เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย - บทที่ 439 ฆ่าโจรสลัด
บทที่ 439 ฆ่าโจรสลัด
บนหน้าผาที่ตั้งอยู่ริมชายฝั่ง เมื่อมองจากระยะไกล แสงไฟของค่ายกองทัพเรือยังคงมีให้เห็นกระจัดกระจายท่ามกลางความมืด เมืองจินหลิงทั้งเมืองกำลังหลับใหลอย่างสบาย ผิวน้ำที่ถูกแสงจันทร์สาดส่องลงมา ทุกครั้งที่เกิดคลื่นก็จะกลายเป็นคลื่นสีเงินที่ซัดสาดเข้ามากระทบฝั่ง
ทหารยามที่สวมเสื้อกันหนาวและเฝ้าสังเกตการณ์อยู่บนหอสูดจมูกฟุดฟิด มองไปทางคนที่กลุ่มกองเรือส่งมา “คืนนี้ล่วงเลยมาถึงยามนี้แล้วยังไม่เห็นโจรสลัดบุกมา เกรงว่าคงไม่มาแล้วกระมัง”
เอี๋ยนเฟินฟางเฝ้าสังเกตการณ์มาทั้งคืน ดวงตาของเขาที่ถูกลมทะเลพัดจึงรู้สึกเจ็บไปหมด ดังนั้นจึงได้ผลัดเปลี่ยนเวรยามให้คนต่อไปมาเฝ้าต่อ ก่อนจะหยิบอาหารแห้งออกมาจากอกเสื้อแล้วกัดมัน เขาสวมชุดสีดำ ใบหน้าเหลี่ยมจึงดูดุเล็กน้อย ทว่าน้ำเสียงกลับอ่อนหวานยิ่ง ทหารเรือที่ยืนเฝ้ายามอยู่ที่นี่กับเขาคืนนี้ก็รู้สึกว่าเขาดูแปลก ๆ
เพราะเอี๋ยนเฟินฟางผู้นี้ดูซื่อเหมือนไม่ทันคน ทว่ากลับกระตือรือร้นอย่างมาก เมื่อพบใครก็มักจะเรียกว่าพี่ชายน้องชาย ทั้งยังแบ่งปันอาหารแห้งที่ตัวเองนำมาให้ด้วย ทุกคนจึงมองว่าเขาเป็นคนโง่ที่ตามคนอื่นไม่ทัน และแอบคิดว่ากลุ่มกองเรือไปเก็บเอาเด็กน้อยเช่นนี้มาจากที่ใดกัน
“เจ้าดูให้ดี ๆ อย่าเหม่อล่ะ!” เอี๋ยนเฟินฟางเห็นทหารผู้นั้นขยี้ตาด้วยความง่วงงุน ก็พูดขึ้นมาด้วยความร้อนใจ
“ดูอะไรกัน ก็บอกแล้วว่าไม่มาหรอก นี่ก็ใกล้จะรุ่งสางแล้ว ส่วนใหญ่พวกมันมักจะมาตอนกลางดึกกัน เลยเวลามานานมากแล้ว ใกล้ ๆ ก็ไม่มีสัญญาณควันอะไร วันนี้ปลอดภัยแน่นอน”
เอี๋ยนเฟินฟางร้อนใจจนอยากจะลุกขึ้นมาดูด้วยตัวเอง เพราะเอี๋ยนเฉาญาติผู้พี่ของเขาบอกว่าเมื่อเข้าร่วมกองทัพทหารเกราะเหล็กแล้ว มีเพียงข้อเดียวคือ ต้องเชื่อฟังสิ่งที่ท่านอ๋องกับพระชายาบอก หากไม่เชื่อฟังต้องเจอดีอย่างแน่นอน ดังนั้นเขาจะปล่อยให้คนพวกนี้แหกกฎได้อย่างไร!
ยืนยามก็ต้องยืนทั้งคืน ไม่สามารถหย่อนยานได้
ตอนที่มู่เหยากวงเดินมาถึง บังเอิญเห็นเอี๋ยนเฟินฟางกำลังทุ่มเถียงกับพวกทหารเรืออยู่พอดี
“เจ้าพูดอะไรกันเจ้าตุ้งติ้ง พวกเราเป็นทหารเรือย่อมดีกว่าพวกเจ้าอยู่แล้ว”
เอี๋ยนเฟินฟางโมโหอย่างมาก “เฝ้ายามยังต้องรู้อะไรไม่รู้อะไรกัน ยืนยามก็คือต้องจับตามองอย่าให้คลาดสายตา แต่นี่เจ้าคิดจะแอบอู้ มิน่าเล่า ทหารเรือมากมายเพียงนี้ยังถูกโจรสลัดโจมตีจนแพ้ยับเยินได้ ที่แท้ก็มีนิสัยเช่นเจ้านี่เอง”
“เจ้าพูดอะไรของเจ้ากัน เจ้าเป็นคนของกลุ่มกองเรือ ความจริงก็แค่โจรดี ๆ นี่เอง”
“ข้าเป็นโจรก็ยังดีกว่าคนที่ชอบฉวยโอกาสช่วงชุลมุนอย่างเจ้า!”
“เจ้าพูดอีกครั้งสิ!” ทหารเรือผู้นั้นจะเข้าไปคว้าคอเสื้อของเอี๋ยนเฟินฟาง มู่เหยากวงกลับตะคอกเสียงเย็นขึ้นมาเสียก่อน “ทำอะไร!”
บรรดาทหารเรือเมื่อเห็นว่าเป็นหญิงสาวหน้าตางดงามนางหนึ่ง ก็อดไม่ได้ที่จะผิวปากให้ มู่เหยากวงจึงมองพวกเขาเขม็ง “คืนนี้พวกเจ้าเถียงกันที่จุดยืนยามจนเสียงดังออกไปเช่นนี้ ข้าจะรายงานผู้บังคับบัญชาตามความจริง”
ทหารเรือหลายคนพ่นเสียงหัวเราะออกมาอย่างไม่ใส่ใจ มู่เหยากวงเองก็ขี้เกียจจะสนใจพวกเขา เอี๋ยนเฟินฟางจึงเอ่ยด้วยความน้อยอกน้อยใจออกมา “เหยาเหยา พวกเขาไม่ตั้งใจยืนยาม”
“ไม่เป็นไร ข้าจะทำแทนเจ้าเอง เจ้าไปพักสักหน่อยเถอะ” มู่เหยากวงเอ่ยปลอบเขา พลางตบบ่าหนาของเขาเบา ๆ จากนั้นก็เข้าไปยืนในตำแหน่งยามและกวาดตามองไปรอบ ๆ
“ทำเป็นขึงขังจริงจังไปได้ แค่สตรีผู้หนึ่ง คิดว่าตัวเองเป็นทหารจริง ๆ อย่างนั้นหรือ?” บรรดาทหารเรือต่างพากันหัวเราะเสียงเย็น ก่อนจะรวมตัวกันเพื่อกินอาหาร และเตรียมกลับไปนอนในตอนเช้า
มู่เหยากวงฟังเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ใบหน้าของนางสงบนิ่งไม่ได้แสดงอารมณ์ใด ๆ ออกมา สายตายังคงจับจ้องไปรอบ ๆ โดยไม่กะพริบ
สิ่งที่สตรีควรทำหรือไม่ควรทำ ไม่ใช่สิ่งที่ต้องให้คนอื่นมากำหนด
คำพูดนี้จี้จือฮวนเป็นคนบอกนางเอง
นางมองไปที่แนวชายฝั่งที่มีลมพัดไม่หยุดด้านหน้า ทันใดนั้นก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน “เอี๋ยนเฟินฟาง”
“หืม?” เสียงนุ่มนิ่มของเอี๋ยนเฟินฟางดังขึ้น “มีอะไรหรือ?”
“เจ้าช่วยดูทีว่าบนผิวน้ำนั่น เงาดำ ๆ นั่นใช่เรือเล็กหรือไม่?”
เอี๋ยนเฟินฟางหรี่ตาลงเพ่งมองไปด้านหน้า “ข้าเห็นไม่ชัด”
“ไม่ใช่มองเห็นไม่ชัด แต่คงเห็นภาพหลอนแล้วกระมัง” มีทหารเรือคอยพูดจาเหน็บแนมอยู่ข้าง ๆ
ตอนกลางคืนบนผิวน้ำจะมีขอนไม้ลอยมา หรือเรือที่คนไม่ผูกเอาไว้ให้ดีถูกคลื่นซัดเข้าฝั่ง สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้ ทหารเรือเหล่านี้ที่เห็นมานักต่อนักแล้วจึงไม่ได้สนใจ
มู่เหยากวงยังคงเพ่งมองอยู่อย่างนั้น และทางด้านขวาที่ตำแหน่งเดิม เวลานี้กลับมีเงาของเรือสีดำปรากฏขึ้นอีกครั้ง มันลอยตามกระแสน้ำเข้ามาหาฝั่งอย่างรวดเร็ว
“ตรงนั้น!”
ครั้งนี้เอี๋ยนเฟินฟางมองเห็นได้อย่างชัดเจนแล้ว “ข้าก็เห็น ส่งสัญญาณเร็วเข้า!”
คราวนี้คนของกองทัพเรือก็ไม่กล้าชักช้าอีก แต่ก็ยังไม่ลืมที่จะถามย้ำอีกครั้ง “พวกเจ้าดูละเอียดแล้วใช่หรือไม่ ที่นี่มืดมาก การผลีผลามส่งสัญญาณมีโอกาสจะถูกทำโทษทางทหารนะ”
“หากเจ้ากลัวเจ้าก็อยู่คนเดียวไปเถอะ มองผิดยังดีกว่าปล่อยคนผิดลอยนวล” มู่เหยากวงเอ่ยจบ ก็รีบไปรายงานทันที
…
บนหน้าผาไม่ไกลจากหอสังเกตการณ์
ชายเสื้อของจี้จือฮวนโบกสะบัดไปตามสายลม นางหรี่ตาลง ผมสีดำปลิวสยายอยู่ด้านหลัง ได้กลิ่นเค็มของน้ำทะเลปนอยู่ในอากาศ เมื่อเห็นบนท้องฟ้ามีเงาสีดำลอยมาตามสายลม นางจึงยื่นแขนออกไป หมูเหยี่ยวล่าเหยื่อก็โรยตัวลงมาเกาะบนแขนของนาง
จี้จือฮวนดึงจดหมายที่ข้อเท้าของมันออก แล้วปล่อยมันไปล่าเหยื่อในป่า หลังจากอ่านข้อมูลบนแผนที่นั่นอย่างละเอียดแล้ว ก็มีเสียงฝีเท้าดังมาจากทางด้านหลัง
มู่เหยากวงวิ่งมาที่ด้านข้างของนาง “ฮูหยิน พบร่องรอยของโจรสลัดเจ้าค่ะ”
จี้จือฮวนเก็บแผนที่ลง “ไป”
…
บนชายฝั่ง
เรือเล็กได้มาจอดอยู่ใกล้กับหินโสโครกตามคลื่นที่ซัดมา เหล่าโจรสลัดผูกเรืออย่างชำนาญ จากนั้นก็เตรียมแยกย้ายเข้าไปในป่า และมุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านริมทะเลอย่างรวดเร็ว
พวกมันบุกเข้าไปในหมู่บ้านอย่างไร้ความเกรงกลัวเหมือนที่ผ่านมา พลางแสยะยิ้มที่มุมปาก สังหารทุกสิ่งที่พวกมันมองเห็น
ในสายตาของพวกมัน ชาวต้าจิ้นในหมู่บ้านชาวประมงเหล่านี้ ก็เปรียบเสมือนลูกแกะที่กำลังหายใจอยู่ เป็นเพียงเครื่องสังเวยภายใต้คมดาบก็เท่านั้น
ประตูไม้บานเก่าถูกถีบออกเต็มแรงพร้อมเสียงที่ดังลั่น โจรสลัดที่เข้ามาก่อนเตรียมลงมือสังหารผู้ชายของบ้านนี้ แล้วค่อยลากผู้หญิงออกไป จากนั้นก็ค่อยพาลูกของนางมาแหวกท้องต่อหน้าพวกนางอีกที
เรื่องเช่นนี้พวกมันทำมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว เสียงร้องด้วยความหวาดกลัวของลูกแกะที่รอถูกเชือดเหล่านั้นดังมาแต่ไกล นี่ไม่ต่างอะไรกับการเพิ่มความโอหังให้กับพวกมัน ชายผู้นั้นค้นหาภายในห้องที่มืดสนิทนี้หนึ่งรอบ แต่กลับไม่พบผู้ใด
เขาเริ่มรื้อหีบและตู้เพื่อหาของด้วยความโมโห
เมื่อเปิดตู้ออกก็พบกับผู้หญิงที่ตัวสั่นเทา เขาจึงแสยะยิ้มออกมา แล้วลากคนออกมาจากตู้ ทว่าก็รอที่จะพาตัวคนไปที่เรือไม่ไหวอีกแล้ว จึงปลดสายคาดเอวออกทันที
ไม่ได้สังเกตตรงประตูเลยว่ามีร่างสูงใหญ่แทบจะปกคลุมเขาได้ร่างหนึ่งยืนอยู่
เอี๋ยนเฟินฟางพุ่งตัวเข้ามาตามเสียง ก็ได้พบกับเจ้าข้าวปั้นฟองเต้าหู้นั่น จากนั้นเอี๋ยนเฟินฟางที่มีร่างกายกำยำก็ตัวสั่นเทาขึ้นมา “โอ้โฮ ลวนลามผู้หญิงอย่างนั้นหรือ?!”
ดาบเล่มใหญ่จึงฟันลงไปทันที ทำให้คนผู้นั้นล้มลงไป จากนั้นเอี๋ยนเฟินฟางก็ตวัดดาบในอากาศอีกครั้ง
เมื่อโจรสลัดนั่นได้สติขึ้นมาจากความเจ็บปวด ก็พบว่าที่หน้าอกของเขาถูกดาบเล่มใหญ่แทงเข้าไปแล้ว ตามมาด้วยเสียงที่น่ารักหวานหยดย้อยของเอี๋ยนเฟินฟาง เขาจึงตาเหลือกขึ้นมาทันที กล้ำกลืนความโกรธแค้นลงไป
“ทำดาบข้าสกปรกหมด!” เอี๋ยนเฟินฟางดึงดาบออกมา ก่อนจะทำนิ้วดอกกล้วยไม้พลางชูขึ้นมา จากนั้นก็ลากโจรสลัดนั่นออกไป ยังมิวายหันมากำชับผู้หญิงคนนั้น “วางใจได้ นอนต่อเถอะ พวกเราเป็นทหารของราชสำนัก~”
ผู้หญิงคนนั้นดวงตาเบิกโพลง ตกใจจนหัวใจแทบจะกระดอนออกมานอกอก เมื่อเอี๋ยนเฟินฟางจากไปไกลแล้ว จึงได้พุ่งตัวไปที่ประตูด้วยความตื่นตระหนก ในหมู่บ้านไร้ซึ่งแสงไฟ แต่ทุกที่กลับสามารถเห็นเงาคนที่กำลังเคลื่อนไหวได้ มีคนวิ่งผ่านความมืดไปราวกับเสือดำ ลากโจรสลัดทั้งหมดที่บุกรุกเข้าไปในบ้านของชาวบ้านออกมาจนหมด