เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย - บทที่ 456 ความปรารถนาในปีใหม่
บทที่ 456 ความปรารถนาในปีใหม่
ภายในห้องขังอันมืดมิด อันชินอ๋องด้านหนึ่งถูกทรมาน ด้านหนึ่งก็เริ่มสาปแช่งอย่างเลวร้าย แค่ด่าเผยยวนว่าเป็นคนชั่วที่ร้ายกาจ ก็ไม่รู้ว่าด่าซ้ำไปซ้ำมากี่รอบแล้ว
ทว่าเผยยวนกลับไม่มีสีหน้าสะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย ไม่เพียงเท่านั้นยังนั่งรอคนนำของที่ค้นได้จากจวนอันชินอ๋องมาส่งให้อย่างใจเย็นอีกด้วย
เมื่อเห็นว่ากางเกงซับในของตัวเองแทบจะถูกเผยยวนถอดออกจนหมดอยู่แล้ว อันชินอ๋องก็เริ่มด่าจี้จือฮวนว่าเป็นนางปีศาจ
เผยยวนที่เดิมกำลังค้นหาของอยู่นั้นก็ชะงักมือทันที ใบหน้าพลันถมึงทึงขึ้นมา
“นิ่งอยู่ทำไมกัน คนผู้นี้แม้แต่ภาษามนุษย์ก็พูดไม่เป็น ยังไม่ไปเอาที่ล้างส้วมมาล้างปากให้เขาอีก”
คนของกรมอาญาสบตากันเล็กน้อย ก็ให้คนรีบไปทำตามทันที เดิมคิดว่าเผยยวนจะเป็นเหมือนก่อนหน้านี้ ปล่อยให้พวกเขาเป็นคนทำ แต่ใครจะคิดว่าเมื่อของมาถึง เผยยวนจะลงมือด้วยตัวเอง ด้วยการเอาที่ล้างส้วมอันนั้นแทงเข้าไปในปากของอันชินอ๋อง คว้านจนเลือดไหลออกมา จากนั้นก็ซัดหมัดลงไป จนทำให้ฟันปลอมของอันชินอ๋องกระเด็นออกมา
“เจ้ากล้าต่อยข้าหรือ! คนชั่วต่างแซ่อย่างเจ้ากล้าต่อยข้าอย่างนั้นหรือ! บ้านเมืองนี้ยังแซ่เซี่ยอยู่! เจ้าสารเลว”
เผยยวนกดหัวของเขาลงไปในกระทะน้ำมัน ลวกจนทำให้ใบหน้าของเขาเปลี่ยนไปจึงได้ดึงขึ้นมา
“บ้านเมืองแซ่อะไรแล้วเกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย? เจ้าก็แค่เศษสวะที่อาศัยร่มเงาของบรรพบุรุษ โอ้อวดว่าตัวเองสูงส่งกว่าคนอื่น บนโลกนี้ใครก็ตามที่เป็นราษฎรของต้าจิ้นล้วนมีสิทธิ์พูดคำพูดนี้ แต่เจ้าไม่คู่ควรที่จะพูดมัน
เป็นแค่กบฏมีหน้าอะไรมาร้องเอะอะโวยวายที่นี่กัน!”
อันชินอ๋องถูกกดลงบนพื้นอย่างแรงอีกครั้ง กะโหลกศีรษะจึงกระแทกลงไป อย่าว่าแต่เวียนหัวจนดวงตาทั้งสองข้างมองเห็นดาวเลย เขายังรู้สึกว่าตนเองใกล้จะตายเต็มทีแล้ว
เผยยวนต่อยลงไปหมัดแล้วหมัดเล่า กระแทกลงไปทั้งแรงทั้งดุดัน ไม่ให้โอกาสเขาได้มีชีวิตอยู่ต่ออีก!
“เจ้า…หรือเจ้าไม่อยากรู้ว่าข้าให้ทหารไปดักซุ่มอยู่ที่ใดอย่างนั้นหรือ?!”
เผยยวนเอ่ยเยาะเย้ย “สิบกว่าขวบข้าก็อยู่ในสนามรบแล้ว ตอนที่ข้าซุ่มโจมตีพันลี้เพื่อเอาชีวิตหัวหน้าของศัตรู เฒ่าทารกอย่างเจ้ายังเมาเหล้าฟังเพลงอยู่ในห้องที่อบอุ่นอยู่กระมัง กองกำลังที่ดักซุ่มของเจ้าอย่างนั้นหรือ? หาได้อยู่ในสายตาของทหารเกราะเหล็กของข้าไม่!
ดังนั้นเจ้าไม่อยากพูดก็ไม่ต้องพูด”
จนกระทั่งอันชินอ๋องหายใจรวยริน แม้แต่ดวงตาก็ลืมไม่ขึ้นอีก เผยยวนจึงได้โยนเจ้าคนผู้นี้ออกไปราวกับโยนสุนัขตายตัวหนึ่งก็มิปาน
เขารับผ้าเช็ดหน้าที่ผู้คุมส่งมาให้เช็ดมือตัวเอง พลางมองดูท้องฟ้าด้านนอกแล้วพูดขึ้น “ที่เหลือมอบให้พวกเจ้าจัดการต่อ หากไม่ยอมพูดก็จับคนในจวนเขาทั้งหมดมา ไม่ต้องไว้หน้า แค่คนตายก็เท่านั้น”
ผู้ที่ก่อกบฏไม่มีทางเก็บสายเลือดเอาไว้ เพื่อรอให้อีกฝ่ายมาแว้งกัดอย่างแน่นอน
คนที่ใจอ่อนไม่เหมาะที่จะเป็นผู้นำกองทัพ เผยยวนก็ไม่เคยเป็นแม่ทัพที่ชอบการประนีประนอมเช่นกัน
ตอนที่เขาออกมาจากกรมอาญา เจ้าหน้าที่ทั้งกลุ่มก็น้อมส่งเขาจนจากไป เมื่อพวกเขาหันมามองอันชินอ๋องอีกครั้ง ในใจก็เต็มไปด้วยความโมโห
เนี่ยเจิ้งอ๋องเกรงกลัวและรักใคร่ภรรยา จะรีบกลับบ้านไปฉลองปีใหม่กับภรรยาและลูก ๆ บนเตียงอุ่น ๆ
แต่พวกเขากลับโชคร้าย พวกเขาทำงานเหนื่อยมาทั้งปี ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ราชวงศ์จะมีการเปลี่ยนแปลง บัลลังก์เปลี่ยนมือ แล้วยังสามารถรักษาหมวกขุนนางนี้เอาไว้ได้ เหตุใดวันส่งท้ายปีเก่าพวกเขาถึงได้โชคร้ายเพียงนี้กัน
“ปลุกมันขึ้นมา!!! สอบสวนให้หนัก ดูสิว่ากระดูกมันจะแข็ง หรือว่าวิธีการของเราจะแข็งมากกว่ากัน!”
บัดซบ พวกเขาไม่สามารถอยู่ฉลองปีใหม่ได้ เจ้าสารเลวผู้นี้ก็อย่าคิดว่าจะได้อยู่ดีเลย!
…
ตอนที่เผยยวนกลับมาถึงจวน อาหารก็ขึ้นโต๊ะจนเกือบครบแล้ว
กลอนคู่และกระดาษประดับหน้าต่างที่จวนล้วนติดเสร็จแล้ว เป็นระเบียบอย่างมาก แค่ดูก็รู้ว่าผ่านการอนุมัติจากเยว่พั่วหลัวแล้ว
กลิ่นหอมของหม้อไฟคลุกเคล้ากับอาหาร ที่ลานบ้านก็มีการวางประทัดเอาไว้ รอเพียงเผยยวนกลับมาเฉลิมฉลองเท่านั้น
ฉู่จิ้นถูกคนกดให้นั่งลงที่โต๊ะอาหารอย่างอึดอัด แม้แต่ตะเกียบก็ไม่กล้าหยิบ
ใครบอกเขาได้บ้างว่าเหตุใดไท่ซ่างหวงถึงอยู่ที่นี่ด้วย? ยังมีองค์หญิงใหญ่อีก นี่เขามีดีอะไรถึงได้มาอยู่ตรงนี้!
อาอินนั่งลงที่นั่งตัวเองแล้วเอ่ยกับเขา “เจ้ากินเถอะ กินเสร็จแล้วค่อยกลับบ้านไปอยู่โต้รุ่งข้ามปี”
ฉู่จิ้นเงยหน้าขึ้น “ครอบครัวข้าไม่ได้อยู่ที่เมืองหลวง”
ระหว่างที่เขาพูด เผยยวนก็เข้าไปในห้องโถงด้านในแล้ว ภายในห้องนั้นอบอุ่นเป็นอย่างมาก ว่ากันว่าคืนนี้หิมะจะตก ทุกคนจึงเตรียมพร้อมที่จะโต้รุ่งข้ามปีกันภายในห้อง ชมหิมะ ดื่มเหล้า และเล่นไพ่นกกระจอกกัน
แต่เมื่อได้ยินคำพูดของฉู่จิ้น เผยยวนก็เอ่ยขึ้นมา “เช่นนั้นก็ไม่ต้องกลับไปแล้ว อยู่ที่จวนนี่แหละ”
ฉู่จิ้นรีบลุกขึ้นยืน “ตอนนี้ข้าพักอยู่ที่โรงเตี๊ยม ไม่รบกวนพวกท่านดีกว่าขอรับ”
“เป็นลูกผู้ชายจะต้องพูดมากอะไรกัน” เมื่อเผยยวนนั่งลง ไท่ซ่างหวงจึงเอ่ยถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึมทันที “ยอมพูดความจริงหรือยัง?”
เผยยวนส่ายหน้า “คาดว่าคงเป็นทหารที่อยู่ในมือของเขาจริง ๆ เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องคงมีไม่มาก คิดว่าคงเป็นเพราะจู่ ๆ ก็คิดแผนการขึ้นมาได้ จึงจะอาศัยตอนที่ข้าไม่อยู่ในเมืองหลวงจัดการท่านกับอาฉือก่อน แต่ทหารที่อยู่ในมือของเขาพวกนั้น เกรงว่าแม้แต่จะล้อมเมืองหลวงก็ยังทำไม่ได้ ดังนั้นคงต้องการสกัดระหว่างทางที่พวกท่านจะไปสุสานหลวงก็เท่านั้น ไม่พอจะสร้างปัญหาได้หรอกขอรับ
คนของจวนอันชินอ๋องเหล่านั้น ต้องมีสักคนที่จะยอมสารภาพ ท่านไม่ต้องกังวลเกินไปหรอกขอรับ”
ไท่ซ่างหวงที่กำลังจะโมโห ก็ถูกองค์หญิงใหญ่เกลี้ยกล่อมด้วยน้ำแกงชามหนึ่งเสียก่อน “เลิกโมโหได้แล้ว คนเหล่านั้นกับเรื่องพวกนี้ ควรคิดได้ตั้งนานแล้วไม่ใช่หรือ? หากว่าพวกเขาอยู่กันอย่างสงบเสงี่ยม ข้ายังรู้สึกว่าผิดปกติเกินไปเสียอีก”
“ใช่แล้วขอรับท่านทวด วันนี้เป็นวันส่งท้ายปีเก่า อย่าได้โมโหเพราะคนและเรื่องที่ไม่มีค่าเหล่านี้เลยขอรับ การที่พวกเราทั้งครอบครัวได้อยู่กันอย่างมีความสุขพร้อมหน้าพร้อมตาต่างหากที่สำคัญที่สุด”
หลี่ฮองเฮากับท่านป้าหยางเดินออกมาจากในครัว ได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าเห็นด้วย “ใช่แล้วเพคะ”
โต๊ะกลมตัวใหญ่ตอนนี้ในที่สุดก็ครบแล้ว
ไท่ซ่างหวงพยักหน้าให้พวกเขา แล้วจึงยกน้ำแกงบำรุงร่างกายของตัวเองขึ้นมา “ทุกคนพูดถูกแล้ว หิมะตกวันส่งท้ายปีเก่าเป็นลางบอกว่าปีหน้าจะอุดมสมบูรณ์ ไม่ควรเก็บความโมโหไปจนถึงปีหน้าด้วย ไม่ต้องพูดถึงคนเหล่านั้นอีก ผ่านไปหนึ่งปีพวกเด็ก ๆ ก็ล้วนโตขึ้นอีกหนึ่งปี ตาแก่อย่างข้าก็ไม่มีความหวังอะไร หวังแค่ว่าสวรรค์จะสามารถประทานอายุให้ข้าอีกสักหน่อย ได้เห็นอาฉือครองราชย์เป็นฮ่องเต้อย่างราบรื่น แต่งงานและมีลูก ต้าจิ้นของเรามั่นคง
อายวนกับฮวนฮวนมีลูกของตัวเองหลาย ๆ คนเร็ว ๆ อาชิงตัวสูงขึ้น อาอินก็สามารถเรียนรู้ได้มาก ๆ”
เจ้าตัวเล็กทั้งสองจึงยิ้มจนตาหยีและกอดกันแน่น
ไท่ซ่างหวงพูดไป ก็ล้วงอั่งเปาออกมามอบให้พวกเขา
แม้แต่เซียวเย่เจ๋อก็ไม่มีตกหล่น
“เจ้าสิบเอ๊ย ปีใหม่นี้ปู่มีความปรารถนาในตัวเจ้าเพียงอย่างเดียวเท่านั้น”
เซี่ยห่วงสูดจมูกเล็กน้อย “อะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“ลดน้ำหนักลงสักหน่อย เพราะเจ้าผายลมเหม็นมาก ไม่อย่างนั้นต่อไปจะไม่มีใครมาเป็นพระชายาของเจ้านะ”
เซี่ยห่วงใบหน้าแดงเรื่อขึ้น ก่อนจะเอ่ยด้วยความเขินอาย “อะไรกัน คืนส่งท้ายปีเก่ามาพูดเรื่องน่าอายของคนอื่นได้อย่างไรกัน”
อาอินกลอกตามองบน “เจ้ายังมีหน้ามาพูดอีก หากไม่ใช่เพราะจู่ ๆ เจ้าก็ผายลมออกมา จะถูกคนจับได้อย่างนั้นหรือ”
เซี่ยห่วงมุ่ยปาก “เช่นนั้น…เช่นนั้นข้าจะกินน้อยลงก็ได้”
เดิมหลี่ฮองเฮาก็ไม่ค่อยชอบเซี่ยห่วง เพราะเขาถูกซูเฟยตามใจจนเสียคน แต่ตอนนี้ดูเขาเมื่อได้มาอยู่ข้างกายไท่ซ่างหวง ก็นับว่ายังเป็นเด็กที่พอใช้ได้อยู่
แต่นางก็ไม่ถึงขั้นจะสามารถให้อภัยแม่ของเขาได้ ความคิดทั้งหมดของนางในตอนนี้ล้วนจดจ่ออยู่ที่อาฉือ
“จะว่าไปแล้ว ข้ามีเรื่องอยากจะขอพระเมตตาสักอย่างจากเสด็จพ่อเพคะ” องค์หญิงใหญ่เอ่ย
“เจ้าว่ามา”
“เสิ่นหงเหวิน ผู้ตรวจการของหลูโจวผู้นั้น หลังจากที่ข้ากลับมาเมืองหลวงก็ได้ตรวจสอบดู จึงได้รู้ว่าเขาเป็นวงศ์ตระกูลเดียวกับเสด็จแม่ ล้วนเป็นคนของตระกูลเสิ่นเหมือนกัน เพียงแต่เสิ่นหงเหวินเป็นญาติห่าง ๆ มิน่าเล่า ตอนที่ข้าเห็นหน้าลูกสาวเขาครั้งแรกก็รู้สึกคุ้นเคยยิ่งนัก ข้าอยากรับเด็กคนนั้นเข้าวังเป็นสหายของอาฉือ ฮองเฮาคิดว่าอย่างไร?”
ตระกูลเสิ่นเป็นตระกูลเดิมของเสิ่นหรง และเสิ่นหรงก็เป็นแม่ของอาฉือ ฮองเฮาย่อมไม่คัดค้านแต่อย่างใด
เผยยวนเมื่อได้ยินเรื่องตระกูลเสิ่น ก็คิดถึงแม่แท้ ๆ ของตัวเองขึ้นมา และเกิดความสนใจเสิ่นเยี่ยนชิวผู้นั้นขึ้นมาหลายส่วน จึงเอ่ยปากถามขึ้น “อาฉือ ใช่แม่หนูที่เจ้ามักจะพูดถึงบ่อย ๆ ใช่หรือไม่?”
อาฉือใบหน้าแดงเรื่อขึ้นมาทันที “ข้าไม่ได้พูดถึงบ่อย ๆ นะขอรับ พวกเราแค่ถกเรื่องหนังสือกวีกันก็เท่านั้น”