เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย - บทที่ 451 ฉลองปีใหม่
บทที่ 451 ฉลองปีใหม่
พวกท่านป้าหยางไม่ได้มาตัวเปล่า แต่ยังนำผักและผลไม้ที่ปลูกในหมู่บ้านมาด้วย แม้แต่ต้นหอมก็ยังสดใหม่อยู่เลย
“ข้าเอาน้ำแข็งมาแช่ไว้เป็นพิเศษด้วยนะ! ดูสิ ยังมีน้ำเกาะอยู่เลย อ่อ นี่เป็นของขวัญปีใหม่ที่คนของจวนจี้กั๋วกงเหล่านั้นขอให้นำมาให้ เป็นมันเทศที่พวกเขาปลูกเอง!”
จี้จือฮวนมองดูเล็กน้อย ปลูกได้ไม่เลวจริง ๆ
“อี เอ้อร์ ซาน ซื่อไม่ได้มาด้วย เพราะต้องคอยดูโรงดอกกุหลาบ แต่ก็มักจะพูดถึงพวกเจ้าอยู่ตลอด และอยากให้กลับไปเยี่ยมพวกเขาบ่อย ๆ ส่วนหัวหน้าคนงานที่คอยดูแลเหมืองทอง วันนี้ก็ได้หยุดกลับกันไปแล้วเช่นกัน โรงงานเครื่องประทินโฉมเองก็หยุดงานกันแล้ว บรรดาครอบครัวทหารต่างก็กลับบ้านไปฉลองปีใหม่ หมู่บ้านจึงเงียบเหงาลงไปถนัดตา ทุกคนต่างก็คิดถึงพวกเจ้ามาก”
ฟางจวิ่นเหมยพยักหน้าหงึก ๆ “พวกเราก็เลยมาหาพวกเจ้าที่จวน เพื่อดูว่าพวกเจ้ากลับมากันหรือยัง เห็นได้ชัดว่าสวรรค์คงอยากให้พวกเราได้พบกัน! นี่ไม่เท่ากับบังเอิญหรอกหรือ?”
เผยยวนจึงสั่งให้คนในจวนรีบเอาของเหล่านั้นไปเก็บที่ครัว ท่านป้าหยางรีบพูดขัดขึ้นมาทันที “จะเรียกแม่ครัวมาทำไม ให้คนในหมู่บ้านของเราทำเองดีกว่าถึงจะอร่อย พวกเจ้ารอกินรอดื่มได้เลย”
จากนั้นทุกคนจึงพากันเดินไปที่ห้องครัว ไม่ว่าจะมีฐานะอะไร ตำแหน่งอะไร หากเคยอยู่หมู่บ้านตระกูลเฉิน ก็จะพบว่าทุกคนล้วนชื่นชอบชีวิตที่เรียบง่ายและไม่โอ้อวดเช่นนี้
เมื่อถึงวันปีใหม่ ทุกคนในครอบครัวจึงมารวมตัวกันที่ลานเล็ก ๆ เพื่อตัดกระดาษประดับหน้าต่าง ติดกลอนคู่ และเปลี่ยนไม้ท้อที่แกะสลักเป็นรูปเทพเจ้าเฝ้าประตูที่ป้ายประตูอีกด้วย
“เหตุใดถึงมาอยู่ที่นี่กันหมดเล่า!” ฮวาเซียงเซียงสวมเสื้อกันหนาวสีชมพูกระโปรงสีทอง บนหัวก็สวมเครื่องประดับสีทองอร่าม ขับให้ใบหน้าที่สดใสงดงามของนางเปล่งประกายมากยิ่งขึ้น
“ฮวนฮวน พวกเจ้ากลับมาแล้วหรือ!” นางรีบวางของในมือลง ก่อนจะถลาตัวเข้าไปหา “ไหนว่าอีกสองวันจะมาถึงไม่ใช่หรือ แล้วพ่อข้าเล่า เขาตามกลับมาด้วยหรือไม่?”
“หัวหน้าฮวายุ่งจะตายไป และครั้งนี้ก็คงต้องลำบากเขาแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ได้กลับมาด้วย แต่กำชับข้าให้มาบอกเจ้าว่าให้เชื่อฟังมาก ๆ อย่ากำหนดเรื่องแต่งงานเอาเอง เพราะเรื่องแต่งงานไม่ควรรีบร้อน”
เซียวเย่เจ๋อที่เพิ่งก้าวเข้าประตูมามีสีหน้าไม่พอใจขึ้นทันที “ลูกพี่ฮวน นี่ท่านเข้าข้างคนอื่นอย่างนั้นหรือ?”
ไท่ซ่างหวงจึงตบเข้าที่ท้ายทอยของเขาหนึ่งที “เหลวไหล ข้าบอกให้เจ้าอ่านหนังสือให้มากก็ไม่ยอมตั้งใจเรียน ฮวนฮวนเข้าข้างเถ้าแก่เนี้ยฮวา จะเรียกว่าเข้าข้างคนอื่นได้อย่างไร เจ้าเป็นอะไรกับนางกัน! ไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย ดูท่าเจ้าก็ไม่ได้มีความจริงใจในการจะสู่ขอเถ้าแก่เนี้ยฮวาเลยนี่นา”
เซียวเย่เจ๋อถูกตบจนหน้าคะมำ “ข้าถูกใส่ร้ายขอรับ ข้าไม่ได้พูดอะไรเลยจริง ๆ นะขอรับ!”
เอี๋ยนเฉาก็เอาของขวัญปีใหม่มามอบให้พอดี เมื่อเห็นเซียวเย่เจ๋อถูกตีก็ส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข ตอนนี้เขานับว่าเป็นเจ้าหน้าที่เล็ก ๆ คนหนึ่งแล้ว เขาจึงหวีผมเงางาม พลางสะบัดผมอย่างมีความสุขแล้วพูดขึ้นมา “ถูกตีเป็นเรื่องปกติ ดังนั้นเจ้าควรทำตัวให้ชินเข้าไว้จะดีกว่า”
เซียวเย่เจ๋อจึงไม่พอใจขึ้นมาทันที “ข้าเหมือนกับเจ้าอย่างนั้นหรือ?!”
เอี๋ยนเฉาเพิ่งจะมากลับตัวกลับใจได้เมื่อไม่นานมานี้ ส่วนเขานั้นตั้งแต่ต้นก็คอยหนีจากความมืดเข้าหาแสงสว่าง อุทิศตนให้กับบะหมี่หอยขมตั้งนานแล้ว
ช่างเปิดหูเปิดตาจริง ๆ คนที่มาทีหลังกล้าเอาตัวเองมาเปรียบเทียบกับเขาอย่างนั้นหรือ?
เอี๋ยนเฉารู้สถานะของตัวเองดี จึงไม่โต้เถียงกับเซียวเย่เจ๋ออีก ตอนนี้ไท่ซ่างหวงได้แต่งตั้งให้เขาเป็นเจ้าหน้าที่พิเศษของสำนักตรวจการ รับผิดชอบในการสืบสวนทั้งที่เปิดเผยและเป็นความลับ ตระกูลใดจู่ ๆ ร่ำรวยขึ้นมา ล้วนเป็นเอี๋ยนเฉาที่มีหน้าที่ไปสืบว่าคนเหล่านั้นรับสินบนมาหรือไม่!
จะว่าไปแล้ว เจ้าเด็กนี่ก็มีความสามารถในการทำเรื่องพวกนี้มากทีเดียว ตอนนี้คนตระกูลเอี๋ยนต่างก็คาดหวังว่าเจ้าเด็กนี่จะประสบความสำเร็จในชีวิต คืนข้ามปีจึงได้เร่งให้เขานำของขวัญมามอบให้กับพวกไท่ซ่างหวงอย่างไรเล่า
ปีนี้แตกต่างจากปีก่อน ๆ ไท่ซ่างหวงกับหวงไท่ซุนเป็นคนคอยสั่งการในราชสำนัก ไม่เหมือนกับตอนเซี่ยเจินอยู่ ที่คอยแต่จะสั่งให้จัดงานเลี้ยงฉลองใหญ่โตขึ้นในวังหลวงในวันปีใหม่ เมื่อมาถึงก็ต้องนั่งนิ่งจนถึงครึ่งค่อนคืนจึงจะกลับได้ เพื่อดูการร้องรำทำเพลงที่พวกเขาดูจนเบื่อมานานแล้ว
หากไม่ใช่เพราะต้องบวงสรวงเทพยดาฟ้าดินซึ่งเป็นพิธีสำคัญ ไท่ซ่างหวงก็อยากจะอยู่ที่จวนเนี่ยเจิ้งอ๋องกับหวงไท่ซุน เพราะท่านอ๋องคนอื่น ๆ ก็ล้วนมาคารวะที่นี่เช่นกัน
ถึงจะบอกว่าไม่อนุญาตทว่าเจ้าหน้าที่คนอื่นก็มาอยู่ดี แต่ไท่ซ่างหวงก็ได้บอกอย่างชัดเจนแล้วว่าไม่ต้องเข้ามารบกวน คาดว่าคงจะยัดเทียบอวยพรปีใหม่มาทางช่องว่างของประตูเป็นแน่
ต้าจิ้นเดิมก็มีธรรมเนียมปฏิบัติ ในช่วงเทศกาลปีใหม่ ระหว่างขุนนางมักจะนิยมส่งเทียบให้กัน หรือที่เรียกกันว่าส่งเทียบคารวะปีใหม่ โดยจะให้คนรับใช้ของตระกูลนำเทียบของตนเองไปให้บ้านเจ้าหน้าที่ที่ต้องการสานไมตรีหรือว่าเยี่ยมเยียน
ตอนนี้ไท่ซ่างหวงและหวงไท่ซุนต่างก็อาศัยอยู่ที่นี่ พวกเขาจะไม่รีบเอาเทียบเชิญมามอบให้ได้อย่างไรกัน
ด้วยเหตุนี้พวกหลิวเฟิงจึงเอาตะกร้าสองสามใบไปวางเพื่อรับเทียบเชิญโดยเฉพาะ เพื่อไม่ให้พวกเขาโยนจนเกลื่อนหน้าประตู ไม่อย่างนั้นหากพวกนายน้อยไปเหยียบเข้าแล้วเกิดลื่นล้มขึ้นมาต้องแย่แน่
มีดเล่มใหญ่ของเผยเสี่ยวเตาที่วางไว้บนโต๊ะ ได้เริ่มแล่เนื้อเป็นชิ้น ๆ แล้ว โดยทุกชิ้นจะต้องมีความหนาเท่ากัน จึงจะทำหม้อไฟได้อร่อย
ส่วนเว่ยเจ๋อเซิงเป็นคนละเอียดอ่อน จึงรับผิดชอบเรื่องการจัดจานผลไม้ ไม่เพียงเท่านั้น เขายังสามารถจัดจานผลไม้เป็นรูปธาตุทั้งห้าและเข็มทิศแปดเหลี่ยมได้อีกด้วย
จวนเนี่ยเจิ้งอ๋องทั้งใหญ่โตและกว้างขวาง ดังนั้นโคมไฟใต้ชายคาจึงเพียงพอให้เยว่พั่วหลัวยุ่งจนถึงวันที่ห้าของปี แต่ไม่มีใครไปเรียกนาง ทว่าอย่างไรเสียเมื่อได้กลิ่นหอมของอาหาร นางย่อมกลับมาตรงเวลาอย่างแน่นอน
จี้จือฮวนไม่ได้เข้าครัวมานาน ทุกคนล้วนสั่งในสิ่งที่พวกเขาอยากกิน เผยยวนจึงอาสานวดแป้งให้ แต่เนื่องจากแรงเยอะเกินไป จึงทำให้มีรอยกำปั้นรอยหนึ่งประดับอยู่บนอ่างเหล็กที่ใช้นวดแป้ง
อาชิงยืนอยู่บนม้านั่งตัวเล็ก และช่วยนวดแป้งเกี๊ยว แต่น่าเสียดายที่เกี๊ยวที่ปั้นออกมามีรูปร่างแปลก ๆ
น้ำร้อนเดือดพล่านอยู่ในหม้อ ส่วนน้ำมันหมูก็กำลังเดือดปุด ๆ กลิ่นหอมฟุ้งกระจายไปทั่ว จี้จือฮวนได้ร่างรายการอาหารค่ำวันส่งท้ายปีเก่าเอาไว้ตั้งแต่ตอนที่อยู่บนเรือแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องให้ทั้งเด็กและคนแก่ในครอบครัวได้กินกันอย่างมีความสุขให้ได้ คืนนี้ยังต้องอยู่โต้รุ่งเพื่อส่งท้ายปีเก่าอีก
…
เซี่ยห่วงกลับมาจากในวังพร้อมหน้าตาที่มอมแมม เสื้อผ้าที่สวมอยู่ก็ขาดรุ่งริ่ง พลางเหลือบมองชายที่ยืนนิ่งอยู่ที่ประตู “เจ้าเป็นใครกัน?”
ฉู่จิ้นมองหน้าเขาเล็กน้อย คิดว่าคงเป็นเด็กดื้อที่ไหน เลยไม่ได้สนใจเขา
เซี่ยห่วงจึงเคาะประตู “เปิดประตู! ข้าเจ้าสิบ!”
ฉู่จิ้นรีบขยับตัวทันที “เจ้าสามารถเข้าไปได้หรือ?”
เซี่ยห่วงสูดน้ำมูกเล็กน้อย “อืม เจ้าจะทำอะไร?”
“เช่นนั้นฝากเจ้าไปบอกเนี่ยเจิ้งอ๋องและพระชายาให้ข้าที บอกว่าข้าคือฉู่จิ้น ตั้งใจมาขออภัย หวังว่าพวกเขาจะให้โอกาสข้าสักครั้ง”
เซี่ยห่วงเกาหัว เมื่อประตูเปิดออกเขาก็รีบวิ่งเข้าไปอย่างรวดเร็ว อาอินกำลังหอบฟืนแห้งไปที่ห้องครัว เมื่อเห็นสภาพของเขาที่เหมือนไปกลิ้งโคลนมาก็ได้ทักขึ้น “เจ้าไปทำอะไรมา?”
เมื่อเซี่ยห่วงเห็นนางก็แทบจะร้องไห้ออกมา “ข้าถูกคนรังแกมา”
“ใครรังแกเจ้า?!” อาอินเอามือเท้าเอวแล้วถามออกมา
“ลูกชายของอันชินอ๋อง ตามหลักแล้วข้าต้องเรียกเขาว่าท่านพี่”
“เจ้าเป็นว่าที่ท่านอ๋อง หากไม่ใช่เพราะตอนนี้อายุยังน้อย คงได้รับการแต่งตั้งไปตั้งนานแล้ว เขารังแกเจ้าทำไมกัน?”
เซี่ยห่วงเบะปาก “พวกเขาบอกว่าข้ากินเก่งแล้วก็อ้วน ทั้งยังโง่อีกด้วย บอกว่าต่อไปเมื่อหลานชายครองราชย์เป็นฮ่องเต้แล้ว ข้าก็เป็นได้แค่สุนัขรับใช้ที่คอยเลียแข้งเลียขา และยังบอกอีกว่าพี่ใหญ่ข้าเป็นคนทรยศ ข้าก็สมควรติดคุกด้วย และอาจเป็นข้าที่ขายพี่ใหญ่เสียเอง ข้าโมโหจนทนไม่ไหวก็เลยสู้กับพวกเขา…แต่สุดท้ายก็สู้ไม่ได้”
อาอินโมโหอย่างมาก “สมองอย่างเจ้าเป็นไส้ศึกได้ด้วยอย่างนั้นหรือ? เซี่ยซั่วนั่นต่างหากที่เป็นบ้าไปแล้ว ทำไม พวกเขาไม่พอใจที่พี่ใหญ่ข้าสามารถขึ้นเป็นฮ่องเต้ได้อย่างนั้นหรือ?”
เซี่ยห่วงส่ายหน้า “ไม่รู้ แต่สรุปก็คือพวกเขาด่าข้า”
อาอินเบ้ปาก “นำทาง ข้าจะพาเจ้าไปทวงความยุติธรรม”
“เจ้าเป็นเด็กผู้หญิง จะสู้ได้อย่างไร…สูด เจ้าจะไปจริงหรือ?”
“เจ้าดูสภาพเจ้าตอนนี้สิ ปีใหม่ทั้งทีถูกคนตีจนมีสภาพเช่นนี้ อย่างไรเสียเจ้าก็เป็นกุยช่ายของหมู่บ้านตระกูลเฉินของเรา จะให้คนอื่นมารังแกได้อย่างไร?! ไป!” อาอินวางฟืนลง ก่อนจะพาเซี่ยห่วงออกไปข้างนอก