เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย - บทที่ 504 กลุ่มเฉพาะกิจ
บทที่ 504 กลุ่มเฉพาะกิจ
ป่านหลานเกินผู้นั้นกระโดดเข้ามาจากด้านนอกทันที “ศิษย์พี่หญิง ท่านเรียกข้าหรือขอรับ?”
“หม่าเฉียนจื่อ เจวี๋ยหมิงจื่อ ฉางเอ๋อร์จื่อ แล้วก็เหลียนจื่อ เจ้าพวกนั้นแอบอู้งานไปอยู่ที่ใดอีก?” เย่จิ่งฝูเห็นว่าในลานบ้านเหลือเขาเพียงคนเดียว ก็โบกมีดหั่นยาในมือไปมา
“อ่อ ในตำบลมีอาจารย์หลิวเกิงหงมาใหม่คนหนึ่ง บอกว่าจะพาพวกเขาไปออกกำลังกาย เพราะวัน ๆ อยู่แต่ในร้านยา นี่ข้าก็กำลังรอให้พวกเขากลับมาเปลี่ยนเวรอยู่เหมือนกัน ท่านไม่สังเกตหรือขอรับ ว่าช่วงนี้ใคร ๆ ก็ไปออกกำลังกายที่บ้านอาจารย์หลิวกัน”
เย่จิ่งฝูหน้ามุ่ย “ช่างเถอะ รีบเข้ามา”
“อ่อ” ป่านหลานเกินก้าวเท้าเข้ามา เย่จิ่งฝูก็ปิดประตูลงทันที “ที่เรียกเจ้ามาเพราะมีเรื่องอยากจะถาม เจ้ายังจำเจ้าคนประหลาดจีฝูเย่นั่นได้หรือไม่?”
“อ่อ เขาหรือขอรับ! จำได้สิขอรับ ข้ายังเกือบมีเรื่องกับองครักษ์ของพวกเขาด้วย”
“ดี เช่นนั้นเจ้าช่วยอธิบายให้พวกเราฟังทีว่าพวกเขาปกติพูดน้ำเสียงเช่นไร เป็นสำเนียงของที่ใด สวมเสื้อผ้าอย่างไร มีลักษณะพิเศษที่แตกต่างจากคนทั่วไปหรือไม่ ยังมีหน้ากากนั่นของเขาด้วย มีอะไรพิเศษหรือไม่ ยิ่งละเอียดมากเท่าใดก็ยิ่งดี”
ป่านหลานเกินหาเก้าอี้เอง จากนั้นก็นั่งลง “มีเงิน มีเงินเยอะมาก เสื้อสีขาวนั่นก็ไม่ใช่ขาวธรรมดา แต่ดูคล้ายกับผ้าไหมเจียวซามากกว่า เมื่ออยู่ภายใต้แสงแดดก็เปล่งประกายระยิบระยับ ชอบมองคนอื่นแบบเชิด ๆ นิสัยคล้ายกับศิษย์พี่หญิงเลยขอรับ”
เย่จิ่งฝูสูดลมหายใจเข้า “เจ้าด่าใครกันฮะ ต่อให้ข้าจะมองคนอื่นแบบเชิด ๆ แต่ก็ซื้อเสื้อผ้าราคาแพงเช่นนั้นไม่ไหวหรอก”
ลู่เอี้ยนที่อยู่ข้าง ๆ จึงพูดขึ้นมาเบา ๆ “เช่นนั้นข้าจะซื้อให้เจ้าเอง”
“!!!”
เย่จิ่งฝูมองเขาอย่างเอือม ๆ เผลอเป็นไม่ได้จริง ๆ!! เช่นนี้ก็ยังจะหาโอกาสได้อีก!
ป่านหลานเกินนั่งตัวสั่นงันงกอยู่ข้าง ๆ เพราะเขาสัมผัสถึงไอสังหารของศิษย์พี่หญิงได้อย่างชัดเจน
“และจีฝูเย่ผู้นั้นเป็นคนปากหนัก มีรูปร่างผอมสูง อ่อ…เขาชอบหลงทางด้วยขอรับ! ใช่แล้ว เป็นพวกจำทางไม่ค่อยได้ ช่วงเวลาที่เขาพักอยู่ในสำนักของเรา ขนาดมีถนนแค่เส้นเดียว เขายังเดินกลับไปกลับมาตั้งเจ็ดแปดรอบ และต้องให้สาวใช้ของเขาเป็นคนพากลับมาถึงจะกลับมาถูก แต่หากไม่ใช่เพราะข้าไปส่งยาให้พวกเขาทุกวันก็คงไม่รู้เรื่องนี้ เพราะปกติเขาไม่มีทางเดินไปไหนมาไหนคนเดียวแน่ขอรับ”
“เช่นนั้นหน้ากากเล่า? ยังจำได้หรือไม่ว่ารายละเอียดของหน้ากากมีอะไรบ้าง?”
“เป็นหน้ากากที่แปลกประหลาดมากขอรับ เหมือนหน้ากากงิ้วของคณะละครที่ดูไม่ออกว่าเป็นตัวละครอะไร ตอนนั้นข้าเดาว่าอาจเป็นเพราะเขาเสียโฉม จึงได้ชอบหน้ากากที่อัปลักษณ์เช่นนั้น”
“วาดออกมาได้หรือไม่?”
“ข้าจะลองดูขอรับ!”
ป่านหลานเกินหยิบพู่กันขึ้นมา หากเป็นลูกศิษย์ที่มาจากตระกูลหมอเทวดา ก็จะได้เรียนรู้เกี่ยวกับสมุนไพรต่าง ๆ มาตั้งแต่เด็ก เพื่อเสริมสร้างความจำ พวกเขาจึงต้องทำการคัดลอกภาพวาดของสมุนไพรชนิดต่าง ๆ ด้วย ดังนั้นแทบทุกคนจึงสามารถวาดภาพได้
เมื่อป่านหลานเกินวาดคนที่อยู่ในความทรงจำออกมา หลังจากที่ทุกคนดูภาพวาดของคนและหน้ากากในภาพวาดที่เขาวาดแล้ว ก็เริ่มแบ่งตัวตนกัน
“เจ้าเป็นคนที่ยกกระโถนนั่นก็แล้วกัน”
ป่านหลานเกิน นั่นมันขวดแก้วชัด ๆ! กระโถนอะไรกัน!!!
“ข้าจะเป็นคนที่ถือพัดนั่น ไม่ได้ พัดนี่ไม่เท่ากัน”
ป่านหลานเกิน ขอบใจเจ้ามากจริง ๆ
และหลังจากวุ่นวายกันอยู่พักใหญ่ พวกเขาก็ให้คนไปเรียกร้านตัดเย็บเสื้อมา จากนั้นก็ให้พวกเขาตัดเย็บเสื้อผ้าที่ดูอลังการตามภาพวาด
จากนั้นก็หาเวลาว่างไปที่ค่ายทหารและจับหม่าเหวินปินผู้นั้นมาทรมาน ฟังเขาครวญครางอยู่ครึ่งค่อนคืน จึงได้แผนที่ของเมืองเจว๋เฉิงมา และเตรียมพร้อมที่จะออกเดินทาง
…
ครึ่งเดือนต่อมา
งานวันเกิดของซือถูรุ่ยเจ้าเมืองเจว๋เฉิง ทั้งเมืองต่างเฉลิมฉลองเป็นเวลาสามวันสามคืน จัดงานเลี้ยงยิ่งใหญ่ มีการร้องรำทำเพลงทั้งวันทั้งคืน
“เข้าแถวให้ดี! เข้าเมืองทีละคน นำใบผ่านทางออกมาแสดงด้วย!” ยามที่เฝ้าอยู่ที่ประตูเมืองกำลังลาดตระเวน คนที่เข้าที่นี่เกือบทั้งหมดล้วนเป็นชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในเมืองเจว๋เฉิง และพ่อค้าที่มาจากที่ต่าง ๆ บางส่วน
คนที่มายังเมืองเจว๋เฉิง มีทั้งพวกผมสีทองตาสีฟ้า ใบหน้าดำ สำหรับจี้จือฮวนแล้วนี่เหมือนกับการมาประชุมแลกเปลี่ยนระหว่างแคว้นมากกว่า
สำเนียงของที่ต่าง ๆ ลอยเข้ามาในหู ทุกคนต่างกำลังบ่นว่าวันนี้แถวยาวมาก หรือถามไถ่กันว่าสินค้าที่เอามาขายในครั้งนี้คืออะไร
นี่ทำให้เห็นว่าซือถูรุ่ยผู้นั้นอย่างน้อยก็ยังมีสมองอยู่บ้าง เพราะการค้าของเมืองเจว๋เฉิงตอนนี้ก็นับว่าไม่เลวเลย
จากนั้นคนที่เดินผ่านทางประตูบานเล็กด้านข้าง ก็ได้ดึงดูดความสนใจของพวกเขาไปทันที
มีทหารกำลังทุบตีพวกเขาอยู่ ทุกคนนอกจากจะสวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งแล้ว ยังซูบผอมและพร้อมจะล้มลงได้ทุกเมื่อหากมีลมพัดมา
ทว่าผู้คนที่มายังเมืองเจว๋เฉิงดูเหมือนจะคุ้นชินเสียแล้ว
แต่คงเป็นเพราะพวกเขามองนานเกินไป เมื่อคนข้าง ๆ หันมาก็สบเข้ากับสายตาของพวกจี้จือฮวนพอดี
รถม้าหรูหรา มีกระดิ่งห้อยอยู่รอบ ๆ ในบรรดาคาราวานพ่อค้าที่ไป ๆ มา ๆ ก็มีพวกเศรษฐีที่ร่ำรวยไม่น้อย แต่คนกลุ่มนี้กลับสวมหน้ากากเอาไว้ทุกคน และอาวุธที่ถืออยู่ในมือก็มีรูปทรงที่แตกต่างกันไป แม้แต่เครื่องประดับที่ห้อยอยู่รอบรถม้าก็ล้วนเป็นทองคำฝังหยก สัญลักษณ์ที่โดดเด่นเช่นนี้ ทำให้ทหารเฝ้าเมืองที่เดินผ่านมาตื่นตัวขึ้นมาทันที
ทหารเหล่านั้นจึงเดินเข้ามา แล้วเอ่ยถามด้วยความนอบน้อม “ไม่ทราบว่าใช่ท่านฝูเย่หรือไม่ขอรับ?”
เอ่ยจบ เทียบเชิญแผ่นหนึ่งก็ถูกซัดออกมาจากมือของผู้ติดตามทันที และพุ่งไปที่ใบหน้าของทหารชั้นผู้น้อยคนนั้น
โชคดีที่คนรับใช้อีกคนรีบตวัดแส้ ดึงร่างของทหารชั้นผู้น้อยคนนั้นให้ขยับออกมาเสียก่อน
แม้ว่าจะมีหน้ากากปกปิดเอาไว้ทำให้มองไม่เห็นสีหน้าของคนกลุ่มนั้น แต่สามารถสัมผัสได้ว่าพวกเขาแค่กำลังหยอกล้อทหารชั้นผู้น้อยอยู่ หยิ่งผยองเพียงนี้ ดูไม่ออกจริง ๆ ว่าเป็นยอดฝีมือมาจากที่ใด!
ส่วนคนที่พอรู้โลกกว้าง เมื่อได้ยินว่าท่านฝูเย่มาก็อดไม่ได้ที่จะเข้าไปผูกสัมพันธ์ด้วย
“ในเมื่อรู้ว่านายท่านของข้ามาถึงแล้ว ยังไม่รีบเปิดทางอีก!” หากพูดถึงความยโสโอหัง ในบรรดาคนเหล่านี้ไม่มีใครแสดงได้ดีกว่าเย่จิ่งฝูอีกแล้ว อย่างไรเสียนี่ก็ถือเป็นทักษะเฉพาะตัวที่นางถนัดยามไปบ้านคนอื่น!
เพราะนางไม่ใช่คนกลัวตาย ดังนั้นความยโสโอหังจึงเป็นเอกลักษณ์ของนางไปแล้ว!
ทหารชั้นผู้น้อยเมื่อได้ยินว่าเป็นท่านฝูเย่จริง ๆ ก็มองไปที่เทียบเชิญสีทองที่เปล่งประกายนั่น เป็นลายมือของท่านเจ้าเมืองอย่างแน่นอน จึงเอ่ยด้วยความนอบน้อมทันที “ท่านฝูเย่ ช่วยแสดงใบผ่านทาง-”
“บังอาจ!” เย่จิ่งฝูตะคอกออกมา!
“เจ้าคิดว่านายท่านของข้าเป็นใครกัน ยอมให้เกียรติมาร่วมงานวันเกิดเจ้าเมืองของพวกเจ้า ก็นับว่าสละเวลาให้มากแล้ว เจ้ามีฐานะอะไรกัน ถึงกล้ามาตรวจสอบใบผ่านทางของนายท่านของพวกเรา!?”
“ไม่รู้จักมารยาท! ฆ่าทิ้งซะ!” เยว่พั่วหลัวที่ถือกระบี่ยาวไว้ในมือ กำลังจะกระโจนเข้าไปสังหาร ทหารชั้นผู้น้อยเห็นดังนั้นก็มีสีหน้าซีดเผือดลงทันที
ได้ผล สำเร็จแล้ว จี้จือฮวนจึงเงยหน้าและเอ่ยขึ้นมาเสียก่อน “อย่าเสียมารยาท”
นางส่งใบผ่านทางให้ทหารชั้นผู้น้อย “เป็นแขกต้องตามใจเจ้าบ้าน นายท่านของข้าไม่ใช่คนที่ไม่มีเหตุผล รับไปเถอะ”
ทหารชั้นผู้น้อยเดินเข้ามาพร้อมตัวที่สั่นเทา จึงไม่ได้ดูอย่างละเอียด เพียงกวาดตามองสองครั้ง เมื่อเห็นว่าไม่มีปัญหาอะไรก็รีบส่งคืนให้จี้จือฮวนด้วยสองมือทันที “แขกผู้มีเกียรติเชิญเข้าเมืองขอรับ”
จี้จือฮวนชี้ไปที่กลุ่มคนที่ถูกทุบตีอยู่แล้วพูดขึ้นว่า “คนเหล่านั้นเป็นใครกัน?”
“อ่อ คนเหล่านี้เป็นชาวบ้านที่แอบติดต่อกับคนภายนอก ชาวเมืองเจว๋เฉิงถูกห้ามไม่ให้ติดต่อกับคนภายนอก หากไม่ปฏิบัติตามกฎของท่านเจ้าเมือง ก็จะถูกริบทรัพย์สินและกลายเป็นทาสขอรับ”
จี้จือฮวนถอนหายใจหนึ่งทีและไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงแค่มองดูเด็กอายุสามขวบคนหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มคนเหล่านั้นด้วย เขาอายุยังน้อยคอยเดินตามหลังผู้ใหญ่ และหิวจนแทบจะแทะดินบนพื้นกินอยู่แล้ว
นางจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา จากนั้นก็โยนห่ออาหารแห้งไปให้ “ทำเช่นนี้มิเท่ากับเป็นหมูเป็นหมาหรอกหรือ พอดีเลย พวกเรามีอาหารสุนัขอยู่พอดี นับว่าเป็นโชคดีของพวกเขาแล้ว”
ทหารชั้นผู้น้อยพยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้ม “ใช่แล้วขอรับ เหล่าแขกผู้มีเกียรติเชิญตามข้ามา ท่านเจ้าเมืองเตรียมห้องอย่างดีไว้ให้พวกท่านนานแล้วขอรับ ทั้งยังกำชับพวกเราว่าให้คอยดูแลพวกท่านให้ดี ของทุกชิ้นล้วนเป็นแบบที่พวกท่านชอบทั้งสิ้นด้วยขอรับ”
.
.