เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย - บทที่ 413 ลมบูรพาพัดผ่าน คืนก่อนเปลี่ยนแผ่นดินใหม่
- Home
- เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย
- บทที่ 413 ลมบูรพาพัดผ่าน คืนก่อนเปลี่ยนแผ่นดินใหม่
บทที่ 413 ลมบูรพาพัดผ่าน คืนก่อนเปลี่ยนแผ่นดินใหม่
ขณะนั้นเองจู่ ๆ เซี่ยหยางก็มองเขาอย่างแฝงความนัยแล้วเอ่ยขึ้นมา “หากว่าน้องห้าสงสัยเพียงนี้จะไปกับข้าด้วยก็ได้ ถึงเวลาจะได้ไม่ต้องให้คนไปตามตัวอีก”
เซี่ยซั่วหลบสายตาไม่กล้ามองเขา ขณะที่เขาเผลอใจลอยนั้น เกี้ยวของเซี่ยหยางก็เคลื่อนไปด้านหน้าแล้ว
ขันทีที่อยู่ข้าง ๆ จึงเอ่ยเร่งขึ้นมา “องค์ชาย ไปกันเถอะพ่ะย่ะค่ะ”
เซี่ยซั่วหันกลับไปมองครั้งแล้วครั้งเล่า รอจนเข้าไปในตำหนักด้านใน จึงได้พบว่าที่ตำหนักของฮ่องเต้เซี่ยเจินเวลานี้แม้แต่หมอหลวงก็ไม่อยู่แล้ว ทั้งตำหนักจึงเงียบสงัดเป็นอย่างยิ่ง
เซี่ยซั่วไม่เคยเห็นที่นี่เงียบสงัดเช่นนี้มาก่อน
ในความทรงจำของเขา นี่คือสถานที่ที่ดีที่สุด หากอยู่ที่นี่ก็จะสามารถมีทุกสิ่งได้
เขามองไปที่แผ่นป้ายเหนือศีรษะ ด้านบนเขียนว่า ‘ใกล้นักปราชญ์ ห่างไกลคนชั่ว’ เซี่ยซั่วกะพริบตาเล็กน้อย แล้วจึงเดินเข้าไปภายในตำหนักด้วยความงุนงง ฮ่องเต้เซี่ยเจินต้องการดื่มน้ำและบนที่นอนก็มีกลิ่นเหม็นหึ่ง เห็นได้ชัดว่าหนองบนตัวของเขาทำผ้าห่มเลอะ แต่ไม่มีใครใส่ใจจะเก็บกวาดให้
นี่มันผิดปกติเกินไปแล้ว ไท่ซ่างหวงไม่พูด แม้แต่ฮองเฮากับเสด็จแม่ก็ไม่สนใจอย่างนั้นหรือ?
เกิดอะไรขึ้นในช่วงเวลาที่เขากลับตำหนักไปกันแน่
เซี่ยซั่วรีบเดินไปที่หน้าประตู “เด็ก ๆ!”
หลังจากเรียกอยู่พักใหญ่ก็มีขันทีน้อยผู้หนึ่งวิ่งเข้ามา “องค์ชาย มีเรื่องอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
เซี่ยซั่วโมโหอย่างมาก จึงยกเท้าข้างหนึ่งถีบเข้าที่หน้าอกของขันทีน้อย “พวกเจ้าตายกันหมดแล้วหรืออย่างไรกัน! คนที่ปรนนิบัติฝ่าบาทเล่า!”
ขันทีน้อยตะเกียกตะกายลุกขึ้นพลางกุมหน้าอกแล้วพูดออกมาอย่างยากลำบาก “องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ นี่เป็นคำสั่งของไท่ซ่างหวง ทรงบอกว่าคนมากจะกระทบต่อการพักผ่อนของฝ่าบาท จึงให้พวกเราออกไปให้หมดพ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นฮองเฮากับซูเฟยเล่า!”
“กระหม่อมไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ”
เซี่ยซั่วชี้เข้าไปด้านใน “ให้คนมาทำความสะอาด จากนั้นก็ไปตามหมอหลวงมา!”
ขันทีน้อยพยักหน้ารับคำแล้วรีบวิ่งออกไป
เซี่ยซั่วรออยู่ในตำหนัก แต่รอจนลมหนาวพัดเข้ามาในตำหนักก็ยังไม่มีใครมา เขาจึงตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ
เซี่ยซั่วในตอนนี้ไม่สนใจที่จะแสดงบทลูกกตัญญูอีกแล้ว เขาโยนพระคัมภีร์ไปส่ง ๆ และออกจากตำหนักไป ระหว่างทางก็ไม่เห็นใครแม้แต่คนเดียว
จนกระทั่งไปถึงสำนักราชเลขานุการ จึงได้เจอกับลิ่งฉือ*คนหนึ่ง “มานี่”
* ลิ่งฉือ (令使) หมายถึง ข้าราชการภายใต้สังกัดสำนักราชเลขานุการ รับผิดชอบงานธุรการ
ลิ่งฉือก้าวไปข้างหน้า “คารวะองค์ชายห้าพ่ะย่ะค่ะ”
“ไท่ซ่างหวงยังอยู่ด้านในหรือไม่ รู้หรือไม่ว่าเขาเรียกองค์ชายรองมาด้วยเรื่องอะไร?”
ลิ่งฉือมองหน้าเขาเล็กน้อย “องค์ชายรองนำหนังสือสารภาพผิดมาส่งและมาสารภาพความผิด ยอมรับว่าตนเองเป็นผู้ใส่ร้ายอดีตองค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ และรายงานรายชื่อของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องที่เขารู้ทั้งหมด ตอนนี้อวี้สื่อต้าฟู**และจงเฉิง***ของฝ่ายตรวจการก็มากันพร้อมหน้าแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
** อวี้สื่อต้าฟู (御史大夫) หมายถึง ผู้ตรวจการราชสำนัก ตรวจสอบการใช้อำนาจในทางมิชอบของข้าราชการและเชื้อพระวงศ์ในราชสำนัก
*** จงเฉิง (中丞) หมายถึง เลขานุการของฝ่ายตรวจการ
เซี่ยซั่วรู้สึกราวกับมีสายฟ้าฟาดลงมาที่ข้างหู ทำให้เขาถึงกับหูอื้อตาลายขึ้นมาทันที มิเช่นนั้นเหตุใดเขาจึงฟังไม่เข้าใจว่าคนตรงหน้ากำลังพูดอะไรอยู่
เซี่ยซั่วเลียริมฝีปากเล็กน้อย “เจ้า…เจ้าพูดอีกทีสิ องค์ชายรองนำหนังสือสารภาพผิดของใครมาส่ง?”
ลิ่งฉือเงยหน้ามองเขาแล้วเอ่ยขึ้นมา “เป็นหนังสือสารภาพผิดขององค์ชายรองเองพ่ะย่ะค่ะ”
เซี่ยซั่วสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ “เป็นไปไม่ได้ เจ้าอย่ามาพูดจาเหลวไหล!”
ลิ่งฉือไม่รู้อีโหน่อีเหน่ “องค์ชายห้า เหตุใดจึงตรัสเช่นนี้เล่าพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไหนเลยจะกล้าพูดจาเหลวไหลได้”
ลิ่งฉือเห็นเขามีท่าทางสับสน ก็คารวะให้แล้วรีบจากไปทันที
เซี่ยซั่วตอนนี้รู้สึกกังวลใจอย่างมาก และไม่สามารถเข้าใจอะไรได้ เซี่ยหยางเสียสติไปแล้วหรืออย่างไร ถึงคิดไม่ตกจนต้องยกเรื่องนี้ขึ้นมา ทั้งยังเป็นฝ่ายไปสารภาพผิดด้วยตัวเองเช่นนี้อีกด้วย
เรื่องของเซี่ยอวี้ตอนนั้นทุกคนล้วนแต่มีส่วนร่วม แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือได้รับการเห็นชอบจากฮ่องเต้เซี่ยเจิน มีเพียงการเห็นชอบจากเขาเท่านั้น จึงทำให้เรื่องเช่นนี้สามารถขยายไปได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
คดีภาษีเกลือของเจียงหนาน ไม่มีใครลงไปสอบสวนคดีอย่างละเอียดก็รีบตัดสินแล้ว แต่การที่เซี่ยหยางออกมาสารภาพผิดในเวลานี้ …เขาคิดจะทำอะไรกันแน่? คิดว่าตัดทางหนีทีรอดแล้ว จะสามารถกลับมาชนะได้อย่างนั้นหรือ?
เซี่ยซั่วคิดไม่ออก และก็ไม่เข้าใจว่าเจ้าโง่เซี่ยหยางนั่นจะทำอะไรกันแน่!
เขาแค่กลัวว่าเมื่อถึงเวลาเซี่ยหยางจะลากเขาลงไปด้วย รนหาที่ตายเองก็อย่าทำให้เขาต้องเดือดร้อนไปด้วยสิ
เซี่ยซั่วคิดไปคิดมา ไม่รู้ว่าหากออกจากวังตอนนี้ยังจะทันอยู่หรือไม่ แต่ตอนแรกหากเขารีบกลับออกไปก็คงจะทันอยู่ ก็ใครใช้ให้เขาไปรออยู่ในตำหนักที่เย็นเยียบนั่นของฮ่องเต้เซี่ยเจินกัน ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าสถานการณ์ไม่ปกติเขาก็ยังเลือกที่จะไปที่นั่น นั่นต่างหากที่เรียกว่าหมดหวังจริง ๆ
เซี่ยซั่วเดินไปทางประตูวังอย่างรวดเร็ว ระหว่างทางพบองครักษ์อวี่หลินที่กำลังลาดตระเวนอยู่ก็ไม่กล้าถาม กลัวว่าอยู่ดี ๆ พวกเขาจะชักอาวุธออกมา
เหตุใดเขาถึงคิดไม่ออกเล่า ต้องเป็นเพราะไท่ซ่างหวงและเผยยวนร่วมมือกันเป็นแน่ ไท่ซางหวงไม่ได้คิดถึงหลานชายอย่างพวกเขาเลย ในสายตาของเขามีเพียงเหลนคนนั้นเท่านั้น!
เพื่อเซี่ยฉือแล้วเขาจะเอาทุกคนมาเป็นหินที่ใช้เหยียบย่ำขึ้นไปข้างบน
เซี่ยซั่วเห็นประตูวังอยู่ตรงหน้าแล้ว ทว่ากลับไม่มีทางออกแม้แต่ทางเดียว
สิ่งที่ปรากฏในสายตาคือ ประตูสีแดงที่ปิดสนิท
หัวใจของเซี่ยซั่วเย็นวาบ องครักษ์อวี่หลินที่ยืนเฝ้ายามมองหน้าเขา “องค์ชายจะออกจากวังหรือพ่ะย่ะค่ะ วันนี้เกรงว่าคงจะไม่ได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ เจ้าหน้าที่ที่จะเข้าออกวังทั้งหมด ต้องมีพระราชสาส์นของไท่ซ่างหวง ไม่อย่างนั้นก็ไม่สามารถออกจากวังได้พ่ะย่ะค่ะ”
เซี่ยซั่วเอ่ย “ข้ากราบทูลไท่ซ่างหวงแล้ว ข้ามีเรื่องด่วนต้องออกจากวังตอนนี้”
“เช่นนั้นท่านไม่ได้เอาพระราชสาส์นมาด้วยหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
เซี่ยซั่วหมดความอดทน “คิดว่าข้าหลอกเจ้าหรืออย่างไร?”
องครักษ์อวี่หลินนิ่งเงียบไป “องค์ชาย หากไม่มีพระราชสาส์นมาแสดงพวกเราก็ไม่สามารถปล่อยไปได้ หรือไม่พระองค์กลับไปขอพระราชสาส์นจากไท่ซ่างหวงมาดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”
เซี่ยซั่วอยากจะลงมือฆ่าเขาจริง ๆ แต่เขาอยู่ในวังเพียงคนเดียว เมื่อคิดไปคิดมาก็รีบหมุนกายเดินไปทางวังหลังอย่างรวดเร็ว เพื่อไปพบซูเฟย
แต่สุดท้ายก็พบว่าประตูทางเดินที่ผ่านไปยังวังหลังก็ถูกลงกลอนเช่นกัน มีทหารป้องกันอย่างแน่นหนา ราวกับจะล้อมวังหลวงเอาไว้อย่างไรอย่างนั้น
“องค์ชายห้า ไท่ซ่างหวงเชิญท่านไปรอที่ตำหนักด้านข้างพ่ะย่ะค่ะ” ขณะที่เซี่ยซั่วหันซ้ายหันขวาสะเปะสะปะราวกับแมลงวันไร้หัวอยู่นั้น จางตงไหลก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าของเขา
ในใจของเซี่ยซั่วราวกับมีไฟสุมอยู่แต่ไม่รู้ว่าจะระบายเช่นไร ทว่าทันทีที่เห็นจางตงไหลขาก็พลันอ่อนแรงลงไปกว่าครึ่ง
“ไป…ตำหนักด้านข้างอย่างนั้นหรือ?”
จางตงไหลเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ ทางด้านฝ่าบาทยังต้องการคนดูแล องค์ชายห้าต้องการที่จะพบฝ่าบาทมาตลอดไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ รีบไปเถอะพ่ะย่ะค่ะ”
เซี่ยซั่วแสร้งทำเป็นสงบนิ่ง “จางกงกงพูดถูกแล้ว เพียงแต่เหตุใดภายในวังวันนี้ถึงดูไม่ปกติเล่า?”
จางตงไหลถอนหายใจออกมา “เรื่องนี้พูดแล้วเรื่องมันยาว ฝ่าบาททรงเลอะเลือนทำความผิดใหญ่หลวง ไท่ซ่างหวงกำลังแก้ไขสิ่งผิดให้คืนสู่ความถูกต้อง องค์ชายก็ทรงเห็นแล้วว่าตอนนี้ทั้งในวังนอกวังต่างก็วุ่นวายอย่างมาก ท่านอย่าเที่ยววิ่งส่งเดชจะดีกว่านะพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อเห็นว่าน้ำเสียงของจางตงไหลยังคงเป็นมิตรอยู่ เซี่ยซั่วจึงขยับเข้าไปใกล้แล้วเอ่ยถามขึ้นมา “จางกงกง ท่านช่วยบอกความจริงข้าหน่อยเถอะขอรับ ข้าจะได้ทำตัวถูก ตำหนักบรรทมของเสด็จพ่อเหตุใดแม้แต่คนปรนนิบัติก็ไม่มีเล่าขอรับ?”
จางตงไหลประหลาดใจ “อย่างนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ ไม่น่าจะใช่นะพ่ะย่ะค่ะ ดูท่าคงเป็นเพราะพวกคนรับใช้เหล่านั้นอาศัยตอนที่ไท่ซ่างหวงไม่อยู่ตั้งใจอู้งานเป็นแน่ องค์ชายทรงวางใจได้ กระหม่อมจะไปสั่งสอนพวกเขาเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ”
เซี่ยซั่วเห็นเขาแสร้งโง่ก็รีบเอ่ยขึ้นมา “คนรับใช้เหล่านั้นไม่สั่งสอนคงไม่ได้จริง ๆ แต่ว่าเจียงเต๋อปรนนิบัติเสด็จพ่อมาหลายปี ก็นับเป็นคนเก่าแก่ของเสด็จพ่อแล้ว ตอนนี้เขาไม่อยู่ เสด็จพ่อจึงไม่สะดวกอย่างมากนะขอรับ”
จางตงไหลเพียงแค่หัวเราะแต่ไม่ได้พูดอะไรอีก ยังคงเดินไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ และไม่ได้ตอบเขาไปตรง ๆ
เซี่ยซั่วเห็นตำหนักของฮ่องเต้เซี่ยเจินตอนนี้มีองครักษ์อวี่หลินเฝ้าเอาไว้ ก็ระงับความกลัวภายในใจแล้วเอ่ยกับจางตงไหลขึ้นมา “จางกงกง ข้าอยากจะพบไท่ซ่างหวง ข้ายังไม่ได้คารวะพระองค์เลย”
“ไม่ต้องรีบร้อนพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้ไท่ซ่างหวงเองก็ยุ่งอยู่ องค์ชายทรงไปรอที่ตำหนักด้านข้างก่อนเถอะพ่ะย่ะค่ะ ต้องการอะไรก็บอกพวกเขาได้เลย กระหม่อมยังต้องไปปรนนิบัติไท่ซ่างหวงอีก แต่คืนนี้องค์ชายก็อย่าเพิ่งเข้านอนเร็วนะพ่ะย่ะค่ะ เพราะไม่แน่อาจจะมีราชโองการเรียกพระองค์ไปพบเมื่อใดก็ได้”