เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย - บทที่ 500 พวกเรามีพ่อสองคน
บทที่ 500 พวกเรามีพ่อสองคน
ปวด…หัว
ร่างกายก็หนักอึ้งไปหมด
ตอนที่อาเหริ่นลืมตาขึ้นมา สิ่งที่เขาเห็นก็คือแผ่นหลังเล็ก ๆ ของคนสองคน เส้นผมสีดำของพวกเขาสะท้อนแสงแดดจนเป็นสีทองอ่อน ๆ บนกายยังมีกลิ่นหอมที่สะอาดมากอีกด้วย
แผ่นหลังเล็ก ๆ นั่นนั่งพิงกันอยู่ด้วยท่าทางนุ่มนิ่ม พร้อมกับกางมือเล็ก ๆ ออกไปหยอกล้อกับสายลม ทำให้ท่อนแขนที่อวบอ้วนจนเป็นปล้อง ๆ โผล่ออกมาให้เห็นอีกด้วย
อาชิงหันหน้ามามองอาเหริ่นที่ลืมตาอยู่ ดวงตาก็เป็นประกายเล็กน้อย แต่ไม่กล้าเข้าใกล้ กลัวเขาจะจับเอาไว้อีก
“โอ๊ะ เจ้าตื่นแล้ว” เยว่พั่วหลัวเอ่ยขึ้นมา
อาเหริ่นอยากจะลุกขึ้น แต่เขากลับไม่มีแรง ทว่าแม่นางน้อยตัวนุ่มนิ่มกลับพยุงเขาขึ้นมาได้ในครั้งเดียว
และใบหน้าของนางก็เหมือนกับเขาราวกับแกะ
“อาเหริ่น นี่ก็คือลูก ๆ ของเจ้า”
“ลูกของเจ้ากับเซิงเซิง”
เซิงเซิง…
อาเหริ่นอ้าปากพะงาบ ๆ ทันใดนั้นก็ราวกับว่าคิดอะไรขึ้นมาได้ จึงยื่นมือออกไป
อาอินเองก็กำลังพิจารณาเขาอยู่ แต่ไม่รอให้เขายกมือขึ้น นางก็หันไปมองทิวทัศน์นอกหน้าต่างรถม้ากับอาชิงต่อแล้ว
ก่อนหน้านี้หลังจากเผ่าหมาป่าหารือกันแล้ว ก็ได้ตอบรับข้อเสนอของเผยยวน ละทิ้งบ้านน้ำแข็งที่พวกเขาอยู่ เก็บของสำคัญแล้วติดตามทัพใหญ่ไปพร้อมกับหมาป่าหิมะ
เพื่อสะดวกในการเคลื่อนย้ายอาเหริ่น พวกเขาจึงทำรถม้าขึ้นมาคันหนึ่ง และให้เด็กทั้งสองคนนั่งอยู่บนรถม้ากับเขาด้วย
หากไม่รู้ความเป็นมาเป็นไป ก็คงคิดว่าพวกเขาเกลียดอาเหริ่น ไม่อยากแตะเนื้อต้องตัวกับเขา
แต่เยว่พั่วหลัวกลับรู้ดีว่าเพราะพวกเขายังอายอยู่จึงรู้สึกเคอะเขิน มองนานกว่านี้ก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรกับเขา
แต่อาเหริ่นผู้นี้เป็นคนซื่อบื้อ เมื่อเห็นพวกเด็ก ๆ หมุนตัวไป ก็ได้แต่ก้มหน้าลงด้วยความผิดหวัง
เหมือนสุนัขที่น้อยใจตัวหนึ่งก็มิปาน
เยว่พั่วหลัวจึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา หูของเด็กทั้งสองจึงเริ่มกระดิก ก่อนจะมองหน้านางแล้วเหลือบมองไปทางอาเหริ่นเล็กน้อย จากนั้นก็หันหน้ากลับไปด้วยความเก้อเขิน
เมื่อเห็นปฏิกิริยาระหว่างพ่อกับลูก เยว่พั่วหลัวก็รู้สึกว่าน่าสนใจมากทีเดียว จึงขยับตัวเข้าไปแล้วจิ้มที่แขนของอาเหริ่น “เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง?”
สายตาหวาดระแวงของอาเหริ่นกวาดมองนาง ก่อนจะส่ายหน้าไปมา
“ส่ายหน้าหมายความว่าอย่างไร ไม่มีความรู้สึกเลยอย่างนั้นหรือ? หรือว่าอาการดีมากแล้ว?
เวียนหัวหรือไม่?”
อาเหริ่นพยักหน้ารับ
อืม เป็นสุนัขเชื่อง ๆ จริง ๆ
“เวียนหัวอยู่ก็ถือเป็นเรื่องปกติ อีกเดี๋ยวเมื่อถึงที่พักด้านหน้า เจ้าก็ลงไปอาบแดดเสียหน่อย ต่อไปก็ออกกำลังกายให้มาก รับรองว่าเจ้าต้องอายุยืนยาวอย่างแน่นอน”
อาเหริ่นมองเยว่พั่วหลัวด้วยสายตาเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง
เนื่องจากเขาใสซื่อและบริสุทธิ์เกินไป จึงทำให้เยว่พั่วหลัวรู้สึกว่าหากนางไม่บอกความจริงกับเขา ก็จะเป็นการรังแกเขาเกินไป
“ก่อนหน้านี้เป็นเพราะเจ้าถูกพิษ ดังนั้นจึงได้สลบไปหลายปี ส่วนเด็กสองคนนี้เป็นลูกแท้ ๆ ของเจ้า อย่าคิดว่าพวกเขาไม่สนใจไยดีเจ้า เพราะตลอดทางพวกเขาเป็นห่วงเจ้ามาก ทั้งป้อนน้ำให้เจ้า และกลัวเจ้าจะร้อนไปหนาวไป จนอัดอั้นจะแย่อยู่แล้ว”
พูดถึงตรงนี้อาอินและอาชิงก็คำรามขึ้นมาจริง ๆ
“เลิกพูดเหลวไหลได้แล้ว! ใครเป็นห่วงเขากัน!”
“ข้า!!! ข้าเปล่า!”
เอ่ยจบ สองพี่น้องก็สบตากันเล็กน้อย ก่อนจะเหลือบมองอาเหริ่น จากนั้นก็ปิดหน้าแล้วเปิดม่านออกไปนั่งด้านนอกแทน
เยว่พั่วหลัวจึงเปล่งเสียงหัวเราะออกมา “เห็นหรือไม่ ไม่รู้ว่าเหมือนใคร ปากแข็งยิ่งนัก”
อาเหริ่นมองตามพวกเขาอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งมองไม่เห็นแล้ว จึงเปล่งเสียงออกมาจากลำคอเบา ๆ “เซิงเซิง”
สีหน้าของเขาก็ราวกับกำลังจะร้องไห้ออกมาอยู่แล้ว
“เซิงเซิง…ก็เป็นเช่นนี้”
เสียงของเขาเบาลงเรื่อย ๆ
จู่ ๆ เยว่พั่วหลัวก็พูดไม่ออกขึ้นมาเสียดื้อ ๆ เดิมทีนางเพียงต้องการจะหยอกเขาเล่นก็เท่านั้น แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับผู้ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อคน ทว่าความทรงจำของเขากลับยังหยุดอยู่ที่ตอนอายุสิบเจ็ด และจิตใจของเขาก็บริสุทธิ์ราวกับสัตว์ก็มิปาน คำปลอบใจทั้งหมดจึงดูเหมือนว่าจะไม่มีประโยชน์อะไร
ระหว่างทางทุกคนได้หยุดพักและเตรียมกินข้าว อาอินกับอาชิงจูงมือกันไปเก็บฟืนแห้งใกล้ ๆ แถวนั้น
อาชิงเก็บไปเก็บมาก็หันไปจับแมลงตัวเล็ก ๆ เล่นแทน ส่วนอาอินเมื่อเก็บฟืนได้มัดใหญ่แล้วก็ใช้เชือกป่านมัดให้เรียบร้อย จากนั้นก็เดินไปที่ริมแม่น้ำเตรียมที่จะล้างมือ ก็เห็นว่ามีร่างคนคนหนึ่งสะท้อนอยู่บนผิวน้ำ
อาอินจึงหันไปมอง สิ่งแรกที่สะดุดตาก็คือดอกไม้สีขาวดอกเล็กดอกหนึ่ง
อากาศยังหนาวมาก บนยอดเขาจึงมีเพียงดอกไม้ดอกเล็ก ๆ ที่ไม่รู้จักชื่อขึ้นอยู่เท่านั้น คนผู้นั้นเอาดอกไม้มาพันเข้ากับใบไม้สีเขียวจนกลายเป็นมงกุฎดอกไม้ที่งดงาม
อาเหริ่นนั่งยอง ๆ อยู่บนพื้น ท่าทางคล้ายกับหมาป่าหิมะอย่างไรอย่างนั้น แววตาแฝงไว้ด้วยความประจบประแจง
สายตาที่เป็นประกายเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
คนตรงหน้าผู้นี้ก็คือพ่อของนาง หัวใจของอาอินจึงสั่นไหวเล็กน้อย บนผิวน้ำมีใบหน้าที่คล้ายกันของคนสองคนสะท้อนอยู่
อาอินบีบฝ่ามือของตัวเอง จากนั้นก็ก้มหัวลงเล็กน้อย เป็นสัญญาณให้เขาเอามงกุฎมาสวมให้
อาเหริ่นกลั้นหายใจ ก่อนวางมงกุฎดอกไม้ลงบนจุกผมน้อย ๆ ทั้งสองข้างของนาง จากนั้นก็ยิ้มจนตาหยีด้วยความพึงพอใจ
ไกลออกไป เผยยวนที่เห็นภาพนี้เข้า ก็รู้สึกอึดอัดใจขึ้นมา
รู้สึกเหมือนว่ากำลังถูกคนอื่นมาแย่งลูกสาวไป และเขาก็ไม่สามารถพูดอะไรได้อีกด้วย เพราะอีกฝ่ายนั้นเป็นพ่อผู้ให้กำเนิด
จี้จือฮวนจับมือเขาเอาไว้ “หวงหรือ?”
เผยยวนก้มหน้าลง “อืม”
จี้จือฮวนรู้สึกขบขัน “อย่างไรเสียพวกเด็ก ๆ ก็จะต้องเติบโต ยิ่งไปกว่านั้นมีคนรักพวกเขาเพิ่มขึ้นมาอีกคนไม่ดีหรืออย่างไร?”
เผยยวนกุมหน้าอกเอาไว้ “เหตุผลนั้นข้ารู้ดี แต่ก็อดเศร้าใจไม่ได้”
จี้จือฮวนเป็นฝ่ายเบียดตัวเข้าไปในอ้อมแขนของเขา “เช่นนั้นฮูหยินจะยอมให้เจ้ากอดก็แล้วกัน”
หลังจากที่อาอินได้รับมงกุฎดอกไม้แล้ว อาชิงก็กลับมาจากการจับแมลงพอดี มือทั้งสองข้างจึงดำปิ๊ดปี๋เลอะไปด้วยโคลน เพียงแต่ท่าทางยิ้มระรื่นนั่นเหมือนซือถูเซิงอย่างมาก
อาเหริ่นรู้ว่าอาชิงกลัวเขา ดังนั้นจึงไม่กล้าเข้าไปใกล้ เพียงแค่นั่งยอง ๆ เฝ้าเด็กทั้งสองคนอยู่ที่เดิม
ต่างฝ่ายต่างไม่มีใครพูดจา
“ดูมือเจ้าสิ สกปรกอย่างกับอะไรดี เอาแต่เล่นโคลนทั้งวัน รีบไปล้างให้สะอาดเดี๋ยวนี้นะ”
“อ่อ” อาชิงแกว่งมือเล็ก ๆ ในน้ำสองสามครั้ง อาเหริ่นเห็นเช่นนั้นก็อดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไป จับมือเล็ก ๆ ของเขาและถูโคลนที่ติดอยู่ง่ามนิ้วออกให้
อาชิงมองใบหน้าด้านข้างของเขา มุมปากก็ยกขึ้นเล็กน้อย และค่อย ๆ ขยับเข้าไปใกล้
อาเหริ่นรู้สึกแค่ว่ามีร่างเล็ก ๆ นุ่มนิ่มมาพิงตัวเขา ช่องว่างที่อยู่ในใจของเขาก็พลันรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาทันใด
“ท่านแม่ข้าเป็นคนอย่างไรหรือ?”
เสียงของอาอินดังขึ้น อาเหริ่นจึงหันไปมองนาง “เซิงเซิง ดีมาก”
อาอินเอียงคอ “พวกเขาบอกว่าเซิงเซิงกับอาชิงหน้าตาเหมือนกันมาก”
อาเหริ่นพยักหน้ารับ “ตอนที่เซิงเซิงตั้งท้องพวกเจ้า ก็มักจะพูดว่า…อยากมีลูกสาวที่หน้าเหมือนข้า และลูกชายที่หน้าเหมือนนาง”
“ท่านทำให้ความปรารถนาของนางเป็นจริงแล้ว”
จากนั้นอาอินก็ถอนหายใจออกมา และเป็นฝ่ายเดินเข้าไปใกล้ กอดไหล่ของเขาเอาไว้ พลางซุกหน้าลงไปกับซอกคอของเขา อาเหริ่นแข็งค้างไปทันที เขาไม่กล้าขยับตัวส่งเดช เพราะกลัวว่าจะทำให้เด็กน้อยตัวนุ่มนิ่มทั้งสองคนเจ็บตัว
เขาไม่เคยเห็นพวกเขาตอนเด็ก ๆ และไม่เคยสัมผัสช่วงเวลาที่วุ่นวายที่สุดตอนที่พวกเขาเกิดมา
เขาจึงพยายามปรับตัวให้เข้ากับพวกเขาในตอนนี้ ยอมรับว่าตัวเองเป็นพ่อของลูกวัยหกขวบสองคน และยอมรับว่าไม่มีเซิงเซิงอีกแล้ว
อาอินรู้ว่าเขาต้องพยายามมากเพียงใด ความจริงแล้วเขาอยากจะไปตามหาเซิงเซิงมาก แต่เพราะพวกเขาจึงทำให้อาเหริ่นยอมอยู่
“ท่านพ่อ ข้าชื่อเผยถังอิน ถัง ที่มาจากดอกไห่ถัง อิน ที่มาจากคำว่าเสียง และเป็นลูกสาวของท่านกับเซิงเซิง”
อาชิงก็เงยหน้าขึ้น “ข้าชื่อว่าเผยเฮ่อชิง เฮ่อ ที่มาจากคำว่านกกระเรียน ชิง ที่มาจากคำว่าน้ำใส เพราะตอนเด็กเกือบตายหลายครั้ง ท่านพ่อจึงอยากให้ข้ามีอายุยืนยาว แต่ตอนนี้ท่านก็เป็นท่านพ่อของข้าอีกคนแล้ว ดังนั้นท่านพ่ออาเหริ่น ท่านต้องรีบหายเร็ว ๆ นะขอรับ พวกเราจะได้ไปตามหาท่านแม่เซิงเซิงกัน”
ลำคอของอาเหริ่นราวกับมีก้อนบางอย่างจุกอยู่ และผู้ชายร่างสูงใหญ่ก็ขอบตาแดงเรื่อขึ้นมา “อืม ได้”
เขารู้ เขาเองก็ซาบซึ้งในบุญคุณ ช่วงเวลาที่เขาและเซิงเซิงไม่อยู่ แต่กลับมีคนรักและปกป้องลูกของพวกเขาเช่นนี้ จากชื่อของพวกเขาก็สามารถสัมผัสได้ถึงความหวังและความรักที่เผยยวนมอบให้พวกเขาแล้ว
.