เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย - บทที่ 443 สงครามเริ่มต้นขึ้น
บทที่ 443 สงครามเริ่มต้นขึ้น
ค่ายกองทัพเรือ
เฉินไห่คั่วขมวดคิ้วฟังที่เผยยวนพูด “ท่านอ๋องหมายความว่าจะให้ข้ากับพระชายาไปที่เกาะโจรสลัดอย่างนั้นหรือขอรับ นี่มันไม่เหลวไหลไปหน่อยหรือขอรับ?”
เผยยวนปรายตามองเขา “ข้าไม่สั่งให้เจ้าฟังคำสั่งจากพระชายาก็นับว่าไว้หน้าเจ้ามากแล้ว”
เฉินไห่คั่วถึงกับสะอึก “แล้วพระชายามีประสบการณ์การต่อสู้ทางเรือหรือไม่ขอรับ?”
“ไม่มี ดังนั้นถึงได้บอกให้เจ้าเป็นคนมาสั่งการอย่างไรเล่า พระชายาจะรับผิดชอบเพียงการลอบสังหารและการแทรกซึมเท่านั้น” เผยยวนรู้สึกว่าการคุยกับเฉินไห่คั่วผู้นี้เปลืองพลังมากจริง ๆ
บนโต๊ะยาวระหว่างทั้งสามคนมีแผนที่ของหมู่เกาะวางอยู่ เผยยวนต้องประจำการอยู่บนชายฝั่งแต่เพียงผู้เดียว ส่วนเฉินไห่คั่วและจี้จือฮวนจะรับหน้าที่บุกไปที่เกาะ โดยเฉินไห่คั่วจะรับผิดชอบยึดพื้นที่บนหมู่เกาะ ส่วนจี้จือฮวนมีหน้าที่โจมตีเกาะหลักและช่วยเหลือตัวประกัน
ส่วนเรือรบอันงดงามที่มาจากเมืองหลวงเหล่านั้น ก็จะถูกนำไปใช้ปิดล้อมด้วย
เฉินไห่คั่วสงสัย “แต่พวกเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าฟุมิโอะ มัตสึโมโตะนั่นซ่อนตัวอยู่ที่เกาะใดขอรับ?”
“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องกังวลไป เพราะพวกเรามีเครื่องนำทางธรรมชาติ” จี้จือฮวนตอบ พร้อมกับป้อนเนื้อแห้งชิ้นหนึ่งให้กับหมูเหยี่ยวล่าเหยื่อที่กำลังเกาะอยู่บนไหล่ของนาง
เฉินไห่คั่วเข้าใจได้ทันที “นกเหยี่ยวล่าเหยื่อตัวนี้สามารถนำทางในทะเลได้หรือขอรับ?”
หมูเหยี่ยวล่าเหยื่อหรี่ตาลง ก่อนจะกระโดดไปบนแผนที่อย่างภาคภูมิใจ พลางหมุนตัวกลับไปกลับมา
เฉินไห่คั่วงุนงง “มันหมายความว่าอย่างไรหรือขอรับ?”
“หมายความว่ามันบินไปบินมาหลายรอบแล้ว ไม่มีทางหลงอย่างแน่นอน”
เฉินไห่คั่วประหลาดใจอย่างมาก “นกตัวนี้รู้ภาษาคนด้วยหรือขอรับ เป็นนกศักดิ์สิทธิ์จริง ๆ”
คำพูดนี้นับว่าน่าฟัง เผยยวนจึงรู้สึกพอใจขึ้นมาเล็กน้อย
“เช่นนั้นพวกเราจะออกเดินทางในเวลากลางคืนหรือว่า…”
“พลบค่ำขอรับ” เว่ยเจ๋อเซิงที่อยู่ด้านข้างเอ่ยขึ้นมา “พลบค่ำวันนี้จะมีหมอกหนา สามารถบดบังทัศนวิสัยของศัตรูได้ ข้าเดาว่าอีกฝ่ายก็คงจะคิดเช่นนี้เหมือนกัน”
เฉินไห่คั่วเดินออกจากกระโจมและมองดูสภาพอากาศวันนี้ “เป็นเช่นนั้นจริง ๆ เพราะทุกครั้งที่มัตสึโมโตะนั่นพาคนขึ้นฝั่ง ก็มักจะเลือกวันที่มีหมอกหนา และเลือกขึ้นฝั่งที่หมู่บ้านชาวประมงเล็ก ๆ”
ดังนั้นวันนี้ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้ทางน้ำหรือทางบก เพื่อไม่ให้ชาวบ้านได้รับบาดเจ็บ สภาพอากาศเช่นนี้จึงถือเป็นความท้าทายในการทดสอบสายตาและความตื่นตัวที่แท้จริง
“ท่านแม่ทัพ แย่แล้วขอรับ ด้านนอกมีชาวบ้านมาโวยวาย บอกว่ามาขอคำอธิบายขอรับ”
เฉินไห่คั่วขมวดคิ้ว “คำอธิบายอะไร?”
“พวกเขาบอกว่าเมื่อคืนนี้จะมีโจรสลัดบุกมา ให้พวกเขาย้ายหนี เหตุใดถึงไม่มีการแจ้งล่วงหน้า ตอนนี้พวกเขาจะเก็บของทันได้อย่างไรกัน ยิ่งมีคนตะโกนก็ยิ่งมีคนมารวมตัวกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ขอรับ”
“เหลวไหล! ข้าบอกให้ชาวบ้านที่อาศัยในหมู่บ้านชาวประมงเล็ก ๆ ริมชายฝั่งเข้ามาในเมืองก่อน เพราะคนในเมืองมีทหารในเมืองคุ้มครองอยู่แล้ว ยังมีคนของกลุ่มกองเรือช่วยลาดตระเวน ใครบอกให้คนในเมืองย้ายออกไปกัน?!”
เฉินไห่คั่วคิดถึงตรงนี้ ก็ยิ่งรู้สึกว่าแม้แต่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาก็ยังจัดการไม่ได้
ทันทีที่ออกไปก็พบว่าพวกชาวบ้านกำลังล้อมคนผู้หนึ่งเพื่อเค้นถามอยู่ เมื่อเขาก้าวไปข้างหน้า ก็พบว่าคนที่ถูกล้อมอยู่นั้นก็คือโจวอันคังจากฉวนปั๋วซือนั่นเอง
“เสมียนโจว ท่านต้องให้คำอธิบายกับพวกเรานะขอรับ! อย่างน้อยท่านก็เป็นคนของทางการไม่ใช่หรือ?”
“นั่นสิ ชีวิตของพวกเราไม่มีค่าหรืออย่างไร จะสู้กันเหตุใดจึงไม่บอกพวกเราก่อน!”
โจวอันคังกังวลจนเหงื่อท่วม จนเกือบจะร้องขอความช่วยเหลือออกมาอยู่แล้ว “ทุกท่าน ข้าเองก็ไม่ทราบเช่นกัน พวกท่านมาเค้นเอาคำตอบจากข้าก็ไม่มีประโยชน์หรอกนะขอรับ”
เฉินไห่คั่วดึงเขาออกมา ก่อนจะเอ่ยถามขึ้น “ใครเป็นคนบอกว่าจะให้ชาวบ้านในเมืองย้ายออกไปกัน? ข้าไม่เคยออกคำสั่งเช่นนี้ ทุกคนกลับไปให้หมด”
“ท่านแม่ทัพ เช่นนั้นวันนี้จะมีสงครามหรือไม่?”
เฉินไห่คั่วกวาดตามองฝูงชนด้วยสายตาคมปลาบ “พวกเจ้าต้องเข้าใจก่อนว่า ไม่ว่าพวกเราจะตัดสินใจเช่นไร ล้วนทำเพื่อปกป้องบ้านเมือง ปกป้องพวกเจ้า ไม่ใช่เพิ่มความวุ่นวายให้ที่นี่ ดังนั้นหากใครยังสร้างความวุ่นวายไม่เลิก พูดให้คนอื่นเข้าใจผิด หรือปล่อยข่าวลือส่งเดช จะถูกจัดการตามกฎหมายอาญา!”
เมื่อเขาพูดขึ้นมาเช่นนี้ แต่ละคนจึงไม่กล้าออกหน้าเป็นผู้นำอีก ก่อนจะรีบเผ่นแน่บไปทันที โจวอันคังถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก “ท่านแม่ทัพ ยังดีที่ท่านออกมานะขอรับ”
เฉินไห่คั่วเห็นท่าทางขี้ขลาดของเขาก็รู้สึกหงุดหงิด “เจ้าติดตามข้างกายฟางจวิ่นมาตั้งหลายปี เหตุใดถึงไม่พัฒนาขึ้นเลยเล่า ต้องปลอบพวกเขาเช่นไรเจ้าไม่รู้เลยอย่างนั้นหรือ? ยังถูกคนต้อนเข้ามุมกำแพงอีก”
เฉินไห่คั่วตำหนิเขาเสร็จก็เตรียมจะกลับเข้าไป ทว่าจู่ ๆ ก็มีคนตรงมาหิ้วโจวอันคังเข้าไปในค่ายทหาร โจวอันคังมีสีหน้างุนงง มองเฉินไห่คั่วด้วยสายตาอ้อนวอน แต่กลับถูกคนพาตัวไปแล้ว
“สูด นี่มันเรื่องอะไรกันขอรับ?” เฉินไห่คั่วเข้ามาในกระโจม “ท่านอ๋อง คนผู้นั้นคงเป็นทหารของท่านกระมัง เหตุใดถึงนำตัวโจวอันคังไปเล่าขอรับ?”
เผยยวนไม่ได้ตอบเขาตรง ๆ “เจ้าไม่ต้องกังวลไป เจ้าอธิบายเรื่องการจัดวางกำลังของกองทัพเรือให้ข้าฟังก่อน”
…
ในช่วงปลายของยามเซิน* เมืองจินหลิงถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาทึบ ยิ่งห่างออกไปแนวชายฝั่งก็ยิ่งเลือนรางลง เมื่อออกทะเลไปก็ยิ่งมองไม่เห็นอะไรเลย
* ยามเซิน (申时) หมายถึง เวลา 15.00 น. – 17.00 น.
เสียงร้องของเหยี่ยวสั่นสะเทือนท้องนภา ทะลุผ่านชั้นเมฆาไปอย่างรวดเร็ว นกเหยี่ยวล่าเหยื่อกระพือปีกบินวน หันหน้าไปทางหมอกหนาทึบ สัมผัสได้ถึงเสียงเรียกของกระดิ่งเงิน ลมที่พัดมาเร่งให้เรือรบแล่นออกไปราวกับลูกดอก ราวกับปลาวาฬยักษ์ตัวใหญ่ไร้ที่เปรียบหลายตัวกำลังว่ายฝ่าคลื่นในทะเล ทำให้น้ำกระเซ็นขึ้นสูง
หมู่เกาะค่อย ๆ ใกล้เข้ามา
หินโสโครกที่ยื่นออกมาจากแนวชายฝั่ง ก็ปรากฏขึ้นราง ๆ ราวกับสัตว์ประหลาด
เยว่พั่วหลัวนั่งอยู่ในห้องที่เงียบสงัด ใช้เสียงภายในใจนำทางหนอนกู่มายังเกาะโจรสลัดที่ซ่อนอยู่ใจกลางหมู่เกาะแห่งนี้
ลมทะเลพัดเข้ามากระแทกหน้าต่าง ทั้งเกาะถูกปกคลุมไปด้วยหมอกหนาทึบที่ไม่สามารถมองเห็นอะไรได้เลย นางได้กลิ่นเค็มของทะเลในอากาศและรู้สึกว่ากู่สะกดรอยใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ แล้ว
นางยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ฟังเสียงตะโกนของเหล่าโจรชั่วด้านนอก จ้องมองใบหน้าของตัวเองในกระจก และพูดกับตัวเองในใจ ‘เวลาสังหารมาถึงแล้ว’
…
ในเวลาเดียวกัน ฟุมิโอะก็รวบรวมเรือรบและมุ่งหน้าไปยังแนวชายฝั่งในช่วงเวลาที่มีหมอกลงหนาทึบเช่นกัน เขาตัดสินใจที่จะลบล้างความอับอายในครั้งนี้ จึงได้นำเหล่าสมุนของตัวเองข้ามทะเลมา ก่อนจะเหยียบลงบนชายหาดนอกเมืองจินหลิง
และตอนนั้นเองกลองรบก็ดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงแตรหอยสังข์ที่ดังก้องเป็นเวลานาน เสียงกลองรบที่เร่งเร้า ทำให้ทหารที่รวมตัวกันรอซุ่มโจมตีอยู่บนฝั่งรีบตั้งค่ายกลอย่างรวดเร็ว
“หัวหน้าใหญ่! มีค่ายกองทัพเรือซุ่มโจมตีอยู่ขอรับ!” หลังจากได้ยินเสียงร้องเตือน ฟุมิโอะก็ชักดาบยาวออกมา สกัดลูกธนูที่พุ่งเข้ามาหาเขาทันที!
เหล่าลูกสมุนหยิบโล่หนามขึ้นมา แม้พวกเขาจะมีคนจำนวนมาก ทว่ากองทัพเรือเองก็มีคนไม่น้อยเช่นกัน การต่อสู้ระหว่างทั้งสองฝ่ายจึงตึงเครียดขึ้นมาทันที ทันใดนั้นศพและเลือดที่ลอยอยู่บนทะเลก็ดึงดูดฝูงปลามากมายให้ว่ายมาที่นี่ เมื่อถึงช่วงเวลาน้ำขึ้น เหล่าทหารไม่ยอมถอยแม้แต่ก้าวเดียว บีบให้โจรสลัดกลุ่มนี้ต้องถอยลงไปในทะเล
ในหมอกหนาทึบเห็นเพียงหัวคนสีดำเต็มไปหมด เสียงการต่อสู้อันดุเดือด ผสมกับเสียงคลื่นที่โหมกระหน่ำของน้ำทะเลที่ซัดสาดเข้ามายังชายฝั่ง คนกลุ่มหนึ่งล้มลง คนอีกกลุ่มหนึ่งก็เข้ามาแทนที่อย่างรวดเร็ว
ฟุมิโอะถูกกลุ่มคนล้อมไว้ให้อยู่ตรงกลาง สถานการณ์เช่นนี้ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยเจอมาก่อน หลายปีมานี้เขาต่อสู้กับกองทัพเรือมาแล้วหลายครั้ง แต่เขาไม่ใช่คนที่ชื่นชอบการต่อสู้ ดังนั้นเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ เขาจึงคิดที่จะหนีกลับลงไปในทะเล
ทว่าในเวลานั้นเองก็มีคนชูแขนขึ้นและตะโกนออกมา “ฟุมิโอะ มัตสึโมโตะ! เกรงว่าวันนี้เจ้าคงจะไม่สามารถกลับรังของเจ้าได้แล้ว!”
ฟุมิโอะมองไปข้างหลังทันที ก่อนจะเห็นเรือรบขนาดใหญ่สองสามลำลอยอยู่ในทะเลท่ามกลางหมอกที่ปกคลุมหนาทึบ และทันทีที่เขาหันหน้ากลับมา ก็พบว่าทหารเรือบนเรือได้ถือหน้าไม้และตั้งแถวหน้ากระดานเรียงหนึ่งรออยู่แล้ว เมื่อธงทหารสะบัดลง แม้แต่ฟุมิโอะเองก็ยังตั้งตัวไม่ทัน หน้าไม้อันใหญ่ก็ยิงลูกดอกออกมาอย่างต่อเนื่อง มันแหวกอากาศและทะลุผ่านหมอกหนาทึบมาราวกับห่าฝน!