เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย - บทที่ 422 พี่อาอินแสดงพลัง
บทที่ 422 พี่อาอินแสดงพลัง
อากาศหนาว ต่อให้จะมีแดดจ้า แต่เมื่อลมหนาวพัดมาก็ทำให้ผู้คนหนาวเย็นจนตัวสั่นเทา ฉู่จิ้นรับถุงทรายที่สหายร่วมกลุ่มโยนมาให้ ก่อนจะผูกกับขาของตัวเอง
วันนี้อาอินมาเพื่อร่วมกองทัพ ดังนั้นจึงเปลี่ยนมาสวมเสื้อตัวสั้นที่ทำจากผ้าเนื้อหยาบที่จี้จือฮวนเตรียมให้นาง โดยผูกแขนเสื้อและขากางเกงเรียบร้อย จากนั้นก็ถอดรองเท้าผ้าสักหลาดที่หนาและหนักออก สวมเพียงเสื้อกันหนาวผ้าไหมบาง ๆ ด้านใน และเสื้อคลุมด้านนอกตัวหนึ่งเท่านั้น
เมื่อเทียบกับฉู่จิ้นที่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น อาอินก็ได้รำไท่เก๊กไปรอบหนึ่งเพื่อเป็นการอบอุ่นร่างกายเรียบร้อยแล้ว
ฉู่จิ้นเห็นการออกหมัดและเท้าของเด็กคนนี้ก็ดูเป็นเรื่องเป็นราว แต่เขาหาได้เห็นเด็กผู้หญิงที่สูงไม่ถึงเอวตัวเองอยู่ในสายตาไม่
คิดว่าเขาจะแพ้ให้นางหรืออย่างไร?
ก็แค่ปาหี่ที่เผยยวนทำขึ้นเพื่อเอาใจลูกสาวก็เท่านั้น เขาไม่ได้เป็นอะไรกับนาง ถึงเวลาแพ้แล้วอย่ามาร้องไห้ต่อหน้าเขาก็พอ เขาไม่ได้มีความอดทนที่จะมานั่งปลอบนางหรอกนะ
“เสร็จหรือยัง?”
ฉู่จิ้นเอ่ยถาม
อาอินปรับลมหายใจ หลังจากรำท่าสุดท้ายเสร็จ ก็บิดคอไปมาและมัดถุงทรายที่ผู้ชายใช้กันไว้ที่ขา ฉู่จิ้นและทหารใหม่กลุ่มหนึ่งสบตากัน คนเหล่านั้นล้วนเป็นพี่น้องที่เข้ามาพร้อมกับเขา
มีคนหันไปทางอาอินแล้วเอ่ยถามยิ้ม ๆ “แม่นางน้อย ยกขึ้นหรือไม่?!”
“ให้พวกพี่ชายช่วยเจ้าหรือไม่?”
อาอินพ่นเสียงหัวเราะออกมา ก่อนจะเอ่ยเสียงดัง “ยังเบาเกินไป เอามาให้ข้าอีกสองถุง มัดที่เอว”
ฉู่จิ้นชะงักไปครู่หนึ่ง รู้สึกว่าเจ้าผีน้อยของตระกูลเผยผู้นี้ก็แค่วางมาดเพื่อข่มขวัญเขาเท่านั้น เปลืองเวลาของเขาจริง ๆ มัดอีกสองถุงแล้วจะวิ่งยี่สิบลี้ กลับมายังจะต้องวิดพื้น กระโดดข้ามสิ่งกีดขวางอะไรนั่นที่กองทัพกำหนดอีก แม้แต่ผู้ใหญ่ที่แข็งแรงคนหนึ่งก็ไม่แน่ว่าจะทำได้ ในกองทัพมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะสามารถทำสำเร็จได้ในคราเดียว อย่างน้อยก็ต้องมีหยุดพัก นี่นางกำลังคุยโวโอ้อวดอย่างนั้นหรือ?
“นี่ เจ้าเลิกมัดได้แล้ว เดี๋ยววิ่งไปแค่สามจั้งก็ต้องให้คนแบกกลับมาอีก เป็นคนก็ต้องแพ้ให้เป็น”
อาอินไม่พูดอะไร มีเพียงพวกทหารเก่าเท่านั้นที่ไปหยิบถุงทรายมาให้อย่างเชื่อฟัง ในเมื่อท่านแม่ทัพให้คุณหนูอาอินลองดู เช่นนั้นก็ให้นางลอง หวังว่าเจ้าฉู่จิ้นผู้นี้จะพูดน้อยลงหน่อย และการที่นางไม่แบกขวานหินมาวิ่งด้วย ก็ถือว่าไว้หน้าเขาแล้ว โบราณกล่าวว่า ไม่รนหาที่ตายก็ไม่ตาย เหตุใดต้องรนหาที่ตายด้วยเล่า?
หลังจากอาอินมัดถุงทรายอย่างแน่นหนาแล้ว จึงได้กระโดดอยู่กับที่สองครั้ง เฮ้อ ช่วยไม่ได้ มัดแล้วก็ยังเหมือนไม่มัด แต่ท่านแม่บอกว่าพลังที่มหาศาลนั้นมีทั้งข้อดีและข้อเสีย อย่าทะนงตนเด็ดขาด
ดังนั้นเรื่องการพูดข่มขวัญนางจึงตัดออกไป เด็กน้อยเผยถังอินเชิดคางขึ้นเล็กน้อย “ข้าเตรียมตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ใครจะมาเป่านกหวีด?”
สิ่งนี้ได้รับการสืบทอดมาจากการฝึกที่หมู่บ้านตระกูลเฉิน จั๋วฉวินจึงเดินออกมา “ข้าเอง”
อาอินกับฉู่จิ้นยืนอยู่ตรงเสาธง เนื่องจากทั้งสองคนมีเพศและรูปร่างที่แตกต่างกันมาก จึงไม่จำเป็นจะต้องผูกผ้าสีต่างกันบนหัวเพื่อแยกแยะระหว่างพวกเขา เมื่อจั๋วฉวินเป่านกหวีด อาอินกับฉู่จิ้นก็พุ่งตัวออกไปราวกับลูกธนูที่ถูกปล่อยออกจากคันศร
ฉู่จิ้นนั้นมีความสามารถมากจริง ๆ ในบรรดาทหารใหม่ที่รับสมัครมาในครั้งนี้เขายังสามารถติดอันดับต้น ๆ ได้ ทหารเก่าหลายคนต่างก็รู้จักเขา ได้ยินมาว่าบรรพบุรุษของเขาเป็นแม่ทัพทหารของเหอตง น่าเสียดายที่ภายหลังตระกูลของเขาตกต่ำลง ในบรรดาลูกหลานหลายรุ่นกลับมีเพียงฉู่จิ้นที่ฝักใฝ่ด้านทหาร ที่เหลือต่างเลือกที่จะสอบจอหงวนกัน
การที่ฉู่จิ้นวิ่งเร็วขนาดนี้จึงไม่น่าแปลกใจ เมื่อเช้านี้เขายังเป็นที่หนึ่งในค่ายทหารใหม่อีกด้วย ทหารเก่าที่เป็นหัวหน้ากองหลายคนต่างก็แย่งตัวกัน
แต่คิดไม่ถึงว่าพอตกกลางวันเขาจะก่อเรื่องเสียก่อน ด้วยการท้าประลองกับลูกสาวของเนี่ยเจิ้งอ๋อง นางเป็นเด็กผู้หญิงยอมให้นางหน่อยจะเป็นอะไรไป ทว่าฉู่จิ้นก็ยังเป็นคนที่ไม่ยอมใคร จะแข่งให้รู้แพ้รู้ชนะให้ได้ ไม่กลัวถูกคนหัวเราะเยาะบ้างเลยหรืออย่างไร?
เหล่าทหารใหม่เมื่อเห็นอาอินวิ่งได้เร็ว ก็รู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย แต่ทุกคนต่างก็คิดว่าวิ่งไม่เกินหกจั้งนางก็คงหยุดแล้ว แต่ไหนเลยจะรู้ว่าความเร็วของอาอินน้อยนอกจากจะไม่ลดลงแล้ว ยังรักษาความเร็วได้ดีอีกด้วย ถุงทรายที่ถ่วงขาของนางกลับไม่มีผลใด ๆ
ในที่สุดพวกเขาก็ได้รู้แล้วว่า เหตุใดบรรดาทหารเก่าถึงมีท่าทางสงบนิ่งเช่นนั้น!
“ลูกสาวของแม่ทัพเผยตอนนี้อายุเท่าใดอย่างนั้นหรือ?”
“หลังปีใหม่นี้ก็จะอายุหกขวบ”
“เหตุใดถึงได้แรงเยอะเพียงนี้กัน! ถุงทรายนั่นหากเป็นข้าล่ะก็ อย่างมากก็คงวิ่งได้สองลี้เท่านั้น”
ทหารใหม่ที่เพิ่งเข้ามา ยังต้องถูกคนทั้งเร่งทั้งไล่จึงสามารถวิ่งได้ไกลเท่านี้
ส่วนฉู่จิ้นที่เวลานี้กำลังแข่งขันอยู่ก็ไม่ได้ตกตะลึงน้อยไปกว่าคนอื่น ๆ เจ้าเด็กคนนี้รับมือได้ยากจริง ๆ ทุกครั้งเมื่อเขาทิ้งระยะห่าง นางก็จะไล่ตามมาติด ๆ จังหวะหายใจของนางก็สัมพันธ์กับฝีเท้าที่วิ่ง ท่าทางการแกว่งแขนทั้งสองข้างต่างก็เท่ากันทุกครั้ง
กลับเป็นฉู่จิ้นที่ต้องวิ่งไปและหันกลับไปมองนางเป็นระยะ ๆ เวลานี้จึงเริ่มรู้สึกหมดแรงแล้ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งรอบที่สิบที่นำอาอินอยู่ครึ่งจั้ง ตอนที่นางค่อย ๆ ตีตื้นขึ้นมา จิตใจของฉู่จิ้นก็ใกล้จะพังทลายลงเต็มที!
นางคิดจะทำอะไรกันแน่! เขาต้องเร็วกว่านี้ เขาต้องทำให้เจ้าเด็กคนนี้รู้ว่าผู้หญิงกับผู้ชายไม่สามารถเทียบกันได้!
ฉู่จิ้นฮึดสู้ขึ้นมาแล้วทะยานไปข้างหน้า แต่คราวนี้อาอินกลับไม่ยอมให้เขาเป็นผู้นำอีก เมื่อเขาเร่งความเร็วอาอินก็เร่งความเร็วตาม เห็นได้ชัดว่าทำได้อย่างสบาย ๆ!
ฉู่จิ้นกัดฟัน เส้นเลือดที่คอเต้นตุบ ๆ สีหน้าของอาอินจริงจังเป็นอย่างมาก ตามหลังเขามาติด ๆ ราวกับขนมงาอ่อน*
*ขนมงาอ่อน (牛皮糖) หมายถึง ติดหนึบ
สิบรอบ สิบสองรอบ สิบสามรอบ…
จากตอนแรกที่แค่ดูเอาสนุก ๆ ทว่าตอนหลังบนสนามฝึกก็มีคนล้อมวงเข้ามามากขึ้นเรื่อย ๆ
“คุณหนูอาอินสู้ ๆ!”
“ฉู่จิ้น! เร็วขึ้นอีก! กินข้าวไม่อิ่มหรืออย่างไร!”
ฉู่จิ้นก็อยากสู้ แต่เขาต้องออมแรงเอาไว้ ไม่อย่างนั้นระยะทางยี่สิบลี้ยากที่จะไปถึงจริง ๆ เขาจะไปรู้ได้อย่างไรว่าค่ายทหารของกองทัพทหารเกราะเหล็กหากไม่มีอะไรทำก็จะลากคนมาวิ่งทุกวัน ไม่ควรฝึกวิทยายุทธ์หรอกหรือ
“ให้ข้ารอเจ้าหรือไม่?” อาอินหอบหายใจขณะวิ่งผ่านเขาไป จากนั้นริมฝีปากก็ยกยิ้มออกมา เมื่อถึงรอบที่ยี่สิบก็สามารถแซงฉู่จิ้นไปได้ และเริ่มวิ่งอย่างสุดฝีเท้า
เหงื่อของฉู่จิ้นไหลลงมาตามใบหน้า มีหลายหยดที่เกาะอยู่บนคิ้วหนาของเขา จากนั้นก็ไหลเข้าไปในดวงตาตามการเคลื่อนไหวของเขา จนทำให้เขาต้องหลับตาลง ภาพที่สั่นไหวและฝูงชนที่ลุกฮือตรงหน้า ทำให้สายตาของเขายิ่งเลือนรางขึ้นเรื่อย ๆ ร่างเล็ก ๆ นั่นยังคงทะยานไปข้างหน้าไม่หยุด ฉู่จิ้นสะบัดหัวและไล่ตามไปอย่างแน่วแน่
ตอนแรกอาอินเก็บแรงเฮือกสุดท้ายเอาไว้มาตลอด รอจนถึงรอบท้าย ๆ จึงทะยานไปข้างหน้าด้วยความเร็วอย่างสุดกำลัง คราวนี้ไม่มีการออมแรงใด ๆ อีกแล้ว นางพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ทิ้งฉู่จิ้นเอาไว้ด้านหลัง
ตอนแรกยังห่างกันแค่หนึ่งจั้ง จากนั้นระยะห่างก็ค่อย ๆ เพิ่มมากขึ้นเป็นสิบจั้ง ยี่สิบจั้ง ครึ่งรอบ สุดท้ายเมื่ออาอินวิ่งครบยี่สิบลี้ ก็นานมากกว่าฉู่จิ้นจะมาถึง
อาอินใช้สองมือเท้าเอว ลมหายใจสม่ำเสมอ มองฉู่จิ้นแล้วเอ่ยขึ้นมา “ยังจะแข่งต่ออีกหรือไม่!”
ฉู่จิ้นรับน้ำมาดื่มไปหนึ่งอึก “แข่ง! เรื่องอะไรจะไม่แข่ง”
“ได้!” หลังจากที่อาอินพูดจบก็นั่งยอง ๆ ด้วยขาข้างหนึ่ง จากนั้นก็ลุกขึ้นยืน ฉู่จิ้นเมื่อได้สติก็รีบทำตามทันที เขาไม่เชื่อว่าเด็กคนนี้จะสามารถเอาชนะเขาได้ทุกอย่าง!
แต่แค่วัดกันที่อายุ อาอินสามารถวิ่งจบยี่สิบลี้ที่หลายคนยังทำไม่ได้ ก็ชนะใจทุกคนแล้ว แม้แต่สหายร่วมกลุ่มของฉู่จิ้นก็ได้เกลี้ยกล่อมเขาว่าให้พอได้แล้ว ขืนแข่งต่อไปต่อให้ชนะก็ขายหน้าอยู่ดี
“หลีกไป ไม่แน่นางอาจจะกินยาเพิ่มพลังอะไรมาก็ได้ แม่ของนางมีความรู้เรื่องการแพทย์ มีอะไรแปลกกัน เด็กผู้หญิงปกติจะมีแรงมากขนาดนี้อย่างนั้นหรือ?!”
ทันทีที่ฉู่จิ้นเอ่ยจบ ก็ถูกคนคว้าสายรัดเอวเอาไว้ ก่อนจะยกร่างเขาขึ้นไปกลางอากาศ จากนั้นก็เหวี่ยงลงบนพื้นอย่างแรง เท้าข้างหนึ่งของอาอินเหยียบลงบนหน้าอกของเขา ใบหน้าเล็กเต็มไปด้วยความเดือดดาล “แพ้ไม่เป็นก็ยอมรับว่าแพ้ไม่เป็นสิ อ้างเรื่องผู้หญิงผู้ชายอะไรกัน ท่านแม่ข้าเป็นหมอ ไม่ใช่นักต้มตุ๋นที่ขายยาตามข้างถนน เจ้าว่าข้าได้ แต่กล้าว่าท่านแม่ของข้าอย่างนั้นหรือ เจ้าเห็นข้ารังแกได้ง่าย ๆ ใช่หรือไม่ พูดดี ๆ เจ้าคงไม่เข้าใจ เช่นนั้นเรามาใช้การต่อสู้พิสูจน์ความสามารถกัน! วันนี้หากข้าไม่ตีจนเจ้ารู้สึกเลื่อมใสสุดใจและเรียกข้าว่าพ่อ ภายหน้าพี่อาอินอย่างข้าจะมองหน้าพ่อแม่พี่น้องของหมู่บ้านตระกูลเฉินได้อย่างไรกัน!”