เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย - บทที่ 493 เขาก็คืออาเหริ่น
บทที่ 493 เขาก็คืออาเหริ่น
เผยยวนลงจากม้าก่อน แล้วจึงอุ้มจี้จือฮวนลงมา เด็กทั้งสองคนก็ถูกเผยยวนอุ้มออกมาจากตะกร้าไม้ไผ่ด้วย คนตัวเล็ก ๆ ต้องมายืนอยู่ท่ามกลางหิมะ ดังนั้นเพื่อให้ดูสะดุดตาขึ้น สีเสื้อผ้าที่จี้จือฮวนเลือกให้พวกเขาจึงฉูดฉาดอย่างมาก
หญิงชราอายุมากแล้ว ผมยาวของนางถูกถักเป็นเปียเล็ก ๆ ตามธรรมเนียมของชนเผ่าหมาป่า ศีรษะประดับด้วยขนสัตว์ และใช้ไม้ค้ำกระดูกสัตว์อันหนึ่งค้ำร่างเอาไว้ มีหมาป่าหิมะคลอเคลียอยู่ที่ขาของนาง ก่อนเดินมาหาพวกเขา
ดวงตาที่ขุ่นมัวจับจ้องไปที่เด็กทั้งสองคน จากนั้นก็ยื่นมือออกไปด้วยความตื่นเต้น
อาอินตกใจจนถอยไปอยู่ด้านหลังของจี้จือฮวน มองดูพวกเขาอย่างหวาดระแวง
หญิงชราผู้นั้นก็ไม่ได้บังคับ และหลังจากฮวาหลางเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้จบแล้ว นางจึงพยักหน้าและพูดขึ้น “แขกที่มาจากแดนไกล เชิญตามข้ามา”
ทุกคนต่างก็ตื่นตาตื่นใจกับที่อยู่อาศัยของเผ่าหมาป่าเป็นอย่างมาก แต่หมาป่าหิมะเหล่านั้นมักจะส่งเสียงคำรามต่ำในลำคอเป็นระยะ ราวกับว่าพวกมันพร้อมจะโจมตีได้ทุกเมื่อ
จี้จือฮวนจึงให้พวกฮวาหลางอุ้มครอบครัวหมาป่าหิมะที่ถูกพันแผลเข้าไปก่อน จากนั้นจึงเดินตามเข้าไปในเขตแดนของเผ่าหมาป่า
พวกเขาตรงเข้าไปในบ้านน้ำแข็งหลังที่ใหญ่ที่สุด ด้านในบุด้วยพรมและขนสัตว์เพื่อใช้ป้องกันความเย็นเอาไว้จนเต็มไปหมด และยังมีเนื้อแช่แข็งประเภทต่าง ๆ ถูกเก็บไว้ด้านในอีกด้วย
หญิงชราหมุนกายมาแนะนำตัว “ข้า…ชื่ออูหลาง…เป็นแม่หมอคนปัจจุบันของเผ่าหมาป่า”
เผยยวนจึงเอ่ยถามออกไป “พ่อหมอเจาหลางเล่า?”
อูหลางประหลาดใจ “เจ้ารู้จักเขาหรือ? เขาไม่อยู่แล้ว…ข้าเป็นภรรยาของเขา”
เผยยวนคิดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นเช่นนี้ไปได้
“ไม่ทราบว่าท่านย่าอูหลางยังจำตอนที่พั่นโจวมีกบฏได้หรือไม่ ที่มีทหารม้าของต้าจิ้นกลุ่มหนึ่งผ่านมา แม่ทัพหนุ่มที่เป็นผู้นำทัพในตอนนั้นก็คือข้าเองขอรับ”
อูหลางราวกับจมลงไปในความทรงจำ “มีเรื่องเช่นนี้จริง ๆ เวลานั้นเผ่าของเรายังรุ่งเรืองอยู่”
เผยยวนก็จำได้เช่นกัน ในเวลานั้นเผ่าหมาป่าได้กระจายไปทั่วทุ่งหิมะ เมื่อหมาป่าหอนขึ้นมาทุกคนก็จะแห่กันไปหา
คนหนึ่งพันคนสามารถต่อกรคนหนึ่งหมื่นคนได้ แต่ตอนนี้เผ่าหมาป่ากลับตกต่ำลงอย่างมาก สมาชิกที่เหลือส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้หญิงและเด็ก
อูหลางนั่งลงบนพื้น “ข้าได้ยินฮวาหลางบอกว่าพบลูก ๆ ของอาเหริ่นแล้ว ดังนั้นจึงพาพวกเจ้ามาที่นี่เพื่อทำความรู้จัก”
เผยยวนกับพวกจี้จือฮวนก็ตามนางเข้าไป ก่อนจะขัดสมาธิลงกับพื้น แม้จะมีพรมหนา ๆ รองอยู่ แต่ก็ยังรู้สึกได้ถึงความหนาว ไม่รู้ว่าพวกเขาทนความหนาวเย็นเพียงนี้ได้อย่างไรกัน
ดวงตาของอูหลางยังคงจ้องมองไปที่เด็กทั้งสองคนอย่างไม่วางตา แววตาคู่นั้นเผยให้เห็นถึงความเอ็นดูที่หาได้ยากยิ่ง
เผยยวนจึงเอ่ยขึ้น “เป็นเช่นนั้นจริง ๆ แต่ข้าในฐานะพ่อของเด็ก ๆ ไม่สามารถคืนตัวเด็ก ๆ ให้พวกท่านส่งเดชได้ พวกเขาบอกว่าอาเหริ่นไม่สะดวกไปรับเอง ดังนั้นพวกเราจึงมาเยี่ยมเขาที่เผ่าของพวกท่านแทน นี่ก็เป็นการตัดสินใจของเด็กทั้งสองคนเอง”
อูหลางพยักหน้ารับรู้ “อาเหริ่นอยู่ที่นี่”
ทุกคนตกตะลึงทันที บ้านน้ำแข็งเล็กเพียงเท่านี้ มองแวบเดียวก็เห็นหมดแล้ว จะมีอีกคนซ่อนอยู่ได้อย่างไร?
เยว่พั่วหลัวตัวสั่นเทาขึ้นมา “ท่านย่า คำพูดของท่านช่างน่ากลัวยิ่งนัก!”
อูหลางส่ายหน้า “ข้าไม่ได้จะทำให้พวกเจ้ากลัว”
นางพูดไปก็พยายามลุกขึ้นอย่างยากลำบาก เดินกะโผลกกะเผลกเล็กน้อย ก่อนจะใช้ไม้เท้าเลิกหนังสัตว์ผืนหนึ่งที่กั้นอยู่ออก ด้านในมีชายผู้หนึ่งนอนหลับอยู่ ทั่วร่างกายมีน้ำแข็งบาง ๆ ปกคลุม บนคิ้วที่หนาของเขาก็มีเกล็ดหิมะสีขาวเกาะอยู่ ผิวที่เดิมควรจะเป็นสีดำ ตอนนี้กลับขาวราวกับถูกแช่อยู่ในน้ำ อีกทั้งใบหน้านั้นก็หล่อเหลาและมีความคล้ายคลึงกับอาอินเป็นอย่างมาก แม้จะเห็นเพียงด้านข้าง แต่ทุกคนก็สามารถมองออกได้ทันที
มิน่าเล่า คนของเผ่าหมาป่าแค่เห็นเด็ก ๆ ก็มั่นใจอย่างมาก
“นี่ก็คืออาเหริ่น”
ทุกคนต่างก็ยืนขึ้นและเข้ามาดูใกล้ ๆ รูปร่างของชายผู้นี้ก็เหมือนกับผู้ชายในเผ่า สูงใหญ่ทรงพลัง แต่อาจเป็นเพราะเขานอนมาเป็นเวลานาน จึงทำให้กล้ามเนื้อลีบลง และดูผอมบางกว่าคนปกติ
อาอินกับอาชิงมองไม่เห็น เผยยวนกับจี้จือฮวนจึงอุ้มพวกเขาขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะมองอาเหริ่นอย่างพิจารณา
“พี่หญิง เขาเหมือนท่านมากเลย”
อาอินกะพริบตาปริบ ๆ จู่ ๆ ก็อยากจะร้องไห้ออกมาโดยไม่รู้ตัว
จี้จือฮวนขมวดคิ้ว ท่าทางของเขามองไม่ออกจริง ๆ ว่าเป็นหรือตาย
“ท่านย่าอูหลาง เขา?”
อูหลางถอนหายใจออกมา “เขาถูกเทพเจ้าสาป เขาไม่สามารถตื่นขึ้นมาได้อีกแล้ว”
ไป๋จิ่นกับเยว่พั่วหลัวสบตากัน “เป็นไปไม่ได้ บนโลกนี้มีคำสาปของเทพเจ้าที่ใดกัน พวกเราเชื่อว่าเป็นฝีมือของคนมากกว่า ท่านย่า หากว่าท่านเชื่อพวกเราก็ให้พวกเราลองรักษาดู”
อูหลางไม่ได้ตอบ นางยังคงระแวงคนนอก แต่ยังยอมพูดกับเด็กทั้งสองคน “เด็ก ๆ มา…พวกเจ้ามาพูดกับอาเหริ่นสักหน่อยสิ”
อาอินอ้าปากค้าง ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร
กลับเป็นอาชิงที่ยื่นมือเล็ก ๆ ออกไปสัมผัสมือของอาเหริ่นผ่านชั้นน้ำแข็งบาง ๆ
“เขาเย็นจังเลย เขาจะไม่ป่วยหรือ?”
ทุกคนต่างก็นิ่งเงียบ มีสภาพเช่นนี้ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่
ทว่าจากนั้นก็มีเสียงดังกังวานของอาอินที่ดังขึ้นมา จึงทำให้สติของทุกคนกลับคืนมาอีกครั้ง “ภรรยาของอาเหริ่นเล่า?”
นางบอกว่านี่คือพ่อของนาง เมื่อมองใบหน้าของเขา อาอินก็เริ่มเชื่อไปถึงห้าหกส่วนแล้ว แต่เหตุใดภรรยาของอาเหริ่นถึงไม่อยู่ที่นี่ด้วย?
อูหลางสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ “นางไม่อยู่ที่นี่”
“แล้วอยู่ที่ใด?” อาอินดื้อดึงอย่างมาก “ข้าต้องรู้ให้ได้ว่านางอยู่ที่ใด อาศัยแค่หน้าตาเหมือนกัน เขาใช่ว่าจะเป็นพ่อของข้า”
จี้จือฮวนคิดว่าคงต้องหาโอกาสตรวจดีเอ็นเอพวกเขาแล้ว
อูหลางมองหน้านาง “ข้าเองก็ไม่รู้…ว่าตอนนี้นางอยู่ที่ใด”
“นางเป็นภรรยาของอาเหริ่นไม่ใช่หรือ? หรือว่าพออาเหริ่นเกิดเรื่องนางก็หนีไป?” อาอินขมวดคิ้ว มีสีหน้าเคร่งเครียดอย่างมาก
อูหลางส่ายหน้า “เรื่องนี้…พูดไปแล้วเรื่องมันยาว”
เยว่พั่วหลัวอยากจะล้วงเอาเมล็ดแตงโมออกมาแทะ แต่ก็พลันคิดได้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับลูกศิษย์ เวลานี้จึงดูไม่เหมาะเท่าใดนัก ก่อนจะกระซิบขึ้นเสียงเบา “ไม่สู้เรามาพิสูจน์ว่าเขาใช่พ่อของเด็ก ๆ กันก่อนดีหรือไม่?”
ถูกต้อง นี่ต่างหากจึงเป็นสิ่งที่ทุกคนควรกังวล ต้องจัดการเรื่องนี้ก่อน จากนั้นค่อยพูดถึงเรื่องอื่นก็ยังไม่สาย
อูหลางเอ่ย “หน้าตาคล้ายกันเพียงนี้…ยังไม่พออีกหรือ?”
“คนที่คล้ายกันบนโลกนี้มีมากมาย แน่นอนว่ายังไม่พอ” จี้จือฮวนหยิบกล่องยาน้อยออกมา “ท่านย่า ข้าขอเลือดของอาเหริ่นสักหยดจะได้หรือไม่?”
“เพียงเท่านี้ก็สามารถบอกได้แล้วอย่างนั้นหรือ?”
“ใช่ ยิ่งไปกว่านั้นอาอินกับอาชิงก็เป็นลูกที่พวกเราเลี้ยงดูมาอย่างดี หากพวกเราไม่อยากให้พวกเขามาเจอกัน ก็คงไม่พาพวกเขากลับมา”
อูหลางพึมพำบางอย่างในลำคอ ก่อนจะหยิบกระดูกสัตว์ชิ้นหนึ่งออกมา จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นและพูดว่า “เทพหมาป่าที่สูงส่งอนุญาตให้พวกเจ้าทำได้ ข้าก็เชื่อใจพวกเจ้า”
จี้จือฮวนจึงพยักหน้ารับ “ขอบคุณมาก”
นางจึงเอาเลือดจากมือของอาเหริ่นมาหนึ่งหยดอย่างรวดเร็ว รวมถึงเลือดของอาอินและอาชิง ก่อนจะโยนเข้าไปในกล่องยาน้อย ไม่นานกล่องยาน้อยก็ส่งผลกลับมา
เมื่อเห็นเครื่องหมายถูกสีเขียวขนาดใหญ่บนนั้น จี้จือฮวนก็เริ่มกังวลใจขึ้นมา
เวลานี้ทุกคนต่างก็มองมาที่นางจนเป็นตาเดียว
ทุกคนรู้ว่ามีวิธีการหยดเลือดเพื่อพิสูจน์ความเป็นครอบครัว จึงคิดว่าจี้จือฮวนกำลังทำเช่นนั้นอยู่
“มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด”
อาอินย่อมเชื่อคำพูดของจี้จือฮวนอยู่แล้ว แม้แต่ท่านย่าอูหลางเองก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก บนใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้ม “อาเหริ่น เจ้าได้ยินหรือไม่ ลูก ๆ ของเจ้ากลับมาแล้ว”
ทว่าอาเหริ่นยังคงนอนนิ่ง ๆ อยู่ตรงนั้น
อาชิงมุ่ยปาก “เขาถูกพิษหรือไม่ ถูกคนทำร้ายมาอย่างนั้นหรือ? เหมือนกับท่านพ่อเมื่อก่อน”
สีหน้าของอาอินก็เต็มไปด้วยความสับสน นางคิดไม่ถึงว่าผู้ชายตรงหน้าคนนี้ จะเป็นพ่อของนางจริง ๆ