใช่เรื่องงานแต่งของเผยยวนกับจี้จือฮวนอีกแล้ว แต่เป็นเรื่องที่ใครกันแน่จะได้สืบทอดบัลลังก์
บอกตามตรงว่าตอนนี้ราษฎรต่างเป็นกังวล เรื่องคนของราชสกุลเซี่ยเป็นอย่างมาก
ทว่ากลับเหลือเพียงสองคนเท่านั้นที่พอจะเข้าตาอยู่บ้าง แต่เซี่ยหยางก็มีพฤติกรรมที่ไม่ดี ส่วนเซี่ยซั่วก็ไม่มีผลงานใด ๆ จึงไม่สามารถพูดได้ว่ามีอะไรที่เข้าตาเป็นพิเศษ
แต่จู่ ๆ ก็มีคนพูดถึงพระราชนัดดาขึ้นมา ทุกคนจึงเริ่มได้สติ ใช่แล้ว ยังมีพระราชนัดดาอยู่นี่นา!
ลูกชายของอดีตองค์รัชทายาทเซี่ยอวี้ เหตุการณ์น้ำท่วมที่หลูโจวแพร่กระจายไปทั่วแคว้นตั้งนานแล้ว! เขาลงมือช่วยเหลือด้วยตัวเอง อายุยังน้อยแต่กลับมีความเด็ดขาด กินนอนร่วมกับราษฎร ไม่มีการวางอำนาจบาตรใหญ่เลยแม้แต่น้อย
ที่สำคัญกว่านั้นคือพระราชนัดดาถูกเลี้ยงดูโดยแม่ทัพเผย เช่นนั้นต้องดีกว่าฮ่องเต้องค์ปัจจุบันอย่างแน่นอน
‘การสังหารพระราชบิดา’ เป็นเรื่องจริง แม้จะไม่มีใครพูดออกมาตรง ๆ แต่ทุกคนต่างก็ต้องยอมรับ
ฮ่องเต้เช่นนี้ มิน่าเล่าราชสำนักถึงได้ถดถอยลงเรื่อย ๆ!
…
ตำหนักบรรทมของฮ่องเต้เซี่ยเจิน
ไท่ซ่างหวงคลึงหว่างคิ้วเพราะถูกกลิ่นยารม จางตงไหลเอ่ยขึ้นมาเบา ๆ “พระองค์ไปพักผ่อนก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ ของพวกนี้ให้ถังกั๋วกงมาจัดการต่อดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”
เอ่ยถึงตรงนี้ ด้านนอกตำหนักก็มีเสียงร้องไห้ดังขึ้นอีกครั้ง ไท่ซ่างหวงขมวดคิ้ว “ผู้ใดส่งเสียงดังอยู่ข้างนอก?”
จางตงไหลเอือมระอา “เป็นซูเฟยอีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากฮ่องเต้เซี่ยเจินกลับวัง ซูเฟยก็เอะอะโวยวายอยู่นาน บอกว่าต้องการจะเข้าไปดูแล มีเจตนาอะไรใครบ้างจะไม่รู้ นางก็แค่กลัวว่าฮ่องเต้เซี่ยเจินจะสลบไม่ฟื้น ไท่ซ่างหวงจะอาศัยตอนที่เขาไม่สบายตัดสินใจยกบัลลังก์ให้คนอื่นก็เท่านั้น
“ให้นางเข้ามา”
ตอนนี้ฮ่องเต้เซี่ยเจินเหมือนกับผู้ป่วยที่เป็นอัมพาตโดยสมบูรณ์แล้ว เหลือเพียงดวงตาเท่านั้นที่ยังสามารถขยับได้ ซูเฟยอยากปรนนิบัติก็ให้ปรนนิบัติไป
ไท่ซ่างหวงสั่งการลงไป ซูเฟยก็รีบลุกขึ้นจากพื้นทันที ก่อนจะคารวะไท่ซ่างหวง “หม่อมฉันคารวะเสด็จพ่อเพคะ”
ดวงตาทั้งสองข้างของนางผ่านการร้องไห้จนบวมช้ำ ไท่ซ่างหวงเดินนำไปที่ตำหนักด้านข้าง ซูเฟยจึงรีบตามเข้าไป ยังมีเวลาสั่งการกับนางกำนัลอีกว่า “รีบไปเรียกองค์ชายห้ามา ยังมีองค์ชายสิบด้วย ช่างเถอะ ๆ ไม่ต้องเรียกเจ้าสิบมา”
เซี่ยห่วงไม่ได้เรื่อง คนที่นางสามารถพึ่งพาได้มีเพียงเซี่ยซั่วเท่านั้น
ซูเฟยรีบเดินเข้าไปหน้าเตียงบรรทมของฮ่องเต้เซี่ยเจิน มองผ่านม่านเห็นแค่ว่าเขายังหายใจอยู่
ความจริงแล้วซูเฟยกับฮ่องเต้เซี่ยเจินนั้นไม่ได้มีความรู้สึกที่ลึกซึ้งใด ๆ ต่อกัน ตอนที่นางเข้าวัง คนที่ฮ่องเต้เซี่ยเจินโปรดปรานที่สุดก็คือหลี่ฮองเฮา ต่อมาก็กลายเป็นหานกุ้ยเฟย ฮ่องเต้เซี่ยเจินมักจะรังเกียจที่นางไม่งดงามเหมือนหลี่ฮองเฮา และไม่มีเสน่ห์เท่าหานกุ้ยเฟย อีกทั้งตอนหลังเขายังบอกว่าความอ่อนโยนและความมีคุณธรรมของนางสู้คนหน้าเนื้อใจเสืออย่างเต๋อเฟยไม่ได้ด้วยซ้ำ
ซูเฟยจะไม่โกรธได้อย่างไร แต่ช่วยไม่ได้ที่นางมีลูกเก่ง ปรนนิบัติฮ่องเต้เซี่ยเจินน้อยที่สุด แต่กลับมีลูกชายมากที่สุด
ในวังหลวงหากไม่มีลูกชาย ก็จะไม่สามารถอยู่หัวเราะเป็นคนสุดท้ายได้
ตอนนี้ฮ่องเต้เซี่ยเจินกำลังจะตายอยู่แล้ว เรื่องกะทันหันเช่นนี้ทำให้ซูเฟยรู้สึกตื่นเต้นจนแทบนอนไม่หลับ
แต่นางก็พร่ำบอกตัวเองว่าต้องใจเย็น ๆ เซี่ยซั่วยังขาดอีกเพียงนิดเดียวเท่านั้น เทียบกับปล่อยให้ไท่ซ่างหวงและเซี่ยฉือฉวยโอกาสไป ไม่สู้ยกให้เซี่ยซั่วของนางยังจะดีเสียกว่า
ซูเฟยเตรียมใจเอาไว้อยู่แล้ว ตอนที่หมอหลวงเขียนใบสั่งยาอยู่นั้น นางก็เปิดม่านออก จากนั้นก็ร้องออกมาด้วยความตกใจ
บนกายฮ่องเต้เซี่ยเจินมีตุ่มหนองเต็มไปหมด จนลามไปถึงใบหน้า หากจะหาเนื้อส่วนที่ยังเหลือดีอยู่นั้นก็ยากมากทีเดียว
“หมอหลวง หมอหลวง!”
หมอหลวงรีบวางพู่กันลง “พ่ะย่ะค่ะซูเฟย”
“ฝ่าบาททรงเป็นอะไรไป? ไหนว่า…ไหนว่าถูกพิษอย่างไรเล่า เหตุใดตามร่างกายจึงมีตุ่มหนองขึ้นมากมายเพียงนี้เล่า?!”
“พิษของฝ่าบาทไม่สามารถขับออกมาได้ อีกทั้งพระองค์ทรงมีอารมณ์แปรปรวนจนพิษโจมตีหัวใจ ไฟในตับมาก ย่อมปรากฏออกมาบนผิวหนังเป็นธรรมดาพ่ะย่ะค่ะ”
ซูเฟยสะอิดสะเอียนจนอยากจะอาเจียนออกมา นางหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาปิดจมูกแล้วเอ่ยขึ้น “ไม่มีวิธีอื่นแล้วอย่างนั้นหรือ?”
หมองหลวงเอือมระอา และไม่พูดอะไรอีก
หากมีวิธี พวกเขาจะต้องเอาชีวิตมาแขวนบนเส้นดายเช่นนี้หรือ?
หมอคนใดบ้างอยากให้คนตายคามือของตัวเอง
ซูเฟยเห็นปฏิกิริยาของเขา ในใจก็หนักอึ้งขึ้นมา “ข้าได้ยินมาว่าในตำหนักขององค์ชายรองมีหมอเทวดา พวกเจ้าไปเชิญมาหรือยัง? หากยังไม่ได้เรื่องก็มีฮูหยินของเผยยวนอีกนี่นา ได้ยินมาว่าฝีมือการแพทย์ของนางยอดเยี่ยมไม่ใช่หรือ?”
หมอหลวงแทบอยากจะกลอกตามองบน “เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่พวกเราจะสามารถตัดสินใจเองได้พ่ะย่ะค่ะ แต่วันนั้นเผยฮูหยินก็ได้ดูอาการให้ฝ่าบาทไปแล้ว”
ซูเฟยมีสีหน้าเปลี่ยนไป “นางดูอาการแล้ว นางทำอะไรบ้าง?”
หมองหลวงเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “แค่ตรวจตามปกติ ไม่ได้ทำอะไรพ่ะย่ะค่ะ”
วันนั้นเขาจับตามองโดยไม่คลาดสายตาเลยแม้แต่น้อย
ซูเฟยรู้สึกผิดหวังและยิ่งร้อนใจเข้าไปใหญ่ ไท่ซ่างหวงจับตามองฮ่องเต้เซี่ยเจินตลอดเวลา ปกติจะอนุญาตให้แค่ฮองเฮาเท่านั้นที่เข้ามาเยี่ยมฮ่องเต้ได้ กว่านางจะมีโอกาสเช่นนี้ จึงหวังแค่ว่าเซี่ยซั่วจะยังไม่ไปที่ใด ได้ข่าวแล้วก็จะรีบมาที่นี่
จะว่าไปแล้วโชคก็ไม่เข้าข้างนางเลย สองวันก่อนเซี่ยซั่วกับนางมาคุกเข่าขอร้องเพื่อเข้าเฝ้าอยู่นอกตำหนัก อยู่จนถึงครึ่งค่อนคืนจึงได้กลับตำหนักตัวเอง วันต่อมาก็นำคัมภีร์ขอพรมา ทว่าวันนี้กลับล้มป่วยลง หากอีกเดี๋ยวไท่ซ่างหวงบอกว่าไม่ให้เข้าเฝ้าแล้วต้องลำบากเป็นแน่
ซูเฟยไม่อยากเข้าไปดูฮ่องเต้เซี่ยเจิน และกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ตรงหน้า ขณะรีรออยู่นั้นก็ได้ยินด้านนอกรายงานว่าฮองเฮาเสด็จ
ซูเฟยตกใจอย่างมากจึงรีบออกไปต้อนรับ ก่อนจะเห็นหลี่ฮองเฮาสวมชุดหงส์สีแดงสด ใบหน้าก็ประดับด้วยรอยยิ้มน้อย ๆ หวีผมมวยสูง หลังจากที่นางสูญเสียความโปรดปราน ซูเฟยก็ไม่เห็นนางแต่งตัวเช่นนี้มาหลายปีแล้ว โดยเฉพาะหลังจากที่เซี่ยอวี้ตาย ก็ราวกับแก่ลงไปนับสิบปี เหมือนกับคนที่ไร้ชีวิตชีวา
แต่ตอนนี้นางเหมือนกับได้เข้าเฝ้าฮองเฮาเป็นครั้งแรกเฉกเช่นในตอนนั้น ถูกความงามของนางทำให้ตกตะลึง
นางเกือบจะลืมไปแล้วว่าหลี่หมิงอวี้นั้นเคยเป็นดอกโบตั๋นที่งดงามที่สุดดอกหนึ่งในเมืองหลวงในตอนนั้น ที่ใดที่มีนางอยู่จึงสามารถดึงดูดสายตาของทุกคนเอาไว้ได้
“ถวายบังคมฮองเฮาเพคะ”
หลี่ฮองเฮาไม่สนใจนาง เพียงเปิดม่านออกและปรายตามองสภาพที่เต็มไปด้วยตุ่มหนองของฮ่องเต้เซี่ยเจิน ก่อนจะยกมุมปากแล้วเอ่ยขึ้น “วันนี้อาการฝ่าบาทเป็นเช่นไรบ้าง?”
“ตุ่มหนองที่หลังวันนี้เพิ่งจะเจาะไปพ่ะย่ะค่ะ แต่ก็ไปขึ้นที่อื่นอีกพ่ะย่ะค่ะ”
“ให้ข้าจัดการเองเถอะ” ฮองเฮาเอ่ย
หมอหลวงพยักหน้ารับ “ลำบากฮองเฮาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หลี่ฮองเฮาโน้มตัวลงไปดึงผ้าห่มสีเหลืองสดใสลงไปด้านล่าง ก่อนจะรับแผ่นไม้เล็ก ๆ ที่ใช้ทายาจากมือของซู่ซิน และกดลงบนตุ่มหนองเหล่านั้นของฮ่องเต้เซี่ยเจิน ขณะพูดน้ำเสียงก็ฟังดูอ่อนโยนยิ่งนัก “ข้ากับฝ่าบาทเป็นสามีภรรยากัน ทำเรื่องพวกนี้ก็สมควรแล้ว”
ดวงตาของซูเฟยเบิกกว้าง ขณะที่นางกำลังจะอ้าปากบอกให้ฮองเฮาเบามือลงนั้น หลี่ฮองเฮาก็หันกลับมามองนาง ราวกับว่าเพิ่งจะเห็นนางอยู่ที่นี่ด้วยอย่างไรอย่างนั้น
“ที่แท้ซูเฟยก็อยู่ด้วยหรือ?”
ซูเฟยสะดุ้งขึ้นมา ก่อนจะกัดฟันแล้วเอ่ยขึ้น “ไม่สู้วันนี้ให้หม่อมฉันปรนนิบัติดีกว่าเพคะ พระนางดูแลมาหลายวัน ทรงลำบากแย่แล้ว”
หลี่ฮองเฮาไม่ได้สนใจ ก่อนจะยื่นของให้ซูเฟย แต่เมื่อซูเฟยก้าวไปข้างหน้า เห็นร่างกายที่น่าขยะแขยงของฮ่องเต้เซี่ยเจิน ร่างกายที่อวบอ้วนเนื่องจากขาดการออกกำลังกายเป็นเวลานาน รวมถึงกลิ่นเหม็นที่แผ่ออกมาจากแผลที่กำลังมีหนองไหล ก็ทำให้นางถึงกับต้องถอยหลังออกมาหนึ่งก้าว จนเกือบจะทำยาที่ใช้ทาหก