เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย - บทที่ 435 นางไม่ต้องการไป
บทที่ 435 นางไม่ต้องการไป
ฟางจวิ่นเป็นเหมือนกับที่เฉินไห่คั่วพูดเอาไว้ ทันทีที่เขารู้ว่าเพื่อป้องกันการบุกรุกจากโจรสลัดก็พยักหน้าเห็นด้วยทันที คำพูดของเขาก็เต็มไปด้วยความเกลียดชังโจรสลัด ดูไม่เหมือนเสแสร้งแม้แต่น้อย
ทว่าเผยยวนก็ยังไม่เชื่อใจฟางจวิ่น ทั้งสองคนพูดถึงตรงนี้ เผยยวนก็ไม่ได้พูดอะไรเพิ่มอีก
ฟางจวิ่นเองก็ไม่ได้ถามต่อ เห็นได้ชัดว่าหลังจากถามแล้วพบว่าไม่เกี่ยวข้องอะไรกับฉวนปั๋วซือ และแรงกดดันส่วนใหญ่ก็ตกอยู่ที่กองทัพเรือ เขาจึงได้โล่งใจ
เฉินไห่คั่วเป็นคนแข็งกระด้าง พูดจาขวานผ่าซาก หลังจากดื่มเหล้าไปและเริ่มเมาเล็กน้อย ปากก็พูดไปด่าไปบอกว่าเขาจะฆ่าโจรสลัดเหล่านั้นทั้งเป็น
ฟางจวิ่นครุ่นคิดถึงผู้ตรวจการที่ผ่าน ๆ มา ที่มักจะจัดงานเลี้ยงเหล่าคหบดีที่ทรงอิทธิพลและเจ้าหน้าที่ จากนั้นก็รับสินบนเล็ก ๆ น้อย ๆ ทว่ากู้ยวนผู้นี้กลับไม่ได้มีความคิดเช่นนั้น ไม่รู้ว่าเขาต้องเป็นฝ่ายเอ่ยปากเองหรือไม่
แต่เมื่อลองถามหยั่งเชิงว่าต้องการให้เขาเป็นเจ้าภาพจัดงานเลี้ยงที่ภัตตาคารหรือไม่ กู้ยวนผู้นี้ก็บอกว่าไม่สามารถเปิดเผยให้คนนอกรู้ได้ ไม่ว่าฟางจวิ่นจะตะล่อมเช่นไรเขาก็ไม่ยอมเปิดปาก และเริ่มหมดความอดทนอีกด้วย เช่นนั้นดูท่าคงไม่อยากเปิดเผยให้คนภายนอกรู้จริง ๆ กระมัง
เทาเที่ย*แค่ตัวหนึ่งฟางจวิ่นย่อมไม่กลัว เพราะเจียงหนานมีเงินทองมากมาย โดยเฉพาะพวกที่ทำการค้าเหล่านั้น เงินที่ไหลออกมาจากง่ามนิ้วก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพียงพอให้ผู้ตรวจการเหล่านี้กินดื่มอย่างสำราญแล้ว
* เทาเที่ย (饕餮) เป็นตัวแทนของความตะกละ
นอกจากนี้ กู้ยวนยังดูเหมือนมีอายุไม่มาก เมื่อมองไปทางฮูหยินของเขา อย่างมากอายุก็ไม่น่าจะเกินสิบแปดปีกระมัง ยิ่งปฏิเสธก็ยิ่งแสดงให้เห็นว่าเพิ่งจะมารับราชการได้ไม่นาน คงยังมีคุณธรรมในใจอยู่
ทว่าบนโลกนี้ ผลลัพธ์สุดท้ายของการเกิดจากโคลนตมแต่กลับยอมไม่แปดเปื้อน ก็คือแข็งเกินไปและแตกหักง่าย
แต่ละปีมีผู้ตรวจการที่ราชสำนักส่งมาเจียงหนานเท่าใด คนใดบ้างที่สุดท้ายแล้วไม่คล้อยตามกระแส?
ฟางจวิ่นเห็นจนชินชาเสียแล้ว และแอบดูถูกกู้ยวนอยู่ในใจ อย่างไรเสียก็คงอยู่ได้ไม่นาน ปล่อยเขาดิ้นรนบนโลกใบนี้ไปเถอะ ไม่มีเงินใช้สร้างความสัมพันธ์ผู้บังคับบัญชาและผู้ใต้บังคับบัญชา ให้คนทำงานที่ไม่เต็มใจ ก็ไม่อาจทำงานอย่างเต็มที่ได้
เฉินไห่คั่วเมาแล้วจริง ๆ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ไปส่งเผยยวน เมื่อออกจากประตูใหญ่ของจวนเฉินมาพร้อมกับฟางจวิ่น ฟางจวิ่นจึงให้โจวอันคังที่ยืนอยู่ด้านหลังเงียบ ๆ มาตลอดส่งพวกเขากลับไป
เผยยวนกับจี้จือฮวนที่อยากจะทำความรู้จักโจวอันคัง ย่อมตอบตกลงด้วยความยินดี
โจวอันคังเดินเข้ามาใกล้ เมื่อรู้ว่าพวกเผยยวนเดินเท้ามา จึงได้นำทางอยู่ด้านหน้า คอยแนะนำประเพณีท้องถิ่นให้กับพวกเขา ฟังจากสำเนียง มองดูใบหน้า ความจริงแล้วไม่สามารถแยกแยะได้ว่าเขาเป็นชาวต้าจิ้นหรือไม่ สีหน้ายังแฝงไว้ด้วยความขี้ขลาดอยู่เป็นนิจ แต่ยามที่มองคนสีหน้ามักแฝงไว้ด้วยความประจบ ทำให้คนรู้สึกว่าการที่พูดจาเสียงดังกับเขาเพียงเล็กน้อย ก็ถือเป็นการรังแกเขาแล้ว
ในยุคของนิยายโบราณที่ถูกครอบงำโดยสังคมปิตาธิปไตย ผู้ชายประเภทนี้ความจริงแล้วพบเจอได้น้อยมาก
ทว่าเผยยวนกับจี้จือฮวนกลับมีท่าทางเมินเฉยต่อการประจบประแจงของโจวอันคัง เพราะพวกเขาก็ไม่มีเรื่องอะไรให้อีกฝ่ายทำจริง ๆ
โจวอันคังจึงคอยอยู่ข้าง ๆ อย่างเงียบ ๆ มาตลอดทาง คำพูดก็ค่อย ๆ น้อยลงเรื่อย ๆ สายตาที่ดูเหมือนไม่มีอะไรของจี้จือฮวนลอบสำรวจใบหน้าของเขา และพบว่าคนผู้นี้เวลาที่ไม่ยิ้ม ความจริงแล้วโครงหน้ากลับดูแข็งกร้าวเป็นอย่างมาก
“นางสารเลว อุตส่าห์ไว้หน้ายังไม่สำนึกอีกอย่างนั้นหรือ?” ระหว่างทางที่เดิมควรจะเงียบสงบ ทันใดนั้นกลับมีเสียงโหวกเหวกโวยวายดังขึ้น
“โอ๊ย นางคณิกาของหอฉวินฟางเหมือนจะไปล่วงเกินแขกเข้า”
คนกลุ่มหนึ่งเบียดเสียดกันเข้าไป แม้แต่พวกจี้จือฮวนเองก็ถูกฝูงชนดันให้ไปทางนั้นด้วย
ก่อนจะเห็นว่าที่ประตูของหอฉวินฟาง มีชายร่างกำยำคนหนึ่งกำลังถือแส้ ฟาดหญิงสาวร่างบอบบางที่นอนขดตัวอยู่บนพื้น
จี้จือฮวนจำได้ทันที สตรีผู้นั้นก็คือแม่นางที่เมื่อตอนกลางวันร่ายรำอยู่บนแท่นหิน ผิวขาวเนียนของนางเผยออกมา เสื้อคลุมถูกคนกระชากออก หัวไหล่กลมกลึงเผยออกมาด้านนอก พวกผู้ชายที่ห้อมล้อมกันอยู่นั้นเผยสีหน้าหื่นกระหายออกมา แทบอยากจะร้องออกมาว่าถอดให้หมด
“นางสารเลวผู้นี้ไม่รู้จักว่าอะไรควรไม่ควร ขายตัวเข้ามาแล้ว ยังอยากจะรักษาตนเองดั่งหยกบริสุทธิ์ให้ใครกัน?”
“นั่นน่ะสิ”
ชายผู้นั้นได้ยินเสียงโห่ร้องโดยรอบก็ยิ่งโมโหมากขึ้นไปอีก แม้แต่แม่เล้าที่ยืนดูเรื่องสนุกก็ไม่มีใครแยแส และเตรียมสั่งสอนคณิกาผู้นี้
ชายผู้นั้นพูดเสร็จก็จะเข้ามากระชากเสื้อผ้าของนางจริง ๆ แต่ทันทีที่ยื่นมือออกไปก็ถูกเผยยวนเตะเข้าที่หน้าอกจนกระเด็น กระแทกกับเสาหินทางด้านหลัง ก่อนจะร่วงลงมาพร้อมกับกระอักเลือด
ผู้คนโดยรอบต่างกรีดร้องด้วยความตกใจ แม่เล้ากลัวว่าชายผู้นั้นจะเจ็บหนัก จึงรีบพุ่งตัวออกมาต้องการจะตรวจสอบ ทว่ากลับรู้สึกเย็นวาบขึ้นมาทันที เมื่อเสื้อคลุมด้านนอกของนางถูกคนกระชากออกไป อยู่ดี ๆ ก็ถูกคนอื่นลวนลาม
จี้จือฮวนกระชากเสื้อผ้าของนาง จากนั้นก็หมุนตัวและสะบัดเสื้อผ้าออก ก่อนจะเอาไปคลุมบนร่างของคณิกาผู้นั้น
นางถูกตีจนใบหน้าบวมช้ำไปหมด แต่กลับตกใจมากกว่าว่าผู้ใดกันที่ยื่นมือเข้ามาช่วย ตอนที่เงยหน้าขึ้นมองจี้จือฮวน น้ำตาก็พลันไหลลงมา
จี้จือฮวนคลุมตัวนางเอาไว้อย่างมิดชิด ค่อย ๆ ดึงเสื้อผ้าให้นางจนเรียบร้อย
“ใครกล้าตีข้า ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วอย่างนั้นหรือ!?”
เผยยวนจึงตอบกลับพร้อมสีหน้าเรียบนิ่ง “ข้าเอง”
เมื่อเห็นว่าทั้งสองกำลังจะสู้กัน จู่ ๆ โจวอันคังก็กระโดดออกมา ขวางทั้งสองคนเอาไว้และช่วยไกล่เกลี่ย
พลางปลอบชายผู้นั้นว่าอย่าได้โมโหไป แต่ชายผู้นั้นยังคงไม่ยอมเลิกรา จะเข้ามาตีเผยยวนให้ได้ แม่เล้าก็รู้สึกขายหน้าจึงจะขอสู้ตายกับจี้จือฮวน โจวอันคังขวางคนนี้เอาไว้ แต่กลับไม่สามารถขวางคนนั้นได้ มิหนำซ้ำยังโดนต่อยไปหลายหมัดอีกด้วย
เผยยวนสะบัดโจวอันคังออก เพียงครู่เดียวก็ลากชายร่างกำยำผู้นั้นราวกับลากสุนัขที่ตายแล้วเข้าไปในหอฉวินฟาง
แม่เล้าทั้งตะโกนต่อว่าว่าเขาเป็นอันธพาล และถลกแขนเสื้อเตรียมจะเรียกคนมา ทำให้เสี่ยวลิ่วจื่อที่มารับเผยยวนตื่นตกใจทันที
เมื่อแหวกฝูงชนออก แม่เล้านั่นก็ยกชายกระโปรงและวิ่งออกมา “ท่านลิ่ว ท่านต้องให้ความเป็นธรรมกับหอฉวินฟางของเราด้วยนะเจ้าคะ!”
เสี่ยวลิ่วจื่อให้คนปิดประตูหอฉวินฟาง จ้องแม่เล้าพร้อมแสยะยิ้ม “เจ้าช่างเป็นหน้าเป็นตาให้ท่านลิ่วจริง ๆ แขกคนสำคัญของกลุ่มกองเรือของเรา แต่เจ้าคิดจะให้คนมาตีให้ตายอย่างนั้นหรือ?”
แม่เล้ามีสีหน้าซีดเผือดลงทันทีพร้อมกับเข่าอ่อน ก่อนจะให้คนคุมหอที่อยู่ข้าง ๆ ประคองไปคุกเข่าต่อหน้าพวกจี้จือฮวน
ตอนนี้ผู้คนที่อยู่ด้านนอกต่างแยกย้ายกันไปหมดแล้ว ผู้คนในหอฉวินฟางก็ถูกไล่ออกไปหมดแล้วเช่นกัน อย่างไรเสียที่นี่ใครจะกล้ามีปัญหากับกลุ่มกองเรือกัน
โจวอันคังกำลังจะบอกว่าช่างมันเถอะ แต่กลับถูกเสี่ยวลิ่วจื่อถลึงตาใส่ “ผู้หญิงของตัวเองถูกรังแก เจ้ากลับไปเกลี้ยกล่อมคนอื่นว่าอย่าโมโหอีกอย่างนั้นหรือ ข้าขายหน้าแทนบรรพบุรุษของเจ้าจริง ๆ”
ใบหน้าของโจวอันคังเดี๋ยวแดงเดี๋ยวซีด มองไปทางนางระบำด้วยสีหน้าอับอาย
แม่เล้าโขกหัวลงทันที แม้แต่ชายร่างกำยำนั่นก็หวาดหวั่นจนไม่กล้าขยับเขยื้อนตัว
“เป็นข้าที่ผีเข้าสิงจนสติหลุด เหม่ยเหนียงนั่นเพียงเพราะต้องการรักษาพรหมจรรย์ จึงมักจะล่วงเกินแขก ข้าจึงได้ให้คนมาสั่งสอนนาง ท่านลิ่ว ข้าผิดไปแล้วจริง ๆ เจ้าค่ะ ให้โอกาสข้าอีกสักครั้งเถอะนะเจ้าคะ แขกผู้มีเกียรติทุกท่านอย่าถือสาเลยนะเจ้าคะ ข้าไม่ได้เรื่องเองเจ้าค่ะ” เอ่ยจบก็ตบหน้าตัวเองทันที มิหนำซ้ำยังลงมือหนักอีกด้วย ตบจนใบหน้าบวมเห่อขึ้นมาแล้ว
เสี่ยวลิ่วจื่อจึงเอ่ยออกมา “เหม่ยเหนียง เจ้าจะไปกับพวกเราหรือไม่?”
ขอเพียงนางพยักหน้า แม่เล้าต้องไม่กล้ารั้งคนไว้อย่างแน่นอน
ทว่านางเพียงมองจี้จือฮวนเล็กน้อย แววตาเผยประกายสับสนออกมา ก่อนจะก้มหน้าลงแล้วเอ่ยขึ้น “ข้าไม่อยากไปเจ้าค่ะ”
ในใจของจี้จือฮวนรู้สึกผิดหวังอย่างอธิบายไม่ถูก หลังออกมาจากหอฉวินฟาง เสี่ยวลิ่วจื่อก็ยังคงปลอบใจนางอยู่ “ทุกคนมีโชคชะตาของตัวเอง บางคนมีทางดี ๆ ให้เดินกลับไม่เดิน ต้องการรนหาที่ตาย แม่นางจี้อย่าเสียใจไปเลยนะขอรับ พรุ่งนี้ละครโรงใหญ่กำลังจะเริ่มขึ้น การปราบปรามโจรสลัดเป็นสิ่งสำคัญที่สุดนะขอรับ”
จี้จือฮวนพยักหน้ารับ “ไป๋จิ่นกับเยว่พั่วหลัวออกเดินทางหรือยัง?”
“ออกเดินทางแล้วขอรับ แม่นางจี้วางใจ กลุ่มกองเรือของเราจัดการเรียบร้อยแล้วขอรับ”