เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย - บทที่ 448 เจ้าช่างแสดงละครได้เก่งจริง ๆ
- Home
- เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย
- บทที่ 448 เจ้าช่างแสดงละครได้เก่งจริง ๆ
บทที่ 448 เจ้าช่างแสดงละครได้เก่งจริง ๆ
ข่าวที่ว่าโจรสลัดถูกกวาดล้างแพร่กระจายไปทั่วเมืองจินหลิง
ทำให้ราษฎรทั้งหมดต่างก็ตกตะลึง และรีบเอาเรื่องนี้ไปบอกกันปากต่อปาก เพื่อดูว่าสรุปแล้วใช่เรื่องจริงหรือไม่
ทว่าหลังจากเรือรบของกองทัพเรือกลับเข้าท่าอย่างยิ่งใหญ่ คุมตัวโจรสลัดหน้าตามอมแมมกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าลงมาจากเรือ รวมถึงศพเหล่านั้น ฝูงชนจึงได้โห่ร้องด้วยความยินดีขึ้นมา!
“ตายแล้ว! โจรสลัดตายแล้วจริง ๆ!!”
“ได้ยินหรือยัง!! พรุ่งนี้เที่ยง แม่ทัพเฉินจะดูแลการประหารชีวิตมัตสึโมโตะสองพี่น้องด้วยตัวเอง! ลบล้างความอัปยศให้ต้าจิ้นของเรา!”
“สวรรค์ ตายได้ก็ดี! ทำร้ายคนในบ้านเมืองของพวกเราไปตั้งเท่าใด พรุ่งนี้ข้าจะจุดประทัดด้วย!”
ทั้งเมืองจินหลิงราวกับมีงานปีใหม่ที่ยิ่งใหญ่ก็มิปาน ทุกคนต่างก็ดื่มด่ำกับความสุข นับจากนี้ไปจะไม่มีโจรสลัดมาปล้นพวกเขาในทะเลอีกแล้ว ในที่สุดก็ได้มีชีวิตที่สงบสุขเสียที!
ทุกที่ล้วนประดับประดาด้วยโคมไฟสวยงาม ร้องรำทำเพลงอย่างมีความสุข พวกพ่อค้าหาบเร่ต่างก็ออกมาขายของกันอย่างคึกคัก ส่วนกิจการต่าง ๆ ถึงกับทำการปิดร้าน! เพื่อเฉลิมฉลองถึงสามวันสามคืน
ประตูค่ายกองทัพเรือแทบจะเต็มไปด้วยของขวัญที่ผู้คนส่งมาให้ แม้แต่เหล่าหญิงสาวของหอฉวินฟางก็ออกมาให้ความบันเทิงด้วย ทั้งเล่นดนตรีและร้องเพลงเพื่อเรียกลูกค้า
แต่ตอนนี้ทุกคนต่างก็รอดูว่าพี่น้องมัตสึโมโตะนั่นจะตายอย่างไร ไหนเลยจะมีเวลาไปหอฉวินฟางกัน
แม่เล้ากลับมานั่งถอนหายใจ เมื่อเห็นหญิงสาวกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา ก็ตะโกนขึ้นมาทันที “เหม่ยเหนียง อยากตายหรืออย่างไรกัน ตอนร่ายรำใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แม้แต่รอยยิ้มก็ยังไม่มี จะเรียกแขกได้อย่างไรกัน เพราะสีหน้าของตัวซวยอย่างเจ้า จึงทำให้คนตกใจจนหนีไปหมดแล้ว”
“ช่างเถอะเจ้าค่ะท่านแม่ เมื่อคืนโจวอันคังผู้นั้นไม่ได้มานางคงจะคิดถึงเขามากกระมังเจ้าคะ” มีคนออกตัวแทนเหม่ยเหนียง จึงกระตุ้นต่อมโมโหของแม่เล้าอีกครั้ง
“คิดถึง ๆ วัน ๆ เอาแต่คิดถึงเจ้าผีอายุสั้นนั่น โจรสลัดนั่นฆ่าคนไปทั่ว เหตุใดถึงไม่ฆ่าเจ้าคนยากจนที่ไม่ได้เรื่องผู้นั้นไปด้วยกัน ยังไม่ไสหัวกลับห้องไปอีก ทำหน้าตาโศกเศร้าให้ใครดูกันฮะ”
แม่เล้าด่าจบ ก็บ่นพึมพำกลับห้องไป
…
ยามเที่ยงพระอาทิตย์ส่องแสงเจิดจ้า ไม่ได้ครึ้มฟ้าครึ้มฝนเหมือนเมื่อวานอีก ขับไล่หมอกควันไป ทำให้เมืองจินหลิงสว่างขึ้นมา
ในค่ายกองทัพเรือ มัตสึโมโตะสองพี่น้องถูกจับแยกอยู่ในรถคุมนักโทษคนละคัน ก่อนจะถูกคุมตัวออกมา ถนนทั้งสองฝั่งเต็มไปด้วยชาวบ้านที่มามุงดู ในมือแต่ละคนต่างถือก้อนหิน หมั่นโถว ผักเน่า ถุงเท้าเหม็นที่นำมาจากที่บ้านเพื่อเอาไว้ปาคน
ทันทีที่เห็นพวกโจรสลัดชาวบ้านก็เข้าไปทุบตี ถึงขั้นมีคนยกถังอุจจาระในบ้านออกมาสาดอีกด้วย เหม็นจนคนต่างก็ต้องวิ่งหนี
แต่กลับไม่มีใครห้าม
พวกเขาเคียดแค้นโจรสลัดพวกนี้มานานแล้ว!
ตายได้ดี! ตายได้ดีจริง ๆ! สูญพันธุ์ไปเลยยิ่งดี
“ตายซะเถอะ ตายแล้วไปลงนรกซะ” มีหญิงชราตามมาเพื่อเอายันต์สาปแช่งมาติดอีกด้วย
ฟุมิโอะ มัตสึโมโตะที่มือและเท้าถูกตัดไปแล้ว มีสภาพน่าขยะแขยงอย่างยิ่ง เขานอนหลับตาอยู่ตรงนั้น เดิมก็แทบจะทนพิษบาดแผลไม่ไหวอยู่แล้ว
คาโอริ มัตสึโมโตะที่ถูกพิษและได้ไป๋จิ่นเอาชีวิตกลับมาให้ จะตายก็ตายไม่ได้ ตลอดเวลาร่างกายจึงเหมือนถูกคนบิดจนขาดครั้งแล้วครั้งเล่า เจ็บปวดจนแทบไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อ ได้แต่นอนฟุบและชักกระตุกอยู่ในกรงขัง
ให้นางตายตอนนี้นางก็ยอม แต่น่าเสียดายที่นางยังไม่ตาย และชาวต้าจิ้นกลุ่มนี้ก็ไม่มีทางปล่อยให้นางตายง่าย ๆ เช่นกัน
เดิมหอฉวินฟางไม่ได้เปิดในเวลากลางวันอยู่แล้ว ทุกคนจึงเบียดกันอยู่ที่ชั้นบนเพื่อดูเรื่องสนุก ปากก็ด่าทอและสาปแช่งโจรสลัดเหล่านี้ให้ตายเร็ว ๆ
เดิมทีเฉินไห่คั่ววางแผนที่จะลากพวกเขาไปจัดการที่ลานประหาร แต่จี้จือฮวนเรียกร้องว่าต้องทำบนถนน และต้องเป็นบนถนนที่พลุกพล่านที่สุดอีกด้วย เพราะนางสงสัยว่ายังมีกากเดนโจรสลัดหลงเหลืออยู่
ด้วยเหตุนี้ มัตสึโมโตะสองพี่น้องจึงกลายเป็นเหยื่อล่อที่มีชีวิต และถูกพาตระเวนไปรอบเมือง โดยมีเหล่าทหารเรือเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด และจับตาดูว่าโดยรอบมีคนน่าสงสัยหรือไม่
เฉินไห่คั่วเลือกโจรสลัดสองสามคนที่มีความผิดร้ายแรงเช่นเดียวกันมาตัดสินประหารชีวิต เพื่อเป็นการเรียกน้ำย่อย ราษฎรจึงแห่แหนมาที่นี่ ทั้งกลัวทั้งอยากดู และมีคนส่งเสียงร้องให้กำลังใจดังลั่น
บรรดาผู้หญิงของหอฉวินฟางต่างก็มามุงอยู่ที่ริมหน้าต่าง และส่งเสียงจ้อกแจ้กจอแจไม่หยุด
ทันใดนั้นก็ได้ยินว่ามีแขกอยู่ด้านล่าง แม่เล้าจึงรู้สึกประหลาดใจ ช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ยังจะมีคนมาหาความสนุกด้วยหรือ?
แต่ในเมื่อมีคนมาถึงที่ นางย่อมไม่มีทางไล่กลับออกไปอยู่แล้ว จึงรีบพาคนไปเปิดประตู แต่ใครจะคิดว่าคนที่มาจะเป็นจี้จือฮวน
เคยเห็นแต่ผู้ชายที่มาหาผู้หญิง แต่ยังไม่เคยเห็นผู้หญิงมาหาผู้หญิงเช่นนี้มาก่อน
ทว่าท่านนี้เป็นแขกคนสำคัญของกลุ่มกองเรือ แม่เล้าจึงไม่สามารถล่วงเกินได้
จากนั้นจี้จือฮวนก็เอ่ยขึ้นมา “ข้ามาหาเหม่ยเหนียง นางอยู่หรือไม่?”
“อยู่เจ้าค่ะ ๆ นางไม่ยอมออกมารับแขก แต่ข้าจะพาท่านขึ้นไปหานางเองเจ้าค่ะ”
แม่เล้ากระตือรือร้นเป็นอย่างมาก เพราะตอนกลางวันมีนางเป็นแขกเพียงคนเดียว ดังนั้นจึงสั่งให้ห้องครัวเตรียมอาหารและเหล้าอย่างดี พร้อมส่งไปที่ห้องของเหม่ยเหนียงอีกด้วย
จี้จือฮวนก้าวเข้าไปด้านใน เหม่ยเหนียงคารวะนางด้วยท่าทางงดงาม “คารวะนายหญิงเจ้าค่ะ”
จี้จือฮวนก็ไม่ได้เข้าไปประคองนาง แต่กลับเดินไปที่ริมหน้าต่าง จากนั้นก็เปิดหน้าต่างออก “เหม่ยเหนียง คนอื่นล้วนกำลังดูเรื่องสนุกกันอยู่ เหตุใดเจ้าถึงไม่ไปดูด้วยเล่า?”
สีหน้าเหม่ยเหนียงไม่ค่อยสู้ดีนัก น้ำเสียงก็ยังสั่นเครือเล็กน้อย “ข้า…ข้ากลัวเจ้าค่ะ ข้าเป็นคนขี้ขลาด”
จี้จือฮวนจึงพูดอย่างนึกสนใจขึ้นมา “การประหารโจรสลัด เด็ก ๆ ต่างก็ไปดูกัน เจ้าดูผู้บุกรุกเหล่านี้สิ ไม่ช้าก็เร็วพวกเขาจะต้อง ‘ชดใช้’ ในสิ่งที่ตัวเองทำ และตอนนี้กำลังตัดสินโทษอยู่ เจ้าได้ยินเสียงกรีดร้องของพวกเขาหรือไม่ พวกเขาถูกเจาะรูบนศีรษะแล้วมีการเทโลหะหนักลงไป ไม่นานหัวหน้าใหญ่สองคนนั่นก็จะถูกประหารด้วยวิธีการหลิงฉือ*
เจ้าไม่รู้ว่าการประหารชีวิตด้วยวิธีการหลิงฉือ เป็นวิธีการตายแบบใดใช่หรือไม่?
เป็นการแล่เนื้อคนออกมาทีละชิ้น ๆ อย่างไรเล่า
ถึงเวลานั้นจะอยู่ก็ไม่ได้จะตายก็ไม่ได้ วิธีการลงโทษมีทั้งถลกหนัง หั่นครึ่งท่อน ใช้รถห้าคันดึงแยกร่างจนตาย บทลงโทษทั้งห้า** มีโจรสลัดถูกจับมามากมายเพียงนี้ คงเพียงพอที่จะลองทีละคน ๆ ได้สบาย เลือดที่สกปรกเหล่านั้นจะไหลออกมาจนแห้งไปในที่สุด!”
* หลิงฉือ (凌迟) หมายถึง วิธีประหารชีวิตรูปแบบหนึ่งของจีน โดยใช้วิธีแล่เนื้อออกเป็นชิ้น ๆ
** บทลงโทษทั้งห้า (五刑) หมายถึง บทลงโทษห้าระดับ ตั้งแต่โทษสถานเบาไปจนถึงโทษร้ายแรงสุด ได้แก่ การสักหน้าผาก ตัดจมูก ตัดเท้า ตอนอวัยวะเพศ และประหารชีวิต
จี้จือฮวนจ้องเหม่ยเหนียงโดยไม่ละสายตาจากสีหน้าของนางเลยแม้แต่น้อย จนกระทั่งเห็นนางเท้ามือลงกับโต๊ะ สีหน้าก็ซีดเซียวเป็นอย่างมาก จึงได้ถามด้วยความเป็นห่วงขึ้นมา “ดูเจ้าสิ เหตุใดถึงได้ตกใจเพียงนี้กัน?”
เหม่ยเหนียงมุมปากกระตุก “เปล่าเจ้าค่ะ ข้าแค่ทนฟังเรื่องเหล่านี้ไม่ได้จริง ๆ เจ้าค่ะ”
“อย่างนั้นหรือ?”
“โอ๊ย! มีคนมาปล้นนักโทษ!” จู่ ๆ ชาวบ้านที่อยู่ด้านล่างก็กรีดร้องขึ้นมาด้วยความตกใจ
“มีกากเดนโจรสลัด!”
‘ปัง ปัง ปัง!’
ด้านล่างสับสนวุ่นวายไปหมด ทุกที่ล้วนมีแต่เสียงคนต่อสู้กัน เหม่ยเหนียงเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจ “เกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ?”
จี้จือฮวนยิ้มออกมาเล็กน้อย “ดูเหมือนว่าจะมีคนมาปล้นนักโทษน่ะ”
เหม่ยเหนียงกะพริบตาปริบ ๆ เพื่อปกปิดอารมณ์ในดวงตา “เช่นนั้นพวกเขาจะบุกขึ้นมาหรือไม่เจ้าคะ ข้าต้องไปบอกท่านแม่ก่อน”
จี้จือฮวนพุ่งตัวหนึ่งทีก็ขวางหน้าเหม่ยเหนียงเอาไว้ได้แล้ว “รีบร้อนอะไรกัน เสียงดังเช่นนี้ นางย่อมได้ยินอยู่แล้ว เหล้าดีอาหารดี อย่าทำลายช่วงเวลาที่ดีเช่นนี้เลย”
จี้จือฮวนยื่นมือออกไป กดเหม่ยเหนียงให้กลับมาที่เดิม
เหม่ยเหนียงหันหน้ามา “ข้ายังไม่รู้เลยว่าวันนี้เหตุใดนายหญิงถึงมาหาข้าที่หอได้ ต้องการจะชมการร้องรำทำเพลงหรือเจ้าคะ?”
จี้จือฮวนส่ายหน้า หยิบหวีไม้เล่มหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ เมื่อเหม่ยเหนียงเห็นหวีไม้เล่มนั้น สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปและลุกขึ้นยืนทันที
จี้จือฮวนใช้ภาษาวอโค่วเอ่ยถามนาง “คาโอริมอบให้ข้า นางบอกว่าพี่หญิงเห็นหวีแล้ว ต้องเข้าใจความหมายของนางอย่างแน่นอน”
เหม่ยเหนียงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ปากของนางเม้มเป็นเส้นตรง และเมื่อพูดขึ้นมาอีกครั้ง กลับใช้ภาษาวอโค่วที่พูดได้อย่างคล่องแคล่ว “เจ้าเป็นคนของยามากุจิหรือ?”
รอยยิ้มของจี้จือฮวนพลันกว้างขึ้น “ไม่ใช่ ข้าเป็นพญายมที่มาเพื่อยืนยันตัวตนที่แท้จริงของสายลับอย่างเจ้า! อุเมะ มัตสึโมโตะ เจ้าช่างแสดงละครได้เก่งจริง ๆ!”
เอ่ยจบนางก็ลงมือโจมตีอย่างดุเดือด กรงเล็บเหล็กที่เจียงจือหวยมอบให้พุ่งไปที่ลำคอของเหม่ยเหนียงทันที